[จบ]เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
ข้อมูลเบื้องต้น
เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้หจก. EnJoyBook ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
การแปลนี้จัดร่วมกับ SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
ลิขสิทธิ์แปลไทย ⓒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็นจอยบุ๊ค
---------------------------------------
นิยายแปลเรื่อง เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
ผู้แต่ง :垂耳兔 ผู้แปล : ทีมงาน Onlybook
514 ตอนจบ + ตอนพิเศษ 5 ตอน
เรื่องย่อ: หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้
เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!
เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!
ตอนในเล่มจะไม่เท่า e-book 1 เล่มจะมีประมาณ 85 ตอน
** มี E-book เล่มที่ 1 แล้ว **
** วางจำหน่าย E-book ทุกสิ้นเดือน เดือนละ 1 เล่ม **
1 เล่มมีประมาณ 60 ตอนนะคะ
ติดตามข้อมูล ไม่พลาดการอัปเดตได้ที่ : Facebook
หรือพูดคุยกับแอดมินแบบรวดเร็ว แอดไลน์ : @Onlybook
บทที่ 1 องค์หญิง (รีไรท์)
บทที่ 1 องค์หญิง (รีไรท์)
“เสี่ยวเป่า เจ้าเด็กขี้เกียจ ไก่ก็ไม่เลี้ยง บ้านช่องก็ไม่ทำความสะอาดเช็ดถู ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย!”
ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาอันเงียบสงบในตอนเช้าตรู่ ทะเลหมอกสีขาวทอดยาว เสียงไก่ขันปลุกความวังเวง สตรีร่างอ้วนในชุดเนื้อผ้าหยาบผู้หนึ่ง ยืนเท้าสะเอวส่งเสียงคำรามอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
เด็กน้อยที่นางเรียกหากำลังซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเก็บฟืน มือน้อย ๆ ที่เปรอะเปื้อนหยิบผลไม้สีเขียวลูกเล็กขึ้นมากิน
"ไม่เห็นอร่อยเลย"
เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสามขวบ ทว่าเนื้อตัวกลับมอมแมม เส้นผมสีดำพันยุ่งเหยิงทำให้รูปลักษณ์ของเจ้าตัวดูน่าเกลียด แต่จะเห็นได้ราง ๆ ว่าผิวพรรณที่แท้จริงของเด็กน้อยนั้นขาวเนียนราวหิมะ ใบหน้าเป็นสัดส่วนทองคำ ดวงตากลมโตเฉกเช่นลูกกวางน้อย เผยให้เห็นความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กเล็ก
เด็กหญิงย่อตัวนั่งอยู่ที่พื้นสกปรก สองมือประคองผลไม้สีเขียวไว้ แม้จะเจ็บแก้มและใบหน้าได้รูปก็บิดเบี้ยวตามรสชาติผลไม้ที่ไม่อร่อย แต่นางจำเป็นต้องทานมันต่อไป
ถ้าไม่กินมัน เสี่ยวเป่าก็จะหิวมาก ๆ และนี่คือสิ่งเดียวที่นางทานได้ในตอนนี้
เพราะท่านป้าจะให้นางทานหมั่นโถวเพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น
ตั้งแต่ท่านแม่จากไป ชีวิตของเด็กน้อยก็ตกต่ำลงและนางก็ต้องหิวตลอดทั้งวัน
เสี่ยวเป่านั่งลงกับพื้นด้วยความหดหู่ใจ มองแล้วดูน่าสงสารมาก
"ท่านแม่ เมื่อใดบิดาที่ท่านพูดถึงจะมารับเสี่ยวเป่าสักที"
ขณะที่เด็กหญิงพึมพำ เสียงตะโกนและเสียงดุด่าของท่านป้าที่อยู่ข้างนอกก็เหมือนจะหยุดชะงักลง และถูกแทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าของม้าจำนวนมาก
"นี่คือบ้านสกุลซูของซูหว่านเหนียงใช่หรือไม่" เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น
เมื่อซูเสี่ยวเป่าได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของท่านแม่ หัวทุย ๆ พร้อมผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงก็โผล่ออกมาจากห้องเก็บฟืนอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นสถานการณ์ข้างนอก ดวงตากลมโตของเด็กน้อยพลันเบิกกว้าง เพราะนางพบว่าท่านป้าที่มักจะดุด่านางกำลังพยักหน้าและโค้งคำนับให้กับผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าในตอนนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ใบหน้าที่แสนดุร้ายยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกด้วย
“ใต้เท้า ข้าขอถามหน่อยว่าซูหว่านเหนียงไปทำอะไรไว้? ข้ารู้ว่านางไม่ใช่คนดี แม้ว่าครอบครัวของเราจะเกี่ยวข้องกับนาง แต่คนก็ตายไปแล้ว นางทำอะไรไว้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเราอีก”
สำหรับคนทั่วไปแล้ว การมีเจ้าหน้าที่จากทางการบุกมาถึงหน้าบ้านย่อมไม่ใช่เรื่องดี ด้วยเหตุนี้ หม่าซานเหนียงจึงต้องการพูดปัดสวะให้พ้นตัวตั้งแต่ต้น
"โกหก คนเลว แม่คนสวยของเสี่ยวเป่าเป็นคนดีมากต่างหาก!"
เมื่อได้ยินป้าพูดถึงท่านแม่เช่นนั้น ซูเสี่ยวเป่าจึงวิ่งโร่ออกมาปกป้องมารดาด้วยความโกรธ
"นังเด็กสารเลว!"
ทันทีที่หม่าซานเหนียงเห็นซูเสี่ยวเป่า นัยน์ตาก็ฉายแววดุดัน "ดีมาก ซูเสี่ยวเป่า ตอนข้าใช้ให้ทำงาน เจ้ากลับหายหัวเงียบ มาตอนนี้ยังกล้าวิ่งออกมาโต้เถียงกับผู้ใหญ่ นังเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน*[1]!"
พูดจบ หญิงร่างอ้วนก็ยกมือหมายจะตบตีนาง
ซูเสี่ยวเป่าตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยหลบไปซ่อนทางด้านข้าง
ทว่าตอนนี้เอง มีมือหนึ่งยื่นออกมาหยุดฝ่ามือของหม่าซานเหนียงไว้ "บังอาจ!"
วาจานี้ทรงพลังอย่างยิ่ง หม่าซานเหนียงหน้าถอดสีด้วยความตกใจทันที
เสี่ยวเป่ายังซ่อนตัวอยู่ข้างหลังชายผู้นั้น เด็กหญิงมองชายคนนั้นสลับกับป้าใจร้ายของตนเองไปมาด้วยนัยน์ตาสีดำขลับอันสดใส
ยามนี้ ท่านลุงของซูเสี่ยวเป่าก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมกับต้าจ้วง บุตรชายของพวกเขา
คนทั้งหมดรีบคุกเข่าและโขกหัวกับพื้นต่อหน้าขุนนางทันที ซูเถี่ยจู้ผู้เป็นลุงของเด็กหญิงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า
“ใต้เท้า มาทำอะไรที่บ้านของข้าน้อยหรือขอรับ?”
หลินเจิ้งชิงก้มมองพวกเขา แต่ก่อนจะได้พูดอะไร เขาก็รู้สึกว่าชายผ้าของตนเองถูกกระตุก
หลินเจิ้งชิงก้มศีรษะลงต่ำก็ได้เห็นดวงตากระจ่างใสอันงดงามคู่หนึ่ง
“ท่านเป็นบิดาของข้าใช่หรือไม่?”
หลินเจิ้งชิง "…"
ซูเถี่ยจู้ตกใจมากจนตวาดออกไปว่า "เสี่ยวเป่ากลับมาคุกเข่าเดี๋ยวนี้ เจ้าพูดจาเช่นนั้นกับใต้เท้าได้อย่างไร!"
หลินเจิ้งชิงยอบกายลงต่อหน้าซูเสี่ยวเป่า เขามองเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า แม้ว่าใบหน้าของนางจะสกปรก แต่ก็พอเห็นเค้าหน้าเดิมได้ราง ๆ
“ข้าไม่ใช่พ่อของเจ้า แต่พ่อของเจ้าส่งข้าเพื่อมารับเจ้า”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก ทำเอาท่านลุงและท่านป้าของเด็กหญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
พ่อของซูเสี่ยวเป่า!
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตอนนั้นเยี่ยนเหนียงไม่ได้โกหกพวกเขา พ่อของเสี่ยวเป่าเป็นผู้มีอำนาจจริง ๆ พวกเขาคิดอยู่ตลอดว่านางโกหกและเพ้อเจ้อไปเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริง!
“แล้วเมื่อใดเราจะไปหาท่านพ่อล่ะเจ้าคะ”
เสี่ยวเป่าไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เด็กหญิงหัวเราะอย่างมีความสุข ตอนนี้ นางปรารถนาเพียงแค่ได้เจอท่านพ่อเท่านั้น
"เช่นนั้นก็ไปกันเถิด"
"เจ้าค่ะ! ท่านรอข้าก่อนนะเจ้าคะ"
น้ำเสียงสดใสของเสี่ยวเป่าตอบดังก้อง หลังจากพูดจบ ขาสั้น ๆ ของนางก็วิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว และกลับออกมาพร้อมป้ายวิญญาณแผ่นหนึ่ง
"ไปกันเถอะ"
หลินเจิ้งชิงมองไปก็เห็นว่าเสี่ยวเป่ากำลังถือป้ายวิญญาณของมารดาไว้
"เสี่ยวเป่า"
เมื่อเห็นว่าซูเสี่ยวเป่ากำลังจะจากไปพร้อมกับขุนนางระดับสูง ซูเถี่ยจู้กับหม่าซานเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะเรียกนางกลับมา
เด็กหญิงตัวน้อยกำลังจะมีชีวิตที่ร่ำรวยมหาศาลในอนาคต แล้วพวกเขาเล่า??
“อ้อ แล้วก็พวกเจ้า…”
หลินเจิ้งชิงไม่ใคร่ยินดีนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของเด็กน้อย
“ทุบตีและดูหมิ่นองค์หญิงน้อยมาโดยตลอด รู้ใช่หรือไม่ว่าต้องได้รับโทษทัณฑ์เช่นไร!”
ซูเถี่ยจู้และหม่าซานเหนียงรู้สึกหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด
"อะ อะ…องค์หญิง!"
พวกเขามองซูเสี่ยวเป่าด้วยความหวาดกลัว ทั้งสองนึกไม่ถึงเลยว่าเด็กหญิงที่พวกเขาทุบตีและโขกสับต่าง ๆ นานามาโดยตลอดนั้น จะมีชาติกำเนิดที่แท้จริงเป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์ปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่าบิดาของนางก็คือ…
ซูเถี่ยจู้กับหม่าซานเหนียงตกใจมากจนทรุดตัวลงกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านเดียวกันที่มาสังเกตการณ์ แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านที่ได้ยินคำพูดของหลินเจิ้งชิงอย่างชัดเจน ก็ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนอ้าปากค้าง
พวกเขามองไปที่เสี่ยวเป่าด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตา กลายเป็นว่า…นางมีสถานะเป็นถึงองค์หญิง!
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านนึกไปถึงตอนที่ชาวบ้านปฏิบัติต่อมารดาและบุตรสาวคู่นี้ ดวงตาของพวกเขาพลันมืดมนลงชั่วขณะ คนอื่น ๆ ก็รู้สึกผิดเช่นกัน และส่วนใหญ่ก็นึกเสียดายขึ้นมาทันที ถ้า…ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อมารดาและบุตรสาวคู่นี้ดีมากกว่านี้อีกสักหน่อย พวกเขาคงได้รับชื่อเสียงและมีอำนาจมากมายในอนาคตแน่นอน!
และการที่องค์หญิงเคยอยู่ในหมู่บ้านของพวกเขา ก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!
น่าเสียดาย ตอนนี้สายเกินกว่าจะแก้ไขสิ่งใดได้อีกแล้ว
หม่าซานเหนียงกล่าวอย่างทุกข์ระทม ร้องไห้แทบขาดใจ
“มะ ไม่ ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ พวกเราไม่ได้ดูหมิ่นเสี่ยวเป่า นี่เป็นความเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้น ปกติเราไม่ได้ใจร้ายกับนางเช่นนี้”
หลินเจิ้งชิงกล่าวตัดบทว่า "เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือไร? หากข้าไม่หยุดเจ้าเมื่อครู่นี้ นางคงถูกทุบตีไปแล้วจริง ๆ"
ซูเถี่ยจู้หันไปมองหน้าหม่าซานเหนียงด้วยแววตาดุร้าย "ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามตีเสี่ยวเป่า!"
หญิงร่างอ้วนตกใจจนทั้งร่างและน้ำเสียงสั่นไม่หยุด
"ขะ ข้า…"
[1] เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน มาจากประโยค 个有娘生没娘养的小畜生 แปลได้ว่า มีแม่ให้กำเนิด แต่ไม่มีแม่ให้สั่งสอน
บทที่ 2 ลงโทษ (รีไรท์)
บทที่ 2 ลงโทษ (รีไรท์)
หลินเจิ้งชิงถามเสี่ยวเป่าว่า นางต้องการให้พวกเขาถูกลงโทษอย่างไร
เด็กหญิงถือป้ายวิญญาณของมารดา คิ้วขมวดมุ่น "พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ"
หลินเจิ้งชิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง "เจ้าไม่อยากแก้แค้นให้ตัวเองบ้างหรือ?"
เด็กหญิงสูดลมหายใจเข้า “ถึงแม้พวกเขาจะปล่อยให้ข้าหิวและทุบตีข้า แต่พวกเขายังคงเป็นญาติของท่านแม่ จากนี้ไป เสี่ยวเป่าไม่ต้องการพวกเขาแล้ว ท่านลุงลองปล่อยให้พวกเขาอดอาหารดูบ้าง ปล่อยให้พวกเขาหิวโหยจะได้รับรู้ว่าข้ารู้สึกอย่างไร เท่าก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ ฮึ่ย!”
หลินเจิ้งชิงมององค์หญิงตัวน้อยเบะปากทำเสียงราวกับว่านางลงโทษครอบครัวนี้ได้หนักหนาสาหัส ก็รู้สึกพอใจมาก
เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ นางยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งจริง ๆ
หลินเจิ้งชิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ได้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาอดอาหารสักสองวัน"
ตอนนี้ซูเสี่ยวเป่ามีความสุขมาก นางถือป้ายวิญญาณของมารดาและเงยใบหน้ามอมแมมขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตางดงามเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“พวกเราไปหาท่านพ่อกันเถอะเจ้าค่ะ!” เสียงของเด็กน้อยร่าเริงมาก
แม้เขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้ แต่ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูอีกฝ่าย
ทว่าเมื่อคิดถึงบิดาผู้บังเกิดเกล้าของซูเสี่ยวเป่าแล้ว เขาก็อดสงสารนางไม่ได้จริง ๆ
หลินเจิ้งชิงพูดอย่างนุ่มนวลว่า "บิดาของเจ้างานยุ่งมาก อาจจะไม่มีเวลามาพบเจ้าเท่าไหร่ แต่จะมีคนคอยดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิด เพราะฉะนั้น หากไปถึงพระราชวังแล้วเสี่ยวเป่ายังไม่ได้พบกับบิดา ก็ไม่ต้องน้อยใจไป เข้าใจหรือไม่?”
ซูเสี่ยวเป่าเอียงหัวอย่างสงสัย "พระราชวังหรือ? ที่นั่นคือที่ใด เสี่ยวเป่าไม่เข้าใจ ใช่บ้านของบิดาหรือไม่?"
หลินเจิ้งชิงอธิบายให้นางฟังว่าราชวงศ์และพระราชวังคืออะไร เสี่ยวเป่าตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เพราะว่านางต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบิดาของตนเองให้ได้มากที่สุด
รถม้าพาเสี่ยวเป่าเข้าไปในเมือง เมื่อม่านของรถม้าถูกเลิกขึ้น เสี่ยวเป่าก็มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายขณะที่ปากอ้ากว้าง นางส่งเสียงอุทานออกมาตลอดเวลา
"คนเยอะจังเลยเจ้าค่ะ"
ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยเดินทางเข้าเมืองมาก่อน เมื่อมองไปยังท้องถนนที่จอแจในขณะนี้ สีหน้าของนางจึงมีความสุขมาก
หลินเจิ้งชิงนั่งถัดจากนาง จู่ ๆ เขาก็พบว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังจ้องมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น ท่าทางความอยากรู้นี้กลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
หลินเจิ้งชิงเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าสถานที่ที่เด็กหญิงกำลังจ้องมองอยู่นั้นเป็นร้านขายซาลาเปา และผู้ขายยังคงตะโกนเสียงดังฟังชัดเจน
"ซาลาเปาจ้า ซาลาเปาลูกโต ๆ"
โครก~!
เสียงท้องร้องดังมาจากท้องของเสี่ยวเป่าในเวลาที่เหมาะสมพอดิบพอดี
เช้านี้นางได้รับประทานเพียงผลไม้รสเปรี้ยว นอกจากจะไม่อิ่มแล้ว มันยังทำให้นางรู้สึกหิวมากขึ้นอีกด้วย
หลินเจิ้งชิงกวักมือเรียก ออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลงไปซื้อซาลาเปา
เมื่อซาลาเปานึ่งลูกโต ๆ ถูกส่งให้เสี่ยวเป่า ดวงตาที่ใสกระจ่างของเด็กหญิงก็เปล่งประกายอย่างน่าอัศจรรย์
"เสี่ยวเป่ากินมันได้หรือไม่?"
ซูเสี่ยวเป่าไม่ได้รับซาลาเปามาในทันที แต่มองหลินเจิ้งชิงกลับไปอย่างน่ารักและน่าสงสาร
“กินได้อยู่แล้ว เพราะซาลาเปาเหล่านี้เป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
"ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ!"
เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความดีใจ หลังจากนั้น นางก็พยายามเช็ดมือที่สกปรก แต่แล้วก็ต้องยอมรับด้วยความลำบากใจว่าตนเองไม่สามารถเช็ดมันให้สะอาดได้
“แวะโรงเตี๊ยมกันก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้าได้ไปอาบน้ำ”
เด็กหญิงแสดงรอยยิ้มเขินอาย รับคำว่า "ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ"
หลังจากนั้น นางก็อ้าปากเล็ก ๆ กัดซาลาเปานึ่งยัดไส้แสนอร่อย ซูเสี่ยวเป่ารับประทานด้วยท่าทางพึงพอใจ แก้มที่มอมแมมเล็กน้อยพองกลมและดวงตาก็สดใสขึ้น
นางดูไม่ต่างจากตุ๊กตาตัวน้อยที่ทำให้ผู้คนเอ็นดูได้ตั้งแต่แรกเห็น
ซูเสี่ยวเป่ายัดซาลาเปานึ่งเข้าปากไม่หยุด นางพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมาตลอดเวลา แต่เพราะในปากมีแต่ซาลาเปา เขาจึงไม่รู้ว่าเด็กหญิงกำลังพูดอะไรอยู่
หลินเจิ้งชิงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาทำความสะอาดใบหน้าให้แก่เด็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ค่อย ๆ กินเถิด เคี้ยวหมดแล้วเจ้าค่อยพูดออกมาก็ได้"
เสี่ยวเป่าพยักหน้าและรอจนซาลาเปาในปากถูกเคี้ยวจนหมด ก็พูดออกมาด้วยความพอใจว่า "อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ"
ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่นางต้องการจะกล่าวก่อนหน้านี้
แล้วนางก็เริ่มกินซาลาเปาต่อไป…
เมื่อไปถึงโรงเตี๊ยม เสี่ยวเป่ากินซาลาเปาของตนเองจนหมดแล้ว ท้องเล็ก ๆ หยุดส่งเสียงร้อง แต่นัยน์ตาสีดำขลับคู่สวยยังคงจ้องมองซาลาเปาอีกลูกที่ยังอยู่ในมือของหลินเจิ้งชิงไม่วางตา
หลินเจิ้งชิงกวักมือเรียก สตรีในชุดนางกำนัลรับใช้สีชมพูอ่อนสองนางพลันก้าวมาข้างหน้า แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า
“คุณหนู พวกเราเตรียมน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
หลินเจิ้งชิงกล่าวออกมาว่า "ไปอาบน้ำก่อนเถอะ แล้วค่อยกลับมาทานต่อ"
ซูเสี่ยวเป่าพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แต่ก่อนจะจากไป นางยังคงจ้องมองซาลาเปาอย่างไม่เต็มใจอยู่หลายครั้ง ราวกับกลัวว่าซาลาเปาลูกนั้นจะลอยหายไปในสายลมก็ไม่ปาน
เมื่อเด็กน้อยเดินออกไปกับนางกำนัล รอยยิ้มบนใบหน้าหลินเจิ้งชิงก็สลายหายไปในพริบตา
“ไปดูว่าพวกเขาปฏิบัติต่อองค์หญิงอย่างไรบ้าง”
"ขอรับ!"
องครักษ์ที่ถือฝักกระบี่ประสานกำปั้นรับคำสั่งและจากไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเนื้อตัวของเสี่ยวเป่าจะสกปรกและเสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง แต่ยังดีที่ไม่มีบาดแผลอยู่บนร่างกายของนาง
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงผู้งดงามอ่อนหวานก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทุกคน นางกำนัลสองคนนั้นถึงกับตกตะลึงไปในทันที
"องค์หญิงงดงามมากเลยเพคะ!"
นางกำนัลที่มีนิสัยร่าเริงคนหนึ่งอดประหลาดใจไม่ได้
นี่คือเด็กหญิงผู้อ่อนหวานและงดงามที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมา อีกอย่างนางแทบจำไม่ได้เลยว่า องค์หญิงเคยเนื้อตัวมอมแมมขนาดไหนมาก่อน
เสี่ยวเป่าเคยได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากมารดาของนาง อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเด็กน้อยที่สะอาดและงดงามที่สุดในหมู่บ้านอีกด้วย
แต่หลังจากที่ท่านแม่เสียชีวิตไป เด็กหญิงก็เริ่มหิวโหยและร่างกายก็เริ่มผอมแห้ง แต่เมื่อได้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย นางก็ยังคงเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่บอบบางและสวยงามดังเดิมอยู่ดี
เสี่ยวเป่าได้อาบน้ำชำระคราบสกปรกแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง
“หอมจังเลย!” นางยกเท้าน้อย ๆ ของตนเองขึ้นมาดม
เมื่อเห็นเช่นนี้ นางกำนัลทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "ใช่แล้วเพคะ องค์หญิงน้อยของพวกเราตัวหอมมาก ไปเปลี่ยนชุดกันเถิดเพคะ"
ด้วยความช่วยเหลือจากนางกำนัลทั้งสองคน เสี่ยวเป่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีเหลืองสดใส โดยปล่อยผมที่เปียกชื้นให้ยาวสยาย นางแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะไปหาหลินเจิ้งชิงเพื่อทานซาลาเปาอีกครั้ง
“องค์หญิง! องค์หญิงเพคะ ได้โปรดวิ่งช้าลงหน่อย!”
แม้เสี่ยวเป่าจะขาสั้น แต่นางกลับวิ่งเร็วมาก
นางกำนัลทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังแทบจะไล่ตามไม่ทัน
หลังจากนั้น นางก็วิ่งไปชนหลินเจิ้งชิงเข้าจนเกือบจะหงายหลัง
เด็กหญิงมองขึ้นไปก็เห็นว่าเป็นหลินเจิ้งชิง จากนั้นดวงตาวาววับก็มองไปที่มือของเขาโดยไม่รู้ตัว
ซูเสี่ยวเป่าหรี่ตาลงทันทีเมื่อไม่เห็นซาลาเปานึ่งที่กำลังนึกถึง
หลินเจิ้งชิงมองเด็กน้อยที่เนื้อตัวสะอาดแล้ว คิ้วกับดวงตาของนางมีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นมารดามากทีเดียว
เขาเคยเห็นภาพเหมือนของซูหว่านเหนียงมาก่อน แม้ว่าจะเป็นการเห็นโดยบังเอิญ แต่เขาก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี
ซูเสี่ยวเป่าเกิดมามีหน้าตางดงามและชาติกำเนิดสูงส่ง ถือเป็นการหลอมรวมข้อดีของบิดามารดาเข้าด้วยกัน อายุเพียงเท่านี้ก็พอมองออกแล้วว่าเมื่อเติบโตขึ้น นางจะต้องเป็นยอดหญิงงามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
เอาแค่ความคล้ายคลึงกันระหว่างคิ้วกับดวงตาของนาง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยในชาติกำเนิดของเด็กหญิงผู้นี้อีกแล้ว
บางครั้ง ดวงตาที่สดใสของเด็กหญิงก็เผยให้เห็นความหมองหม่น ทุกสิ่งที่นางกำลังคิดมักจะถูกแสดงออกมาทางใบหน้าโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่าหลินเจิ้งชิงก็สังเกตเห็นเช่นกันและเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์ในขณะที่กำลังหัวเราะไปพร้อมกับนาง
นี่คือองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ยของพวกเขา นางควรจะมีชีวิตที่ร่ำรวยและมั่งคั่ง แต่กลับมีชะตากรรมที่น่าเวทนาเหลือเกิน
บทที่ 3 ภูตน้อยผู้อาภัพ (รีไรท์)
บทที่ 3 ภูตน้อยผู้อาภัพ (รีไรท์)
เขากวักมือเรียก แล้วคนรับใช้ที่อยู่ทางด้านหลังก็ยื่นซาลาเปาลูกโตที่ห่อด้วยกระดาษซับน้ำมันมาให้ทันที
"รับไปสิ"
แววตาของเด็กตรงหน้าเป็นประกายขึ้นมาทันที
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"
คราวนี้ นางถือซาลาเปาลูกโตด้วยสองมือที่ขาวสะอาด ซาลาเปาที่ร้านนี้ทำใช้วัตถุดิบชั้นดีมากมาย และมันก็มีขนาดใหญ่แทบจะเท่าใบหน้าของนางแล้ว
เสี่ยวเป่ากัดซาลาเปาเข้าปาก แก้มนิ่มขาวนวลราวหิมะพองกลมในพริบตา เด็กหญิงตัวน้อยกำลังกินซาลาเปาอย่างจริงจังและมีความสุขยิ่งนัก
หลินเจิ้งชิงอดไม่ได้ที่จะมองไปด้านข้าง ซาลาเปาร้านนี้อร่อยจริง ๆ หรือ?
พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ หลินเจิ้งชิงวางแผนจะพาคนออกไปเมื่อซูเสี่ยวเป่าอิ่ม
ทว่าตอนที่เขากำลังจะสั่งให้คนออกเดินทางต่อ ซูเสี่ยวเป่าก็ดึงชายเสื้อของเขาและถามอย่างระมัดระวังว่า
"ข้าขอซื้อของได้หรือไม่เจ้าคะ? เสี่ยวเป่าขอเวลาเพียงนิดเดียวเท่านั้น"
หลินเจิ้งชิงยอบกายลง มือลูบศีรษะของเด็กหญิงที่นางกำนัลรับใช้รวบผมที่แห้งแล้วให้เป็นมวยน่ารัก ดูคล้ายกับนางฟ้าตัวน้อยเสด็จจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์
“ย่อมได้ องค์หญิงน้อยสามารถทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่ายิ้มกว้างจนคิ้วและดวงตาโค้งราวพระจันทร์เสี้ยว นางดูงดงามและเปล่งประกายที่สุด กลิ่นอายความสุขแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายเด็กหญิงโดยไม่รู้ตัว
เป็นเรื่องง่ายมากที่ผู้คนจะตกหลุมรักนาง
“เช่นนั้น ขอข้านำเงินออกมาก่อนนะเจ้าคะ”
นางหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาจากเสื้อผ้าชุดเก่าอย่างระมัดระวัง และเหรียญทองแดงข้างในก็ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
เสี่ยวเป่าเทเหรียญทองแดงทั้งหมดออกมานับทีละเหรียญ
เหรียญทองแดงห้าสิบเหรียญ ซึ่งแต่ละเหรียญล้วนสะอาดหมดจด
ทั้งหมดนี้เป็นของที่มารดาคนสวยทิ้งไว้ให้นาง
เด็กหญิงถือเหรียญทองแดงห้าสิบเหรียญอยู่ในมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
"ข้า…ข้าอยากจะซื้อเมล็ดพันธุ์เจ้าค่ะ"
ซูเสี่ยวเป่ามีความลับ ก่อนที่นางจะกลายเป็นบุตรสาวของท่านแม่นั้น อันที่จริง นางเคยเป็นภูตพฤกษาที่กำลังเจริญวัยใกล้จะก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ สำหรับภูตพฤกษามันเป็นเรื่องง่ายที่จะรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ เพราะกฎแห่งสวรรค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น
ทว่า…นางกลับอาภัพ!
ด่านเคราะห์ครั้งล่าสุด นางกลับเผอิญประสบกับมังกรวารีทมิฬ ซึ่งกำลังข้ามผ่านด่านเคราะห์ ทัณฑ์อัสนีของมังกรวารีทมิฬตนนั้นรุนแรงยิ่ง โชคไม่ดีที่นางเข้ามาพัวพัน แล้วสติของนางก็ดับวูบไปในทันที
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็กลายเป็นเด็กแรกเกิดไปเสียแล้ว
นางกลายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ แต่พลังวิญญาณหายไป!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็นึกโมโหขึ้นมาทุกที!
โชคดีที่โลกนี้มีพลังวิญญาณเช่นกัน ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าโลกที่แล้วมาก นางจึงค่อย ๆ สะสมพลังวิญญาณในร่างกายซึ่งมารดาคนสวยเคยใช้มาก่อน
แต่ร่างกายของมารดาอ่อนแอเกินไป พลังวิญญาณจึงมีเพียงเล็กน้อยและเสี่ยวเป่าก็ไม่สามารถช่วยเหลือมารดาได้ เพราะนางยังเด็กเกินไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเป่าพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมา
เมื่อครั้งที่ยังเป็นภูตพฤกษา สิ่งที่ซูเสี่ยวเป่าชื่นชอบมากที่สุดคือการรวบรวมเมล็ดพันธุ์ทุกชนิด จากนั้นก็เสาะหาสถานที่เพื่อปลูกและเฝ้าดูมันเติบโต
ตอนนั้น นางชอบขึ้นไปบนภูเขาเป็นครั้งคราวเพื่อเก็บเมล็ดพืช สิ่งที่นางได้มามักเป็นดอกไม้และพืชป่าทั่วไป
ทว่าตอนนี้นางเป็นมนุษย์แล้ว ไม่สามารถกินได้เพียงน้ำหวานและน้ำค้างอีกต่อไป แต่นางต้องกินอาหารด้วย
เมื่อเผชิญกับความอดอยากก่อนหน้านี้ เสี่ยวเป่าจึงต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์เพิ่มเติม เมื่อไปถึงบ้านใหม่ นางสงสัยว่าจะปลูกมันได้หรือไม่
น่าเสียดายที่นางไม่สามารถนำเมล็ดพันธุ์ที่เก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้มาได้
หลินเจิ้งชิงรู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อเห็นเหรียญทองแดงห้าสิบเหรียญที่เด็กน้อยถืออยู่
นางเป็นถึงพระธิดาเพียงพระองค์เดียวในราชวงศ์ต้าเซี่ย ทว่าชีวิตของนางน่าสงสารเกินไป
หลินเจิ้งชิงกล่าวว่า "ได้แน่นอน องค์หญิงน้อย ท่านสามารถซื้อได้มากตราบที่ท่านต้องการ"
ซูเสี่ยวเป่าเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มหวานในทันที ท่านลุงผู้นี้ใจดีมาก
เพราะเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไม่ได้มีราคาแพงมาก นางจึงสามารถซื้อได้มากมายด้วยเหรียญทองแดงห้าสิบเหรียญในมือ
เสี่ยวเป่าเลือกเมล็ดผักแต่ละเมล็ดที่อวบที่สุดและแข็งแรงที่สุดสิบชนิดอย่างระมัดระวัง
นางสามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ดีขึ้นได้หากรับมันไปดูแลด้วยตนเอง!
“มีเท่านี้เองหรือเจ้าคะ?”
ซูเสี่ยวเป่ามองดูเมล็ดพันธุ์ไม่กี่ชนิด ก่อนจะหวนนึกถึงเมล็ดพันธุ์ที่นางเคยเก็บไว้มากขึ้นเรื่อย ๆ
"นี่…นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่ผู้คนนิยมซื้อไปเพาะปลูกทั้งสิ้น"
เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านเกาหัวแล้วตบมือราวกับจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“โอ้ จริงด้วย! ก่อนหน้านี้มีกองคาราวานพ่อค้าผ่านมาที่ตำบลของเรา พวกเขานำของแปลก ๆ มาให้ หนึ่งในนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน เถ้าแก่ของเราก็ซื้อมาและพยายามขายนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่ขายไม่ออก เจ้ารออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวข้าจะไปตามเถ้าแก่ออกมาคุย”
พูดจบ เสี่ยวเอ้อร์ก็รีบวิ่งเข้าไปยังห้องที่อยู่ด้านในและบอกเจ้าของร้าน จากนั้นนางก็เห็นชายวัยกลางคนเดินออกมาพร้อมกับเมล็ดพืชด้วยรอยยิ้มมีลับลมคมใน
"นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่ข้าซื้อมาจากกองคาราวาน เจ้าลองดูว่ามีสิ่งที่ต้องการหรือไม่?"
ขณะที่พูด เจ้าของร้านก็ยื่นเมล็ดให้หลินเจิ้งชิง เพราะในหมู่พวกเขาเห็นได้ชัดว่าหลินเจิ้งชิงดูจะเป็นผู้รับผิดชอบการใช้จ่ายทั้งหมด
ซูเสี่ยวเป่าเขย่งเท้า ชะเง้อคอมองของในมือเถ้าแก่อย่างกระตือรือร้น
เด็กหญิงที่เนื้อตัวขาวราวหิมะดูน่าสงสารเล็กน้อย
"ให้นางดู"
หลินเจิ้งชิงแสดงท่าทางให้เด็กหญิงตัวน้อยดู
เจ้าของร้านก็ฉลาดเช่นกัน เขาส่งเมล็ดพันธุ์ให้ซูเสี่ยวเป่าพร้อมกับรอยยิ้ม
เด็กหญิงเห็นเมล็ดพันธุ์ของผลไม้หลายชนิดได้อย่างรวดเร็ว
ในบรรดาเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น นางพอใจกับเมล็ดแตงโมมากที่สุด เมล็ดสีดำขนาดเล็กดูแล้วราวกับว่าพวกมันไร้ซึ่งชีวิต
"ข้าอยากได้เมล็ดทั้งหมดนี้ ราคาเท่าไหร่หรือเจ้าคะ"
เถ้าแก่ยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่
"เพราะเมล็ดพันธุ์พวกนี้มาจากต่างอาณาจักร ข้าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อพวกมัน แต่ข้าขายสิ่งเหล่านี้ที่นี่ไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงขายให้เจ้าในราคาถูกสุด ๆ เมล็ดทั้งหมดนี้ราคาหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น”
หลังจากเขาพูดจบ รอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของเสี่ยวเป่าทันที
เมื่อรวมกับเมล็ดพันธุ์ที่นางเลือกไว้ก่อนหน้านี้ พวกมันก็มีราคามากกว่าหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงแล้ว!
เด็กหญิงก้มมองเหรียญทองแดงห้าสิบเหรียญ พลันรู้สึกถึงความยากจนของตนเองในพริบตา
นางถอนหายใจ
"เช่นนั้นข้า…” ขอซื้อมันแค่บางส่วน
"เอาทั้งหมดนี้เลย"
ก่อนที่ซูเสี่ยวเป่าจะทันได้พูดส่วนที่เหลือ น้ำเสียงหนักแน่นของหลินเจิ้งชิงก็ดังขึ้นมา แล้วเขาก็ยื่นก้อนเงินให้เถ้าแก่ร้าน
ซูเสี่ยวเป่า "!!!"
ก้อนเงิน คนรวยนี่นา!
"โอ๊ะ ทราบแล้วขอรับ!"
เถ้าแก่รับเงินไปอย่างรวดเร็วและมอบเมล็ดพันธุ์ให้ราวกับกลัวว่าคนซื้อจะเปลี่ยนใจ
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างขอบคุณ
"ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ ไว้เสี่ยวเป่ามีเงินเมื่อใดจะต้องใช้คืนท่านลุงอย่างแน่นอน"
มารดาสอนนางเสมอว่า เมื่อยืมเงินผู้อื่นมาแล้วก็ต้องใช้คืนเสมอ มิเช่นนั้นนางจะกลายเป็นเด็กไม่ดี
หลินเจิ้งชิงมององค์หญิงน้อยด้วยความรู้สึกสงสาร ตัวเขาเองก็มีบุตรเช่นกัน แต่ลูก ๆ ของเขาซุกซนเกินกว่าจะควบคุมได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงประทับใจเด็กน้อยที่มีนิสัยสุภาพอ่อนหวานอย่างซูเสี่ยวเป่า และต้องอย่าลืมว่านางถึงเป็นธิดาเพียงองค์เดียวของคนผู้นั้นด้วย