โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

การดวลแห่งยุคสมัยใหม่ที่เราอาจได้เห็นไปอีกนาน

THE STANDARD

อัพเดต 09 มิ.ย. เวลา 02.22 น. • เผยแพร่ 09 มิ.ย. เวลา 02.22 น. • thestandard.co
การดวลแห่งยุคสมัยใหม่ที่เราอาจได้เห็นไปอีกนาน

5 ชั่วโมง 29 นาที คือระยะเวลาการดวลกันในสนามฟิลิปป์ ชาตริเยร์ ณ โรลังด์ การ์รอส ของสองนักหวดที่ดีที่สุดในโลกเวลานี้ ยานนิก ซินเนอร์ มือ 1 ของโลกจากอิตาลี และ คาร์ลอส อัลคาราซ แชมป์เก่า มือ 2 ของโลกจากสเปน

ตัวเลขเกือบ 5 ชั่วโมงครึ่งนี้ ถือเป็นแมตช์รอบชิงชนะเลิศที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์เฟรนช์โอเพน ทำลายสถิติเดิมของ มัทส์ วิลันเดอร์ จากสวีเดน ที่เอาชนะ กีเยร์โม วีลาส จากอาร์เจนตินาในปี 1982 ซึ่งใช้เวลา 4 ชั่วโมง 42 นาทีไปอย่างขาดลอย

แมตช์นี้มีแนวโน้มว่าจะเป็นหนังชีวิตตั้งแต่ต้นเกม เมื่อทั้งสองฝ่ายพยายามใช้เวลาใน Serve Clock อย่างเต็มที่ พร้อมจังหวะแรลลียาวๆ ให้เห็นตลอดเกม จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ทั้งคู่ยังเล่นกันได้แค่ 4 เกม เสมอกันอยู่ที่ 2-2 ในเซตแรก

ช่วงแรกของเกม ซินเนอร์ดูเหนือกว่าด้วยแผนการเล่นเกมสั้น โดยเน้นเสิร์ฟแรกที่แม่นยำและปิดแต้มให้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลากไปเล่นในสไตล์ของอัลคาราซที่เต็มไปด้วยพลังงานและการตอบโต้ที่ดุดัน

ซินเนอร์ใช้จุดแข็งของตัวเอง คือการยิงวินเนอร์อย่างแม่นยำและตีเสียค่อนข้างน้อย ทำให้เขาควบคุมจังหวะในช่วงแรกของเกมได้ดี สถิติในช่วงต้นเซตที่ 2 ระบุว่า ในแต้มสั้น (แรลลี 4 ช็อตหรือน้อยกว่า) ซินเนอร์เอาชนะไปได้ถึง 32 ต่อ 14 แต้ม ขณะที่ในแต้มยาวกว่า อัลคาราซกลับมาดีกว่าที่ 23 ต่อ 14 แต้ม

จุดตัดสินสำคัญคือเสิร์ฟแรกของซินเนอร์ ซึ่งในช่วงต้นแมตช์มีประสิทธิภาพสูงถึง 66% แม้จะมีเอซเพียง 8 ครั้งตลอดเกม แต่ก็ช่วยให้เขาคุมจังหวะได้ดี ก่อนที่ตัวเลขนี้จะลดลงเหลือ 54% เมื่อจบแมตช์

แผนของซินเนอร์ไม่ได้ผิด เขาเล่นอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมเกมและพยายามปิดแต้มอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเซตที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาควรจะปิดเกมให้ได้ แต่เขากลับพลาดเองที่ทำตามแผนนี้ได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ทั้งที่ออกสตาร์ทเซตนี้ด้วยการเบรกอัลคาราซได้ก่อน

เซตที่ 3 กลับกลายเป็นเซตเดียวใน 5 เซตที่ซินเนอร์ตีเสีย (Unforced Error) มากกว่าอัลคาราซ บางครั้งเขาอาจเร่งเกมเกินไปเพราะต้องการปิดแมตช์ให้เร็ว ทำให้ต้องเสี่ยงกับจังหวะที่ยากขึ้น

ที่น่าเสียดายคือในเกมที่ 9 ของเซตที่ 3 ซินเนอร์เบรกกลับมาออนเสิร์ฟได้ ไล่มาเป็น 4-5 และจะได้ลงมาเสิร์ฟเพื่อตีเสมอ แต่กลับเสียเกมเสิร์ฟด้วยเกมศูนย์ ทำให้อัลคาราซได้เซตคืนมาบ้าง ไล่มาเป็น 1-2 เซต

จุดนั้นเองเป็นจุดเปลี่ยนที่ซินเนอร์ปล่อยให้อัลคาราซกลับมาอยู่ในเกมได้อีกครั้ง

เซตที่ 4 คืออีกหนึ่งโอกาสทองของซินเนอร์ เมื่อเขานำ 5-4 และมี 3 แชมเปียนชิปพอยต์ ในเกมเสิร์ฟของอัลคาราซ แต่เขากลับไม่สามารถปิดแมตช์ได้ อัลคาราซไล่ตีจาก 0-40 กลับมาชนะ 5 แต้มรวด เซฟ 3 แมตช์พอยต์ได้อย่างเหลือเชื่อ และจากจุดนั้น เขากลับมายืนในจุดที่เหนือกว่าอีกครั้ง

บรรยากาศในสนามเริ่มส่งผลอย่างชัดเจน แฟนๆ ส่วนใหญ่ส่งเสียงเชียร์ให้อัลคาราซอย่างสุดเสียง เขาตอบสนองด้วยการปลุกเร้าฝูงชน ยกไม้ ชูมือ ชี้ไปที่หู เรียกเสียงสนับสนุน จนเหมือนโรลังด์ การ์รอส กลายเป็นสนามของเขา

แรงกดดันเริ่มตกอยู่กับซินเนอร์ เขาต้องพยายามต้านพลังเกมบุกของอัลคาราซ พร้อมทั้งรับแรงกดดันจากแฟนๆ ที่เอียงข้างอีกฝ่าย

แม้ในเซตสุดท้ายเขาจะเค้นพลังและเบรกเสิร์ฟใส่อัลคาราซได้ในช่วงปลายเซต และนำเฟรนช์โอเพน 2025 ไปตัดสินด้วยไทเบรก ซึ่งเป็นครั้ง ตั้งแต่ยูเอสโอเพน 2020 ที่รอบชิงแกรนด์สแลมต้องตัดสินด้วยไทเบรก

แต่ ณ จุดนั้นทุกอย่างเหมือนอยู่ในมือของอัลคาราซแล้ว และขึ้นนำก่อนถึง 7-0 ในการเล่นไทเบรก 10 คะแนนเพื่อตัดสินเกม ยิ่งเป็นเหมือนการยื่นมือไปคว้าถ้วยไปแล้วข้างหนึ่ง

สุดท้าย จึงกลายเป็นอัลคาราซ ที่พลิกแซงกลับมาชนะ 3-2 เซต ด้วยสกอร์ 4-6, 6-7 ไทเบรก 4-7, 6-4, 7-6 ไทเบรก 7-3 และ 7-6 ไทเบรก 10-2

ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงเป็นแชมป์เฟรนช์โอเพน สมัยที่ 2 และแกรนด์สแลมที่ 5 ของเขาเท่านั้น แต่อัลคาราซยังคงรักษาสถิติเข้าชิงแกรนด์สแลมและคว้าแชมป์ 100% เอาไว้ได้ต่อไป พร้อมกับขยับสถิติ เฮดทูเฮดกับซินเนอร์เป็น 8-4 และชนะรวด 5 นัดหลังสุด

แมตช์นี้ได้รับการยกย่องจากผู้บรรยายว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของเฟรนช์โอเพน เพราะไม่ใช่แค่ความยาวนาน แต่ยังเต็มไปด้วยกลยุทธ์ พลังใจ ความกล้าหาญ และบรรยากาศที่ตราตรึง

สิ่งที่น่าดีใจคือ แมตช์สุดยิ่งใหญ่นี้ ไม่ได้มาจากรุ่นใหญ่ระดับตำนานอย่าง โนวัค ยอโควิช ที่ยุคสมัยของเขาใกล้จะผ่านพ้นไปทุกขณะ แต่เกิดจาก 2 นักเทนนิสเลือดใหม่วัย 22 และ 23 ปี ที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกล

เมื่อเวลาผ่านไปแมตช์นี้ อาจจะถูกขนานนามว่าเป็นการดวลกันแห่งยุคสมัยของเทนนิส เหมือนแมตช์ระหว่าง ราฟาเอล นาดาล กับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในวิมเบิลดัน 2008 ก็เป็นได้

นี่จึงอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “การดวลแห่งยุคสมัย” ที่เราจะได้เห็นอีกหลายครั้งในอนาคต

อ้างอิง:

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...