‘สรท.’ ซัดปล่อยบาทแข็งเกินปัจจัยพื้นฐาน ฉุดส่งออก-ผลิต-ขีดแข่งขันไทย
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงผลกระทบจากบาทแข็งค่าและผันผวนเร็ว ว่า เป็นปัญหาของผู้ผลิตและส่งออก/นำเข้าสินค้าอย่างมาก เป็นเรื่องสำคัญอยากให้หน่วยงานที่ดูแลค่าเงิน เร่งบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับสกุลเงินหลัก ด้วยดอลลาร์สหรัฐมีพื้นฐานสำคัญกับการส่งออกและเศรษฐกิจของประเทศ เป็นเสาค้ำความสามารถแข่งขันของเศรษฐกิจไทย
ซึ่ง สรท. เห็นว่าการบริหารและควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท โดยเฉพาะเทียบกับเงินสกุลหลักของโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และมีความสำคัญไม่ด้อยไปกว่าเสาค้ำเศรษฐกิจด้านอื่น
ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญปัญหาเงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริงเพียงอย่างเดียว
แต่ได้รับอิทธิพลจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้น ธุรกรรมทางการเงินที่ไม่สอดคล้องกับกิจกรรมเศรษฐกิจจริง (non-trade related flows) และช่องว่างของมาตรการกำกับดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาคการส่งออก การผลิต การจ้างงาน และความสามารถแข่งขันในระยะยาว
โดยสรท. เห็นชัดว่าค่าเงินบาทแข็งเกินปัจจัยพื้นฐาน (Overvaluation) ประกอบด้วย
1.ค่าเงินบาทแข็งกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และผู้ส่งออกไทยต้องแบกรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น ขณะที่คู่แข่งได้เปรียบด้านราคา
2.เงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้น (Hot Money) เงินทุนไหลเข้าเพื่อเก็งกำไรค่าเงินและสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ก่อให้เกิดการลงทุนจริงหรือการจ้างงานในประเทศ และสร้างแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วและผันผวน
3.ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Cost) โดย SMEs และผู้ส่งออกขนาดกลางเข้าถึงเครื่องมือบริหารความเสี่ยงได้จำกัด และต้นทุน FX hedging สูงขึ้น กลายเป็นภาระเพิ่มแทนที่จะเป็นเครื่องมือช่วย
สำหรับของเสนอของ สรท. นั้น ควรยกระดับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเสาค้ำเศรษฐกิจระดับชาติ โดย สรท. ขอเสนอ 1.ให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เป้าหมายเชิงนโยบาย ว่า ค่าเงินบาทต้องไม่แข็งค่ากว่าค่าเฉลี่ยของประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ และใช้ค่าเงินเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นผลลัพธ์ทางการเงินเพียงอย่างเดียว
,2.ควบคุมและกำกับเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจจริง โดยอยากให้พิจารณา ดังนี้ มาตรการแยกแยะเงินทุน เงินทุนเพื่อการค้า การลงทุนจริง เงินทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น การใช้มาตรการเชิงป้องกัน (Macroprudential Tools) เช่น ระยะเวลาถือครองขั้นต่ำ ภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่อเงินทุนไหลเข้าในบางลักษณะ เพิ่มความโปร่งใสของธุรกรรม FX ที่ไม่เกี่ยวกับ trade/investment ซึ่งหลักการคือเปิดรับเงินทุนที่สร้างมูลค่า แต่จำกัดเงินทุนที่บิดเบือนระบบ
,3.ใช้นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนให้ “สอดประสาน” กับเศรษฐกิจจริง โดย สรท. เห็นว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและการดูแลค่าเงินต้องคำนึงถึงภาคการผลิต การส่งออก การจ้างงาน และไม่ควรปล่อยให้ภาคเศรษฐกิจจริงแบกรับต้นทุนจากเสถียรภาพทางการเงินฝ่ายเดียว
และ4.ควรลดต้นทุน FX Risk ให้ผู้ส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ทั้ง ขยายโครงการ hedging ต้นทุนต่ำ เพิ่มบทบาทรัฐ/สถาบันการเงินเฉพาะกิจในการร่วมรับความเสี่ยง และส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่น (Local Currency Settlement) กับประเทศคู่ค้า
“รัฐควรสื่อสารต่อสาธารณะว่า ค่าเงินบาทที่เสถียรและแข่งขันได้ไม่ใช่การบิดเบือนตลาด แต่คือการปกป้องฐานการผลิต การส่งออก และการจ้างงานของประเทศ ซึ่งจุดยืนของ สรท. คือ อัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ เสาค้ำความสามารถแข่งขันของประเทศ เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไม่เหมาะสม เท่ากับ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง การปล่อยให้เงินบาทแข็งเกินภูมิภาค เท่ากับ บั่นทอนเศรษฐกิจจริง และรัฐต้องมีบทบาทเชิงรุก ไม่ใช่เชิงรับ”