“บ้านเล็กในป่าใหญ่” คนอยู่กับป่าสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน
ปี พ.ศ. 2534 “โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่บ้านห้วยไม้หก” อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เกิดขึ้นเป็นแห่งแรก โดยมีจุดประสงค์หลักที่มุ่งเน้นให้คนได้อยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืนผ่านหลักการ 3อ. คือ อิ่ม มีอาหารแหล่งโปรตีน, อุ่น มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และอุดมการณ์ ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ราษฎรที่ขาดแคลนที่ดินทำกินหรือทำไร่เลื่อนลอย ได้มีที่ดินทำกินเป็นหลักแหล่ง พร้อมทั้งจะได้ร่วมกันฟื้นฟูป่าแหล่งต้นน้ำลำธารและส่งเสริมให้หมู่บ้านกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ในจังหวัดเชียงใหม่ยังมี “โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริ ดอยผ้าห่มปก” ตั้งอยู่หมู่ที่ 15 ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แรกเริ่มนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชเสาวนีย์กับคุณสหัส บุญญาวิวัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวังฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ให้พิจารณาหาพื้นที่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อจัดตั้งโครงการ ตามแนวทางบ้านเล็กในป่าใหญ่ ห้วยหญ้าไซ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย คุณสหัส ได้ให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาพื้นที่ที่เหมาะสม ซึ่งคณะทำงานได้คัดเลือกพื้นที่ดอยผ้าห่มปก เป็นพื้นที่ดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรให้ดีขึ้น รวมทั้งบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามแนวทางคนอยู่ร่วมกับป่า ในลักษณะ “บ้านเล็กในป่าใหญ่”
พื้นที่โครงการฯเป็นที่อยู่อาศัย และทำกินของชาวเขา 4 เผ่า ได้แก่ มูเซอ กระเหรี่ยง อาข่า และลีซอ นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า ชมแปลงเกษตรกรรมไม้ผล ไม้ดอกประดับ และพืชผักเมืองหนาว นาข้าวขั้นบันได เลือกซื้อของที่ระลึกจากชนเผ่า เช่น เครื่องเงิน เครื่องจักสาน ผ้าทอ งานแกะสลักไม้ พักผ่อนหย่อนใจด้วยการกางเต๊นท์พักแรมบริเวณลานกางเต๊นท์ระดับความสูง 1,610 เมตร จากระดับน้ำทะเล อีกทั้งสามารถนอนพักแรมในรูปแบบโฮมสเตย์ในบ้านชาวเขาแต่ละเผ่าได้อีกด้วย
“โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริ ดอยดำ” เกิดขึ้นหลังจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จทอดพระเนตรพื้นที่บริเวณดอยดำ ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2545 ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” ขึ้น
“ให้จัดตั้งเป็นบ้านเล็กในป่าใหญ่ขึ้น โดยมอบหน้าที่ให้ชาวบ้านในโครงการดูแลและปลูกฟื้นฟู พื้นที่ป่าบริเวณใกล้เคียง พร้อมทั้งเป็นยามเฝ้าระวังชายแดน”
แต่ด้วยพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เขตชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และ 2 จึงเกิดข้อจำกัดด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ การแก้ไขจึงต้องดำเนินการในลักษณะโครงการทดลองทางวิชาการเพื่อการบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ
โดยมีการคัดเลือกราษฎรยากจนไม่มีที่ทำกิน ขยัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเข้าร่วมโครงการ 4 ชนเผ่า ได้แก่ อาข่า ลีซอ มูเซอร์ และกะเหรี่ยง เผ่าละ 5 ครอบครัว รวม 20 ครอบครัว พัฒนาคุณภาพชีวิต (อิ่ม) รวมทั้งสร้างความมั่นคง (อุ่น) ตลอดจนสร้างจิตสำนึก (อุดมการณ์) ให้กับราษฎรที่เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งศึกษาหารูปแบบวิธีการและแนวทางในการจัดการให้คนอยู่กับป่าได้อย่างกลมกลืนโดยไม่ทำลายป่า แล้วมอบหน้าที่ในการดูแลรักษาป่าต้นน้ำลำธาร จำนวน 16,720 ไร่ ตลอดจนให้เป็นยามรักษาชายแดนรวมทั้งป้องกันปัญหายาเสพติดในพื้นที่ชายแดน
หลังจัดตั้งโครงการแล้วยังทรงมีพระราชดำรัสถึงโครงการนี้อีกหลายครั้ง เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2547 “ชาวบ้านปลูกงากันหรือไม่ งามีประโยชน์นะ” และเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 “ขยายการเลี้ยงปลาเพิ่ม ให้ดอยดำเป็นศูนย์ปลาเทร้าท์ของโครงการพระราชดำริ โดยให้กรมประมง และกรมชลประทานไปปรึกษา กปร.” และ “ให้หาปลาที่เลี้ยงได้ดีในที่มีอากาศหนาว รับประทานอร่อย มาให้ชาวบ้าน”
“โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริบ้านห้วยหญ้าไซ” อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 15มีนาคม 2542 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนราษฎร ณ บ้านห้วยหญ้าไซ ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ได้พระราชทานพระราชดำริในการจะอพยพราษฎรที่มีฐานะยากจน ไม่มีพื้นที่ ทำกินเป็นของตัวเองมาจัดตั้งหมู่บ้านใหม่ในลักษณะ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” ในพื้นที่ต้นน้ำแม่ตาช้าง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตาช้าง ส่วนอนุรักษ์ต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ ในขณะนั้น
บ้านห้วยหญ้าไซตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,080 เมตร บริเวณต้นน้ำแม่ตาช้าง เป็นพื้นที่ทำกินเก่าของชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า โดยโครงการมีขอบเขตพื้นที่ดำเนินการจำนวน 15,000 ไร่ สำหรับแผนพัฒนาป่าไม้นั้น ได้สนองพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ โดยมุ่งเน้นให้ “คน” อยู่ร่วมกับ “ป่า” ได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน “คน” ไม่ทำลายป่า และทำการปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าที่ถูกทำลายให้มีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังได้น้อมนำพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง “ป่าเปียก” มาพัฒนาในพื้นที่ ซึ่งทฤษฎีการพัฒนาป่าไม้ โดยการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างแนวป้องกันไฟป่าเปียก โดยก่อสร้างฝายต้นน้ำแบบผสมผสาน เพื่อกักเก็บน้ำ ชะลอความชุ่มชื้น และเก็บกักตะกอนดินไว้บางส่วน
“โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริบ้านหนองห้า” อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เป็นอีกโครงการที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรพื้นที่แนวชายแดนประเทศไทย-ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บริเวณดอยยอดห้วยน้ำลาว บ้านเย้าหนองห้า ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2545 พื้นที่บริเวณดังกล่าวได้ถูกบุกรุกแผ้วถางป่าเป็นบริเวณกว้าง บางส่วนมีการปลูกพืชเสพติด และมีปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน และราษฎรไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ได้เคยถวายฎีการ้องทุกข์ขอพระราชทานความช่วยเหลือเรื่องที่ทำกินเป็นจำนวนมาก
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” ขึ้นโดยนำชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ที่เคยขอพระราชทานความช่วยเหลือเรื่องที่ทำกินเข้ามาอาศัยและช่วยฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณบ้านหนองห้า เพื่ออนุรักษ์แหล่งต้นน้ำลำธาร ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ราษฎรได้เรียนรู้การทำเกษตรที่ถูกวิธี และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้การสนับสนุนการฝึกอบรมศิลปาชีพ ให้แก่ราษฎรที่จะเข้ามาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวตลอดจนจัดให้มีบริการขั้นพื้นฐาน เช่น การศึกษา การสาธารณสุขขั้นมูลฐาน การจัดระเบียบชุมชนเป็นหมู่บ้านแนวชายแดนเพื่อเฝ้าระวังป้องกันปัญหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย รวมถึงการอนุรักษ์และป้องกันการทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าตามแนวพระราชดำริ “คนอยู่กับป่า”
หลังจากครั้งนั้นแล้วสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรบ้านหนองห้า และทรงตรวจงานโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่บ้านหนองห้าอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ตั้งแต่ พ.ศ. 2545-2547 นับเป็นอีกหนึ่งพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระพันปีหลวงทรงทำเพื่อผืนแผ่นดินไทย ชาวพะเยาและพสกนิกรชาวไทยให้มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งต้นน้ำลำธารหล่อเลี้ยงชีพ และให้ชาวบ้านในพื้นที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยังคงดำเนินโครงการมาจนถึงปัจจุบัน