โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ปริศนา “ดอกเปาเซียง” จากพุทธศิลป์จีนสู่ศิลปกรรมไทย คือดอกอะไร?

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว
โถเคลือบลายคราม ศิลปะจีน สมัยราชวงศ์หยวน จากวัดพระพายหลวง นอกเมืองเก่าสุโขทัย มีลายดอกเปาเซียง (ซ้าย) และดอกโบตั๋น (ขวา) ประดับอยู่ (ภาพจาก เฟซบุ๊ก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง)

ลายดอกเปาเซียง คือลวดลายดอกไม้ที่พบได้บ่อย ๆ ในงานศิลปะจีน รวมถึงศิลปกรรมสุโขทัยและล้านนา แต่ดอกไม้นี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ ไม่มีอยู่จริง

ดอกเปาเซียงคืออะไร หรือดอกอะไรกันแน่?

“ดอกเปาเซียง”(宝相花 – Bao Xiang Hua) เป็นชื่อเรียกลวดลายดอกไม้ประดิษฐ์ในศิลปะจีน จากวัฒนธรรมพุทธศาสนาที่แผ่เข้าไปในจีน ผ่านการค้าบนเส้นทางสายไหม สันนิษฐานว่า พัฒนารูปแบบจาก“ลายตรีรัตน์”ดอกไม้ที่ประดับในกรอบวงกลมของพุทธสถานแห่งสาญจี (Sanchi) ในอินเดีย

ดอกเปาเซียงเริ่มปรากฏในงานศิลปกรรมจีนสมัยราชวงศ์เว่ย (พุทธศตวรรษที่ 8-9) และราชวงศ์จิ้น (พุทธศตวรรษที่ 9-10) เป็นต้นมา พร้อมความเชื่อว่า การได้เห็นดอกเปาเซียงเปรียบได้กับการพบ “พระพักตร์” ของพระพุทธองค์ หรือได้ชื่นชมพุทธบารมี พบทิพยสมบัตินิรันดร์

ดอกเปาเซียงเป็นที่นิยมมากขึ้นในยุคราชวงศ์สุย (พุทธศตวรรษที่ 11-12) และราชวงศ์ถัง (พุทธศตวรรษที่ 12-15) พร้อมรูปลักษณ์ที่ดูเป็นดอกไม้ในจินตนาการมากขึ้นเรื่อย ๆ

นักประวัติศาสตร์ศิลป์เรียกดอกเปาเซียงว่า“ดอกโบตั๋น” เป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย หรือ “ฮก” (福) หนึ่งในสามเทพสำคัญของลัทธิเต๋า แม้ความเป็นมาของดอกเปาเซียงไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในลัทธิเต๋าเลย

อย่างไรก็ตาม ดอกเปาเซียงมีความเกี่ยวข้องกับดอกโบตั๋นจริง ๆ เพราะเกิดจากการนำรูปลักษณ์ของ “ดอกโบตั๋น” มาผสมผสานกับ “ดอกบัว”

ดอกเปาเซียงปรากฏนอกแผ่นดินจีนเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยราชวงศ์หยวน) ในดินแดนทางใต้ ที่ชาวจีนมองว่าล้าหลังป่าเถื่อน ณ วัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย และเวียงท่ากาน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหลักฐานว่าสุโขทัยและล้านนารู้จักดอกไม้มงคลนี้จากการค้าและการทูตระหว่างดินแดนในสมัยนั้น

ในมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย มีลายดอกเปาเซียงเป็นลายเส้นจารึกลงบนแผ่นหินชนวนที่เล่าเรื่องชาดก ลักษณะเป็นดอกไม้เดี่ยว ๆ ขนาดใหญ่อยู่กลางภาพ แต่เป็นที่รู้จักในชื่อไทยว่า“ดอกมณฑารพ”ดอกไม้ทิพย์บนสวรรค์ในพุทธประวัติ (ไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด)

เครื่องปั้นดินเผาสุโขทัยก็เขียนดอกเปาเซียงประดับตรงก้นเช่นกัน แต่อาจไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาตรง ๆ คือ สะท้อนความปรารถนาให้อาหารอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยมากกว่า ส่วนเครื่องปั้นดินเผาล้านนา จะมีกลิ่นอายความเป็นดอกเปาเซียงจีนชัดกว่า เช่น จิตรกรรมพระบฏ สมัยพุทธศตวรรษที่ 21 ที่วัดเจดีย์สูง ก็เขียนดอกเปาเซียงเดี่ยว ๆ ลอยกลางอากาศ

จิตรกรรมสุโขทัยและล้านนามักใช้รูปลักษณ์ดอกเปาเซียง แล้วลงสีให้เป็นดอกมณฑารพ ซึ่งกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่าประกอบด้วยสีเขียว เหลือง ดำ หงสบาท (แสด) และแดง เพื่อเป็นการแสดงออกทางพุทธบูชาอย่างสูงสุด

แต่ศิลปกรรมดอกโบตั๋น ลายดอกบัว และดอกเปาเซียง ก็มีความใกล้เคียงกันจนสร้างความสับสนได้เช่นกัน วิธีสังเกตคือ ดอกโบตั๋นจะมีกลีบซ้อนกันเป็นพุ่ม ทรงกลมมน เกสรจับกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก (บางครั้งกลีบดอกกลบเกสรมิด) ต้นเป็นพุ่มขนาดเล็ก กิ่งก้านขดพันเกี่ยวกันไปมา ขณะที่ดอกบัวมักทำเป็นดอกตูมหรือมีกลีบแหลม

ส่วนดอกเปาเซียงที่เป็นดอกไม้ประดิษฐ์ จะมีกลีบยาวซ้อนและหยักตรงปลายกลีบ (เหมือนโบตั๋น) แต่รูปทรงดอกจะสูงกว่าโบตั๋น ถ้ามีเกสรจะมีขนาดใหญ่ ชูสูง รูปทรงเหมือนเกสรบัว หรือสัญลักษณ์มงคลอื่น ๆ เช่น เห็ดหลินจือ สร้อยไข่มุก รูปขวดปลายหยักโค้ง เป็นต้น

จากนี้หากพบลายดอกไม้ตามงานศิลปกรรมสุโขทัย ล้านนา หรือจีน ก็ลองสังเกตดูว่าใช่ “ดอกเปาเซียง” หรือไม่…

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง :

ฉัตรลดา สินธุสอน. ดอกเปาเซียง : พุทธศิลป์จีนคลี่คลายสู่ศิลปะสูโขทัยและล้านนา.นิตยสารศิลปากร มีนาคม – เมษายน พ.ศ. 2568.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 ธันวาคม 2568

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปริศนา “ดอกเปาเซียง” จากพุทธศิลป์จีนสู่ศิลปกรรมไทย คือดอกอะไร?

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...