ปริศนา “ดอกเปาเซียง” จากพุทธศิลป์จีนสู่ศิลปกรรมไทย คือดอกอะไร?
ลายดอกเปาเซียง คือลวดลายดอกไม้ที่พบได้บ่อย ๆ ในงานศิลปะจีน รวมถึงศิลปกรรมสุโขทัยและล้านนา แต่ดอกไม้นี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ ไม่มีอยู่จริง
ดอกเปาเซียงคืออะไร หรือดอกอะไรกันแน่?
“ดอกเปาเซียง”(宝相花 – Bao Xiang Hua) เป็นชื่อเรียกลวดลายดอกไม้ประดิษฐ์ในศิลปะจีน จากวัฒนธรรมพุทธศาสนาที่แผ่เข้าไปในจีน ผ่านการค้าบนเส้นทางสายไหม สันนิษฐานว่า พัฒนารูปแบบจาก“ลายตรีรัตน์”ดอกไม้ที่ประดับในกรอบวงกลมของพุทธสถานแห่งสาญจี (Sanchi) ในอินเดีย
ดอกเปาเซียงเริ่มปรากฏในงานศิลปกรรมจีนสมัยราชวงศ์เว่ย (พุทธศตวรรษที่ 8-9) และราชวงศ์จิ้น (พุทธศตวรรษที่ 9-10) เป็นต้นมา พร้อมความเชื่อว่า การได้เห็นดอกเปาเซียงเปรียบได้กับการพบ “พระพักตร์” ของพระพุทธองค์ หรือได้ชื่นชมพุทธบารมี พบทิพยสมบัตินิรันดร์
ดอกเปาเซียงเป็นที่นิยมมากขึ้นในยุคราชวงศ์สุย (พุทธศตวรรษที่ 11-12) และราชวงศ์ถัง (พุทธศตวรรษที่ 12-15) พร้อมรูปลักษณ์ที่ดูเป็นดอกไม้ในจินตนาการมากขึ้นเรื่อย ๆ
นักประวัติศาสตร์ศิลป์เรียกดอกเปาเซียงว่า“ดอกโบตั๋น” เป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย หรือ “ฮก” (福) หนึ่งในสามเทพสำคัญของลัทธิเต๋า แม้ความเป็นมาของดอกเปาเซียงไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในลัทธิเต๋าเลย
อย่างไรก็ตาม ดอกเปาเซียงมีความเกี่ยวข้องกับดอกโบตั๋นจริง ๆ เพราะเกิดจากการนำรูปลักษณ์ของ “ดอกโบตั๋น” มาผสมผสานกับ “ดอกบัว”
ดอกเปาเซียงปรากฏนอกแผ่นดินจีนเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยราชวงศ์หยวน) ในดินแดนทางใต้ ที่ชาวจีนมองว่าล้าหลังป่าเถื่อน ณ วัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย และเวียงท่ากาน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหลักฐานว่าสุโขทัยและล้านนารู้จักดอกไม้มงคลนี้จากการค้าและการทูตระหว่างดินแดนในสมัยนั้น
ในมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย มีลายดอกเปาเซียงเป็นลายเส้นจารึกลงบนแผ่นหินชนวนที่เล่าเรื่องชาดก ลักษณะเป็นดอกไม้เดี่ยว ๆ ขนาดใหญ่อยู่กลางภาพ แต่เป็นที่รู้จักในชื่อไทยว่า“ดอกมณฑารพ”ดอกไม้ทิพย์บนสวรรค์ในพุทธประวัติ (ไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด)
เครื่องปั้นดินเผาสุโขทัยก็เขียนดอกเปาเซียงประดับตรงก้นเช่นกัน แต่อาจไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาตรง ๆ คือ สะท้อนความปรารถนาให้อาหารอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยมากกว่า ส่วนเครื่องปั้นดินเผาล้านนา จะมีกลิ่นอายความเป็นดอกเปาเซียงจีนชัดกว่า เช่น จิตรกรรมพระบฏ สมัยพุทธศตวรรษที่ 21 ที่วัดเจดีย์สูง ก็เขียนดอกเปาเซียงเดี่ยว ๆ ลอยกลางอากาศ
จิตรกรรมสุโขทัยและล้านนามักใช้รูปลักษณ์ดอกเปาเซียง แล้วลงสีให้เป็นดอกมณฑารพ ซึ่งกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่าประกอบด้วยสีเขียว เหลือง ดำ หงสบาท (แสด) และแดง เพื่อเป็นการแสดงออกทางพุทธบูชาอย่างสูงสุด
แต่ศิลปกรรมดอกโบตั๋น ลายดอกบัว และดอกเปาเซียง ก็มีความใกล้เคียงกันจนสร้างความสับสนได้เช่นกัน วิธีสังเกตคือ ดอกโบตั๋นจะมีกลีบซ้อนกันเป็นพุ่ม ทรงกลมมน เกสรจับกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก (บางครั้งกลีบดอกกลบเกสรมิด) ต้นเป็นพุ่มขนาดเล็ก กิ่งก้านขดพันเกี่ยวกันไปมา ขณะที่ดอกบัวมักทำเป็นดอกตูมหรือมีกลีบแหลม
ส่วนดอกเปาเซียงที่เป็นดอกไม้ประดิษฐ์ จะมีกลีบยาวซ้อนและหยักตรงปลายกลีบ (เหมือนโบตั๋น) แต่รูปทรงดอกจะสูงกว่าโบตั๋น ถ้ามีเกสรจะมีขนาดใหญ่ ชูสูง รูปทรงเหมือนเกสรบัว หรือสัญลักษณ์มงคลอื่น ๆ เช่น เห็ดหลินจือ สร้อยไข่มุก รูปขวดปลายหยักโค้ง เป็นต้น
จากนี้หากพบลายดอกไม้ตามงานศิลปกรรมสุโขทัย ล้านนา หรือจีน ก็ลองสังเกตดูว่าใช่ “ดอกเปาเซียง” หรือไม่…
อ่านเพิ่มเติม :
- “พระบฏ” : พุทธศิลป์เพื่อพุทธบูชา
- พุทธศิลป์อีสาน กับนัยของอุดมการณ์ สังคมการเมือง และรัฐชาติ
- หน้าบันปูนปั้นแบบ “วิลันดา” ถึง “กระเท่เซ” สายสัมพันธ์ของวัฒนธรรมทางงานช่างไทย-เทศ
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ฉัตรลดา สินธุสอน. ดอกเปาเซียง : พุทธศิลป์จีนคลี่คลายสู่ศิลปะสูโขทัยและล้านนา.นิตยสารศิลปากร มีนาคม – เมษายน พ.ศ. 2568.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 ธันวาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปริศนา “ดอกเปาเซียง” จากพุทธศิลป์จีนสู่ศิลปกรรมไทย คือดอกอะไร?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com