โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สุจิตต์ วงษ์เทศ : 'ขุนบรม' วีรบุรุษในตำนานของผู้ไท ต้นตอ 'บรมราชา' และ 'อินทราชา' ในไทย

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 24 ก.ค. 2564 เวลา 18.31 น. • เผยแพร่ 25 ก.ค. 2564 เวลา 06.30 น.
แผนที่แสดงเส้นทางเคลื่อนไหวของภาษาและวัฒนธรรม “ขุนบรม” จากเมืองแถน ลุ่มน้ำแดง-ดำ (เวียดนาม) ถึง “บรมราชา” และ “อินทราชา” ในเมืองไทย ลุ่มน้ำเจ้าพระยา (โดยทนงศักดิ์ หาญวงษ์ มิถุนายน 2564)

 

‘ขุนบรม’ วีรบุรุษในตำนานของผู้ไท

ต้นตอ ‘บรมราชา’ และ ‘อินทราชา’ ในไทย

 

ผู้ไทจากเมืองแถน (เวียดนาม) เป็นบรรพชนต้นทางคนไทยในเมืองไทย (คือรัฐอยุธยา) พบเบาะแสเค้ามูลอยู่ในลาวเมื่อพวกผู้ไทโยกย้ายจากเมืองแถนไปตั้งหลักแหล่งอยู่แขวงซำเหนือ (ใกล้แขวงหลวงพระบาง ในลาว) ถูกพวกลาวนับเป็นไทย คือไม่นับเป็นลาว ข้อมูลนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ บอกเล่าไว้ในหนังสือ สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยศรีอยุธยา (สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ.2547 หน้า 352-353)

ผู้ไทถูกลาวนับเป็นไทยแต่ไม่นับเป็นลาว มีเหตุสำคัญอย่างหนึ่งจากความแตกต่างของการ “นับโคตร” สืบตระกูล กล่าวคือ ผู้ไทสืบตระกูลสายพ่อแล้วยกเพศชายเป็นใหญ่มีอำนาจเหนือหญิง ส่วนลาวสืบตระกูลสายแม่แล้วยกเพศหญิงเป็นใหญ่มีอำนาจเหนือชาย เรื่องนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ ชี้ว่าประเพณีนับโคตรสืบตระกูลของฝ่ายลาวยังมีลักษณะดั้งเดิม ส่วนฝ่ายผู้ไทก้าวพ้นไปแล้วจากลักษณะเดิม

ผู้ไทมีหลายกลุ่มได้แก่ ผู้ไทดำ, ผู้ไทขาว, ผู้ไทแดง (หรือไทดำ, ไทขาว, ไทแดง) ต่างเรียกตนเองตามชื่อแยกแต่ละกลุ่ม แต่เรียกอย่างรวมๆ ว่าผู้ไท โดย “ไม่ลาว” คือไม่นับตนเองเป็นลาว (เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ยังมีผู้ไทรุ่นเก่า อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ นับตนเองเป็นผู้ไท หรือไทย “ไม่ลาว” แต่ผู้ไทรุ่นปัจจุบันเชื่อว่าผู้ไทโยกย้ายจากฝั่งลาวไปตั้งหลักแหล่งในอีสาน จึงนับเป็นลาว ครั้นนานไปต่างยอมรับความเป็นลาวสืบจนทุกวันนี้)

การเรียกตนเองว่าผู้ไทกับถูกลาวนับเป็นไทยสืบมาแต่ดั้งเดิม น่าจะขับเน้นคำว่า ไท, ไทย เป็นที่รับรู้กว้างขวางทั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยาเมื่อราวพันปีมาแล้วหรือมากกว่านั้น ต่อมาได้หล่อหลอมเรียกตนเองว่าไทย แล้วมีชื่อเรียกต่างๆ ได้แก่ คนไทย, เมืองไทย, ไทยใหญ่, ไทยน้อย

 

วีรบุรุษในตำนานของผู้ไท

นอกจากภาษาและวัฒนธรรมจากเมืองแถนเป็นบรรพชนต้นทางของไทยในอยุธยาตามที่ยกมาแล้ว ยังพบว่าวีรบุรุษในตำนานของผู้ไทคือขุนบรม เป็นที่มาของนามบรมราชา วงศ์กษัตริย์ปกครองรัฐสุพรรณภูมิและรัฐอยุธยา ขณะเดียวกันลูกชายคนที่ 5 ของขุนบรมมีชื่อตัวว่าอิน หรืออินทร์ (แต่ในตำนานเรียกงั่วอิน คำว่า งั่ว แปลว่าลูกชายคนที่ 5) เป็นที่มาของนามอินทราชาหรือเจ้านครอินทร์ ตำแหน่งโอรสกษัตริย์รัฐสุพรรณภูมิและต่อไปได้เป็นกษัตริย์รัฐอยุธยา

วีรบุรุษในตำนานของผู้ไท มีสาระสำคัญโดยย่อว่าชื่อขุนบรมเป็นทายาทแถน ต่อมาขุนบรมมีลูกชาย 7 คน เมื่อโตขึ้นได้แยกย้ายไปสร้างบ้านแปลงเมือง มี 7 เมือง ล้วนมีความสัมพันธ์เป็นเมืองเครือญาติกัน โดยลูกชายคนที่ 5 ชื่องั่วอินไปสร้างเมืองอโยธยา

ตำนานวีรบุรุษเป็น “นิยายปรัมปรา” ซึ่งจะถือเป็นจริงตามนั้นทั้งหมดมิได้ แต่เลือกใช้งานได้เท่าที่พบหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีรองรับสนับสนุน โดยเฉพาะเป็นเครื่องบอกทิศทางความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ การเคลื่อนไหวของภาษาและวัฒนธรรมไท-ไต จากบริเวณ “โซเมีย” ทางลุ่มน้ำแดง-ดำ ในเวียดนามเหนือต่อเนื่องมณฑลกวางสีทางภาคใต้ของจีน ลงสู่ลุ่มน้ำโขง, สาละวิน, เจ้าพระยา แล้วเป็นต้นทางของชื่อไทย, คนไทยมีครั้งแรกบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา

บรมราชา ขุนหลวงพะงั่วเป็นเจ้าเมืองรัฐสุพรรณภูมิ (พะงั่ว กร่อนคำจากพ่องั่ว หมายถึงลูกชายคนที่ 5 งั่ว เป็นลูกชายลำดับที่ 5 เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับเชื้อวงศ์ละโว้) ต่อมาเสวยราชย์เป็นกษัตริย์รัฐอยุธยา มีพระนาม “บรมราชา” เป็นทางการว่าพระบรมราชา ที่ 1 แสดงความเกี่ยวดองชื่อ “ขุนบรม”

อินทราชา เจ้านครอินทร์ เป็นโอรสขุนหลวงพะงั่ว แสดงความเกี่ยวดองชื่อ “งั่วอิน” ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองรัฐสุพรรณภูมิ หลังจากนั้นเสวยราชย์เป็นกษัตริย์รัฐอยุธยา มีพระนาม “นครินทราธิราช” เรื่องนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ บอกว่า “คติความคิดเรื่องอินทรนี้ ไปสอดคล้องกับหลักฐานในพงศาวดารล้านช้างเรื่องขุนบูลมราชาส่งโอรสองค์ที่ 5 ชื่อเจ้างั่วอินทร์ ลงมาสร้างบ้านแปลงเมืองยังแคว้นละโว้โยทธิยา. เรายังจะต้องตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า บรรดาราชตระกูลสุพรรณบุรีที่ใช้นามอินทรเป็นนามสืบสกุลนี้ เมื่อได้ครองราชสมบัติแล้วมักใช้พระนามาภิไธยว่า ‘สมเด็จพระบรมราชาธิราช’. ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยานั้น จดลำดับกษัตริย์ไว้โดยใช้พระนามต่างกัน มีที่ใช้สมเด็จพระบรมราชาธิราชไม่กี่ครั้ง คือ พระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพงั่ว) องค์หนึ่ง กับ พระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพระยา) อีกองค์หนึ่ง, พระนามบรมราชาธิราชนี้ ก็เช่นเดียวกับเรื่องอินทรอีก คือตรงกันกับนามของขุนบูลมราชาผู้เป็นต้นโคตรวงศ์. พงศาวดารล้านช้าง เรียกขุนบูลมว่า ขุนบูลมราชา ซึ่งก็เป็นสำเนียงภาษาลาว ตรงกับคำว่า บรมราชา. นี่ทำให้เราต้องพิจารณานิทานเรื่องขุนบูลมราชาด้วยทรรศนะใหม่ ว่าน่าจะมีเค้ามูลความเป็นจริงอยู่มากทีเดียว, มิฉะนั้นก็คงจะไม่บังเอิญมาพ้องกันได้ถึงสองประเด็น คือ อินทร กับ บรมราชา. พระนามกษัตริย์ราชตระกูลอินทร์แห่งสุพรรณบุรีที่ครองกรุงศรีอยุธยานั้น แม้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาจะจดชื่อไว้ด้วยชื่อต่างๆ กัน แต่เราก็มีหลักฐานร่องรอยว่า โดยทางการแล้ว พระนามในสุพรรณบัฏคงใช้คำว่า บรมราชา นำหน้าทั้งนั้น.”

(คำอธิบายอย่างพิสดารเกี่ยวกับ “ตระกูลอินทร์” เรื่องนี้มีในหนังสือ สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนสมัยศรีอยุธยา ของจิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ.2547 หน้า 309-355)

 

สำเนียง “เหน่อ” แบบผู้ไท

ภาษาและวัฒนธรรมของผู้ไทจากเมืองแถนเป็นต้นตอสำเนียง “เหน่อ” ของลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง ฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเป็นต้นทาง “สำเนียงหลวง” ของอยุธยา จิตร ภูมิศักดิ์ บอกเบาะแสไว้นานแล้ว จะคัดมาแสดงไว้ชัดๆ เพื่อพิจารณาร่วมกันดังนี้

“ปลอกเขตภาษาที่เรียกกันว่าสำเนียงสุพรรณทั้งหมด ซึ่งคลุมในบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, นครปฐม, ราชบุรี และเพชรบุรี เป็นสำเนียงภาษาที่มีความสูงต่ำทางวรรณยุกต์คล้ายคลึงกับภาษาลาวเหนือทางแขวงหลวงพระบางไปถึงซำเหนือ (หัวพัน). นี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าแปลกใจมานานแล้ว. ภาษาพูดที่ชาวสุพรรณบุรีและกลุ่มสำเนียงนี้พูดเป็นภาษาไทย (ที่ว่า ภาษาไทย หมายความว่าเป็นภาษาที่ใช้ถ้อยคำและสำนวนอย่างไทยภาคกลาง ไม่ใช่ถ้อยคำและสำนวนอย่างลาวในประเทศลาว.) แต่สำเนียงเป็นสำเนียงลาวเหนือเจือปนจนสังเกตได้ชัด. จริงอยู่ในสมัยกรุงเทพฯ นี้ ได้เคยมีการกวาดต้อนพวกผู้ไทดำ (โซ่ง) ทางแขวงซำเหนือและลาวเวียงทางเขตเวียงจันทน์ ตลอดจนชาวเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง) มาไว้ที่จังหวัดสุพรรณบุรี-ราชบุรี-เพชรบุรี; แต่นั่นไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้สำเนียงภาษาไทยของชาวสุพรรณเป็นดังที่เป็นอยู่นี้ เพราะพวกที่ถูกกวาดมาในชั้นกรุงเทพฯ นี้ ตั้งบ้านของเขาอยู่เป็นหมู่ใหญ่ต่างหากไม่ปะปนกันกับชาวสุพรรณบุรี-ราชบุรี-เพชรบุรี เดิม และยังคงใช้ภาษาเดิมของตนจนกระทั่งทุกวันนี้, หาได้เคล้าคละปะปนทั้งชีวิตประจำวันและภาษาเข้ากับชาวเจ้าของถิ่นเดิมไม่; ทั้งสำเนียงของชาวสุพรรณบุรีก็เป็นแบบลาวเหนือมิใช่แบบผู้ไท” (สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาฯ พ.ศ.2547 หน้า 312-313)

สำเนียง “เหน่อ” แบบสุพรรณเป็นตัวอย่างซึ่งรู้จักแพร่หลายที่สุด แต่ยังมีแบบอื่นซึ่งสำคัญมาก ได้แก่ สำเนียงโคราช ล้วนมีต้นตอจากสำเนียงภาษาในวัฒนธรรมผู้ไทเมืองแถน

 

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...