โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ภาพยนตร์

เรื่องนี้เงินไม่เกี่ยว Jim Carrey อยากกลับมารับบทหน้ากากเทวดาในภาคต่อ 'The Mask' แต่ไอเดียต้องดีพอ

BT Beartai

อัพเดต 16 ธ.ค. 2567 เวลา 03.46 น. • เผยแพร่ 15 ธ.ค. 2567 เวลา 17.17 น.
เรื่องนี้เงินไม่เกี่ยว Jim Carrey อยากกลับมารับบทหน้ากากเทวดาในภาคต่อ 'The Mask' แต่ไอเดียต้องดีพอ

ก่อนหน้านี้ จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) ได้ให้สัมภาษณ์ขำ ๆ ถึงเหตุผลที่เขากลับมารับบท Dr. Robotnik อีกครั้งใน ‘Sonic the Hedgehog 3’ ที่กำลังจะเข้าฉายเร็ว ๆ นี้ว่าเป็นเพราะเหตุผลทางด้านการเงิน หลังจากนั้น แคร์รีย์ได้เปิดเผยว่า เขาอยากกลับไปรับบทกรินช์ (Grinch) เจ้าตัวเขียวใน ‘How the Grinch Stole Christmas’ (2000) อีกบทบาทที่เชื่อว่าหลายคนอยากเห็นเขากลับมาไม่แพ้กันก็คือ หน้ากากเทวดา ในภาคต่อของหนัง ‘The Mask’ (1994) ที่ส่งให้แคร์รีย์ดังสุดขีด ComicBook เลยถามแทนให้

“พระเจ้าช่วย ถ้าจะให้ผมรับบท ผมว่ามันต้องเป็นไอเดียที่ใช่จริง ๆ นั่นแหละครับ คือถ้าใครสักคนมีไอเดียที่เจ๋งพอ ผมอาจจะกลับไปเล่นก็ได้นะ…คือมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินหรอก เรื่องเงินน่ะผมพูดเล่น…”

“แต่สิ่งที่คุณไม่รู้ก็คือ มันเป็นของที่บางทีเราก็ไม่รู้จะไปกะเกณฑ์กับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง เรื่องที่ผมบอกว่าผมจะเกษียณน่ะนะ แต่จริง ๆ แล้ว ผมคิดว่าผมพูดถึงเรื่องของการได้พักผ่อนแบบเต็มที่มากกว่า เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีไอเดียดี ๆ เข้ามา หรือมีทีมงานที่คุณทำงานด้วยแล้วสนุก อะไร ๆ มันก็ปรับเปลี่ยนกันได้”

Jim Carrey The Mask

‘The Mask’ ดัดแปลงจากคอมิกของสำนักพิมพ์ Dark Horse Comics กำกับโดย ชัค รัสเซลล์ (Chuck Russell) เล่าเรื่องของ สแตนลีย์ อิปคิส นายธนาคารนิสัยดีแต่ดวงซวย ที่ได้พบกับหน้ากากไม้เก่า ๆ แต่บังเอิญว่าหน้ากากนั้นคือหน้ากากโลกิ ที่สามารถเปลี่ยนให้เขากลายเป็น The Mask ฮีโรเจ้าเล่ห์ใบหน้าสีเขียว ที่มาพร้อมกับพลังพิเศษและลีลาสุดจะยียวน ซึ่งดัดแปลงจากคอมิกต้นฉบับที่มีเนื้อหารุนแรง ไอเดียตอนแรกของ ‘The Mask’ จึงมีความตั้งใจว่าจะเป็นหนังสยองขวัญมากกว่าหนังตลกสุดเพี้ยนแบบในหนัง

แต่ทิศทางของหนังเปลี่ยนไปก็เพราะว่ารัสเซลล์ได้เห็นการแสดงของแคร์รีย์ ก่อนที่ ‘Ace Ventura: Pet Detective’ (1994) ผลงานหนังเรื่องแรกของเขาจะออกฉายด้วยซ้ำ เขาจึงเริ่มค่อย ๆ ผสานคาแรกเตอร์หน้ากากเทวดา เข้ากับทางตลกหน้าเป็นเล่นใหญ่ในแบบฉบับของแคร์รีย์ การแสดงสีหน้าท่าทางของเขาชัดเสียจนฝ่ายวิชวลกราฟิกจาก Industrial Light & Magic (ILM) ที่ดูแล CGI คาแรกเตอร์ The Mask สามารถประหยัดงบไปได้ราว ๆ 1 ล้านเหรียญ เพราะไม่ต้องเหนื่อยปั้นสีหน้าท่าทางขึ้นมาใหม่

หนังเรื่องนี้ยังมีความสำคัญในฐานะหนังเรื่องแรกสุดของนางเอกสาว คาเมรอน ดิแอซ (Cameron Diaz) ที่ก่อนหน้านี้เคยมีผลงานการเป็นนางแบบและถ่ายโฆษณามาก่อน ซึ่งก็เป็นรัสเซลล์ที่เห็นและประทับใจเธอจากรูปถ่าย จึงได้เรียกมาออดิชัน ซึ่งเธอก็ทำได้แบบผ่านฉลุย ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะส่งให้เธอกลายเป็นนักแสดงสาวแห่งยุค 90s-2000s ในเวลาต่อมา

Jim Carrey The Mask

ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำรายได้มากกว่า 351 ล้านเหรียญ เป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดอันดับที่ 4 ของปี 1994 และเป็น 1 ใน 3 หนังแจ้งเกิดของแคร์รีย์ที่ออกฉายในปีเดียวกันทั้ง ‘Ace Ventura: Pet Detective’, ‘The Mask’ และ ‘Dumb and Dumber’ ส่งให้เขากลายเป็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์แบบเต็มตัว

จนกระทั่งในอีก 11 ปีต่อมา ก็มีการสร้างภาคต่อในชื่อ ‘Son of the Mask’ (2005) ซึ่งไม่มีทีมงานจากภาคแรกรวมทั้งแคร์รีย์กลับมาเลย หนังเรื่องนี้จึงล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์อย่างหนัก แทบไม่มีใครอยากจำว่านี่คือภาคต่อด้วยซ้ำ

หลังจากรับบทใน ‘Sonic the Hedgehog 2’ (2022) เสร็จสิ้น แคร์รีย์ได้พูดช็อกฮอลลีวูดว่าเขากำลังจะเตรียมตัวเกษียณจากการแสดง และในที่สุดเขาก็ยอมกลับมารับบทนี้อีกครั้งใน ‘Sonic the Hedgehog 3’ ซึ่งนอกจากเรื่องเงิน แคร์รีย์ยังอธิบายเสริม พร้อมกับตอบคำถามว่า หากจะมี ‘Sonic the Hedgehog 4’ อีก เขาจะกลับมารับบท Dr. Robotnik อีกไหม

“ผมเป็นคนชอบเสี่ยงดวงนะ กับงานอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่ผมชอบ แต่จะรับบทไหม ผมไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เวลาผมพูดอะไรที่สุ่มเสี่ยงออกไป เดี๋ยวชะตาชีวิตมันจะทำให้ผมกลายเป็นคนขี้โกหกไปอีก เพราะฉะนั้น ใครมันจะไปรู้เรื่องนั้นล่ะ ?”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...