อัยการสั่งฟ้อง 23 รายคดีตึก สตง. ถล่ม ปมก่อสร้างผิดแบบ-คอนกรีตต่ำมาตรฐาน กระทบเชื่อมั่นบิ๊กโปรเจกต์ภาครัฐ
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงระบุโครงสร้างวิบัติจากแรงเฉือนแผ่นดินไหว หลังพบแบบก่อสร้างและระยะฝังเหล็กเสริมไม่เป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคาร พนักงานอัยการเดินหน้าสั่งฟ้องทั้งบุคคลและนิติบุคคลในฐานความผิดอาญา-ปลอมเอกสาร-ทุจริตการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) DSI ขยายผลสอบนอมินีต่างชาติพ่วง พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ ขณะที่ ป.ป.ช. รับลูกไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐฐานทุจริตต่อหน้าที่
27 ธันวาคม 2568-สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์อาคารสำนักงานแห่งใหม่พังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์การบริหารงานก่อสร้างภาครัฐ ล่าสุดผลการตรวจสอบจากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพบสาระสำคัญที่เป็นมูลเหตุแห่งการวิบัติของอาคารอย่างชัดเจน โดยระบุว่าการพังถล่มเริ่มต้นจากบริเวณชั้น 1-4 เนื่องจากโครงสร้าง "ผนังรับแรงเฉือน" (Shear Wall) ไม่สามารถทนทานต่อแรงกระทำจากแผ่นดินไหวได้
ประเด็นที่น่ากังวลในเชิงมาตรฐานวิศวกรรมคือ ผลการทดสอบก้อนตัวอย่างคอนกรีตจากผนังอาคารพบว่ามีค่าความแข็งแรงเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในสัญญาก่อสร้าง อีกทั้งแบบรายละเอียด (As-built drawings) ที่ใช้ในการปฏิบัติงานจริงไม่เป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคาร โดยเฉพาะการออกแบบจุดต่อระหว่าง Link Beam กับผนังรับแรงเฉือนที่มีระยะฝังเหล็กเสริม (Embedment Length) น้อยกว่ามาตรฐาน ส่งผลให้อาคารมีความอ่อนแอเชิงโครงสร้างและไม่สามารถรับแรงกระทำตามที่กฎหมายกำหนด
ดำเนินคดีอาญาและข้อหาปลอมแปลงเอกสาร
ทางด้านกระบวนการยุติธรรม พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ร่วมกับพนักงานอัยการ ได้สรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 23 ราย ประกอบด้วยบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ ควบคุม และก่อสร้างอาคาร โดยถูกดำเนินคดีในฐานความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 ว่าด้วยการละเว้นไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การก่อสร้าง
นอกจากนี้ ยังพบมูลความผิดที่ร้ายแรงในเชิงธุรกิจคือการร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรองคุณภาพวัสดุและขั้นตอนการตรวจสอบงานก่อสร้างเพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดิน
DSI และ ป.ป.ช. ประสานงาตรวจสอบนอมินี-ทุจริตเชิงนโยบาย
นอกจากการเอาผิดเชิงวิศวกรรมแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ยังตรวจพบความผิดปกติในมิติของนิติบุคคล โดยมีความเห็นสั่งฟ้องในกรณีความผิดตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หลังพบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการใช้ "นอมินี" ในการรับงานก่อสร้างภาครัฐ พร้อมทั้งส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
"สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ยินดีให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยพร้อมดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปด้วยความโปร่งใส"
กรณีศึกษานี้ถือเป็นบทเรียนราคาแพงของหน่วยงานตรวจสอบที่กลับกลายเป็นผู้เสียหายเสียเอง นักวิเคราะห์มองว่าการสั่งฟ้องผู้ต้องหาถึง 23 รายในครั้งนี้ จะส่งผลให้กรมบัญชีกลางยกระดับมาตรการคัดกรองผู้รับเหมาและการตรวจรับงานก่อสร้างอาคารภาครัฐให้เข้มงวดขึ้น (Construction Supervision) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและงบประมาณในอนาคต
การดำเนินคดีที่ครอบคลุมทั้งกฎหมายอาญา กฎหมายคอร์รัปชัน และกฎหมายธุรกิจต่างด้าวในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการทำความสะอาดระบบจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement Cleaning) เพื่อดึงความเชื่อมั่นจากสาธารณชนและนักลงทุนกลับคืนมา โดยเฉพาะในจังหวะที่รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ทั่วประเทศ