โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

คาด 3 พรรคใหญ่กวาด 400 ที่นั่ง ปชน.ลุ้นโค้งท้ายคะแนนสงสาร

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ธรรมนัส พรหมเผ่า-ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์-อนุทิน ชาญวีรกูล

การเมืองปีม้าเดือด ม้าพยศ ม้าธาตุไฟ เลือกตั้ง 8 ก.พ. 69 คาด 3 พรรคกุมเสียงส่วนใหญ่ได้ สส. 400 คน พรรคขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก ประกาศขั้วรัฐบาล ครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังการเลือกตั้ง ไม่ต้องมีเสียง 200 สว.หนุนนายกฯในสภา นักรัฐศาสตร์วิเคราะห์สูตรรัฐบาลใหม่ “ภูมิใจไทย-เพื่อไทย-กล้าธรรม” คาดภูมิใจไทยระดมบ้านใหญ่ดัน “อนุทิน” ขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 33 จับตากระแสนิยมโค้งสุดท้ายพรรคประชาชนได้คะแนนเห็นใจ ตรงไปตรงมา แม้เคยจ่ายค่าโง่ 2 ครั้ง รักษาแชมป์สมัยที่สอง

ประกาศขั้วการเมืองหลังเลือกตั้ง

8 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เคาะให้จัดเลือกตั้งทั่วไปทั่วประเทศ แต่ละพรรคเข็นนโยบายหาเสียง ลด-แลก-แจก-แถมกันไม่ต่างจากการเลือกตั้งทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่ละพรรคการเมืองชูแคนดิเดตนายกฯ เพื่อหวังดึงโหวตเตอร์ฐานเสียงให้มาลงคะแนน

โดยพรรคที่เป็นตัวแปรทางการเมืองส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯชิงอำนาจการบริหารประเทศ อาทิ พรรคเพื่อไทย มีแคนดิเดต 3 คน ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์, จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคประชาชน มีแคนดิเดต 3 คน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, ศิริกัญญา ตันสกุล, วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร พรรคภูมิใจไทย มีแคนดิเดตนายกฯ 2 คนคือ อนุทิน ชาญวีรกูล และ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว พรรคประชาธิปัตย์ มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, กรณ์ จาติกวณิช, การดี เลียวไพโรจน์ พรรคกล้าธรรม มีชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

พรรคขนาดใหญ่และขนาดกลางประกาศแคมเปญสำหรับการจับขั้วจัดรัฐบาลหลังเลือกตั้ง เพื่อชิงฐานเสียงที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหน ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยจากหลายผลสำรวจที่ระบุจำนวนผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครและพรรคไหนสูงถึง 35-40%

พรรคประชาชนแชมป์จำนวน สส.สูงสุดในการเลือกตั้ง 2566 เคยชนะด้วยกระแส “มีลุงไม่มีเรา” ในครั้งนี้ประกาศไม่โหวต อนุทินพรรคภูมิใจไทยและพรรคกล้าธรรมร่วมรัฐบาล ด้วยแคมเปญ “มีเรา ไม่มีเทา”

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้นายอภิสิทธิ์และทีมใหม่เข้ามาบริหาร ประกาศแคมเปญไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม

ส่วนพรรคภูมิใจไทยและพรรคกล้าธรรม ประกาศจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่จะแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112

พรรคเพื่อไทยยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนว่าจับขั้วกับพรรคไหนจัดตั้งรัฐบาล แต่ขอดูเงื่อนไขจำนวนเสียง สส.หลังการเลือกตั้ง

สูตรรัฐบาล ภท.+กล้าธรรม

ดร.สุขุม นวลสกุล นักรัฐศาสตร์ วิเคราะห์ฉากการเมืองเลือกตั้ง 2569 ว่าไม่มีใครได้เสียงข้างมากที่จะเรียกได้ว่ามีเสถียรภาพ เอกภาพ ทะเลาะกันนิดเดียวก็แตกแล้ว ยังต้องรวมกันมากกว่า 2 พรรค ในการเลือกตั้งจะมี 3 กลุ่ม เป็นรัฐบาลผสม ต้องเอาอกเอาใจกันตลอดเวลา อายุไม่ยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านไป 2 ปี นั่งคิดกันเลยว่าสัปดาห์หน้าจะยุบสภาไหม

ขั้วการเมืองน้ำเงิน ส้ม แดง ดร.สุขุมกล่าวว่า ถ้าประเมินว่า “สีน้ำเงินมุ่งมั่นที่สุด และวางแผนได้จัดรัฐบาล ตกลงกับพรรคกล้าธรรมไว้ก่อน นึกถึงการเมืองเมื่อปี 2529 พรรคประชาธิปัตย์ได้ 100 เสียง คุณพิชัย รัตตกุล (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น) แต่พรรคชาติไทยกับพรรคกิจสังคมจับมือกัน บอกเรา 2 พรรครวมกันมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าไม่เอา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ ไม่ต้องมา สุดท้าย พล.อ.เปรมได้”

“วันนี้พรรคภูมิใจไทยจับมือกับพรรคกล้าธรรมไว้ก่อน เขาเชื่อว่าพอที่จะตั้งรัฐบาล ถ้าดูกระแสการเมืองพรรคภูมิใจไทยแต่เดิมไม่มีเลยยังมี สส. 70 แต่วันนี้กระแสมี กระสุนไม่ต้องห่วง มีแต่คนเดินเข้าพรรคเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีเสถียรภาพ และเป็นไปได้ถ้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย ถ้าคิดว่าทุกพรรคอยากเป็นรัฐบาล รัฐบาลที่จะอยู่ได้นานต้องมีเสียงมากที่สุด เพราะพรรคเพื่อไทยแม้เขาจะคะแนนตกลงแต่ก็จะถึงหลักร้อยเหมือนกัน”

ส่วนพรรคประชาชน ดร.สุขุมวิเคราะห์ว่าจะได้น้อยกว่า 150 ที่นั่งนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล พรรคประชาชนเสี่ยงทุกอย่าง หากมีวาระเรื่อง 112 อาจทำให้พรรคอื่น ๆ ไม่กล้าเข้าร่วมมือด้วย แต่คิดว่าพรรคประชาชนได้เสียงอันดับหนึ่ง เพราะคะแนนอั้นตั้งแต่เลือกตั้งครั้งก่อน ที่ชนะเลือกตั้งแล้วยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ที่หลายคนบอกเสียค่าโง่หลายครั้ง อาจกลายเป็นคะแนนเห็นใจ คิดว่าเล่นการเมืองแบบพรรคประชาชนคนชอบ ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะการเปิดชื่อรัฐมนตรีว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้วใครได้เป็น

“พรรคประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง แต่พรรคภูมิใจไทยกับพรรคกล้าธรรมคงไม่ใช่สุภาพบุรุษ เขาจับมือตั้งรัฐบาลแข่งเลย ผมเชื่ออย่างนั้น ปิดล้อมอีกทีคือหาพรรคการเมืองอื่นเพิ่ม” ดร.สุขุมกล่าว

3 พรรคกุม 400 เสียง

ด้าน ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า พรรคประชาชนได้มากสุด 150 พรรคภูมิใจไทย 140 +- พรรคเพื่อไทย 110 +- รวมกัน 400 แต่ทั้ง 3 ก้อนนี้บวกและลบได้มาก อาจจะสะวิงไปทางใดทางหนึ่งได้ แต่ยังเชื่อว่าพรรคประชาชนเป็นอันดับหนึ่งโดยที่คะแนนทั้ง 3 พรรคอาจจะไม่ได้ห่างกันมาก

แต่ในเชิงจัดการขั้วทางการเมือง เพื่อไทย ภูมิใจไทย กล้าธรรม เป็นรัฐบาลร่วมกัน คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุด เพียงแต่พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ใครจะเป็นนายกฯ ถ้ามองถึงความเข้มข้น ถึงความต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อไทยในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าใช้ต้นทุนหน้าตักแทบไม่เหลือแล้ว หงายไพ่ทางการเมืองของผู้เล่นการเมืองค่อนข้างชัด พรรคภูมิใจไทยน่าจะได้เปรียบในแง่นี้

แต่ข้อท้าทายของพรรคภูมิใจไทยจะสามารถชนะในสนามเลือกตั้งจริงหรือเปล่า คือการระดมบ้านใหญ่มา จนพรรคประชาชนบอกว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายของบ้านใหญ่ เป็นการนำเอาบ้านใหญ่ปะทะกับการเมืองใหม่ เหมือนกับทำให้คนเชื่อแบบนั้น และพอคนเชื่อแบบนั้นก็จะมากับเทคโนแครต คนก็อ่านเกมนี้ออก แต่ในสนามเลือกตั้งก็อาจจะทำให้คนปฏิเสธการเมืองของชนชั้นนำ และการสร้างพันธมิตรของกลุ่มชนชั้นนำโดยข้ามหัวประชาชนก็ได้

“แต่ถ้ากลับมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่เปลี่ยนนายกฯที่ (ขั้วอนุรักษนิยม) ไว้ใจได้มากที่สุด และโจทย์นี้เป็นเพื่อไทยจะยอมเป็นเบี้ย ลมใต้ปีกให้พรรคภูมิใจไทยไหม ถ้าพรรคเพื่อไทยยอม มองไปในอนาคตข้างหน้าอาจทำให้คนยิ่งผิดหวังเข้าไปใหญ่” ศ.ดร.สิริพรรณกล่าว

เสียง สว.จุดเปลี่ยนเลือกนายกฯ

อย่างไรก็ตาม หลังจากการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 คณะกรรมการการเลือกตั้งมีเวลารับรองผลและประกาศผลการเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของเขตเลือกตั้งทั้งหมดภายใน 60 วัน นับจากวันเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 85

จากนั้นภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง ให้มีการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเลือกประธานสภา และรองประธานสภา และจะเป็นช่วงเวลาของการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้กำหนดเวลาในการฟอร์มรัฐบาล แต่หากจับขั้วตั้งรัฐบาลกันลงตัว สภาสามารถบรรจุญัตติโหวตเลือกนายกฯได้ทันที

ทั้งนี้ ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี หลังเลือกตั้ง 2569 ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงของ สว.200 เสียง มาร่วมโหวตเห็นชอบนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญได้สิ้นสุดการบังคับใช้แล้ว ดังนั้น หากพรรคใดรวมจำนวนเสียงของ สส. ในสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่งก็สามารถเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 33 ได้

อนึ่ง หลังเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ต้องใช้เวลาจัดตั้งรัฐบาลนานกว่า 101 วัน ในการโปรดเกล้าฯให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และใช้เวลาถึง 110 วัน กว่าพรรคเพื่อไทยจะได้จัดตั้งใหม่บริหารประเทศ เนื่องจากต้องมีเสียง สว. 250 เสียง ร่วมชี้ขาดนายกฯ ตามบทเฉพาะกาล ซึ่งพรรคที่ชนะเลือกตั้งอันดับ 1 คือก้าวไกล เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนจาก สว.ได้ ทำให้พรรคเพื่อไทยที่ได้เสียงอันดับ 2 จั้ดตั้งรัฐบาลแทน

ประชามติชี้ขาดรัฐธรรมนูญ

สิ่งที่จะคู่ขนานไปกับการเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569 คือการออกเสียงประชามติ ซึ่งจะไม่มีลงคะแนนประชามติล่วงหน้าเหมือนการเลือกตั้ง สส. แต่ กกต.จะเปิดให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนใช้สิทธิประชามตินอกเขตจังหวัดได้ ประมาณวันที่ 3-5 มกราคม 2569 โดยจะเป็นคำถามตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ถามว่า “ท่านเห็นชอบว่าควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”

ทั้งนี้ กกต.ได้วางรูปแบบการทำประชามติ พร้อมกับการเลือกตั้ง สส.ไว้ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 โดยคูหาประชามติจะอยู่ในคูหาเดียวกับคูหาเลือกตั้ง โดยผู้ที่ใช้สิทธิออกเสียงประชามติจะต้องลงคะแนนเลือกตั้ง สส.จบก่อน เมื่อหย่อนบัตรเลือกตั้ง สส.ใบหีบเลือกตั้งตามปกติแล้ว จะมีโต๊ะเจ้าหน้าที่ถัดไปให้ผู้มีสิทธิลงชื่อ และรับบัตรออกเสียงประชามติ จากนั้นก็หย่อนบัตรประชามติ

โดยเกณฑ์ชนะประชามติ จะใช้เกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียว เช่น ถ้าผู้ใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนให้ “มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” มากกว่าไม่เห็นด้วย ก็จะได้ข้อยุติประชามติทันที ดังนั้น หากประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็จะเป็น “ข้อผูกมัด” ให้รัฐบาลใหม่ต้องเริ่มกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ

หากประชาชนเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็เท่ากับว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ยังคงใช้ต่อไปจนกว่าจะมีการเสนอญัตติโดยรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตรี ให้มีการทำประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ อีกครั้ง

จับตา 2 คดีร้อน สว.

ขณะเดียวกัน ช่วงเดือนมกราคม 2569 ยังมีอีกวาระร้อนทางการเมือง แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งโดยตรง แต่อาจจะสะเทือนไปทั้งกระดาน อันเป็นเรื่องของคดีฮั้ว สว.ใน 2 ด้าน

ด้านหนึ่ง คือคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน และยังเป็นบัญชีรายชื่อลำดับที่ 100 ของพรรคเพื่อไทย กับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ จากกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อนายมงคลในฐานะผู้ร้อง โดยกล่าวอ้างว่าการที่นายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือก สว. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำ สว. ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ

ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยในวันพุธที่ 21 มกราคม 2569 เวลา 15.00 น.

อีกด้านหนึ่ง เป็นคดีในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ สว.สำรอง ยื่นฟ้องนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.กับพวก กกต. และนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. รวมทั้งหมด 8 คน เป็นจำเลย ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, ม.157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง, 88 ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 ข้อ 92, 93 จากกรณี กกต.ดำเนินการล่าช้า ประวิงเวลาสอบฮั้ว สว. เพื่อให้ สว.ที่ถูกกล่าวหาพ้นกำหนดระยะเวลาในการดำเนินคดี โดยศาลนัดฟังคำสั่ง หรือคำพิพากษาในวันที่ 27 มกราคม 2569

2 คดีฮั้ว สว.สะเทือนการเมืองเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่เปิดศักราช 2569 การเมืองร้อนฉ่าสมกับเป็นปีม้าเดือด

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : คาด 3 พรรคใหญ่กวาด 400 ที่นั่ง ปชน.ลุ้นโค้งท้ายคะแนนสงสาร

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...