โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

รายงาน UNDP ชี้ว่า AI อาจก่อให้เกิดยุคความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศครั้งใหม่ เมื่อแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นไม่เท่ากัน

THE STANDARD

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
รายงาน UNDP ชี้ว่า AI อาจก่อให้เกิดยุคความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศครั้งใหม่ เมื่อแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นไม่เท่ากัน

วันนี้ (10 ธันวาคม) รายงานฉบับใหม่จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ชี้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่ได้รับการกำกับดูแลอย่างรอบด้าน อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศ ด้วยการขยายช่องว่างด้านศักยภาพทางเศรษฐกิจ ขีดความสามารถของประชาชน และระบบธรรมาภิบาล เนื่องจากแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นในการใช้ AI ที่แตกต่างกันมาก

รายงานเรื่อง ‘ความเหลื่อมล้ำครั้งใหม่ของโลก: เหตุใด AI อาจทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประเทศกว้างขึ้น’ (The Next Great Divergence: Why AI May Widen Inequality Between Countries) ระบุว่า แม้ AI จะเปิดโอกาสใหม่ที่สำคัญต่อการพัฒนา แต่ประเทศต่างๆ กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ด้วยความพร้อมที่ไม่เท่าเทียม หากปราศจากนโยบายที่เข้มข้น ช่องว่างเหล่านี้อาจกว้างขึ้น และทำให้แนวโน้มการพยายามลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาตลอดหลายปีที่ผ่านมาย้อนกลับไปอีกทาง

ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรมากกว่าร้อยละ 55 ของโลก อยู่ใจกลางการเปลี่ยนผ่านด้าน AI ปัจจุบันภูมิภาคนี้มีผู้ใช้งาน AI กว่าครึ่งหนึ่งของโลก และเป็นพื้นที่ที่ AI กำลังขยายบทบาทด้านนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว อย่างจีนที่ถือครองเกือบ 70% ของสิทธิบัตร AI ทั่วโลก และจำนวนสตาร์ตอัปด้าน AI ที่ได้รับทุนกว่า 3,100 รายใน 6 เศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่ง AI อาจช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในภูมิภาครายปีได้ราว 2 จุดร้อยละ และเพิ่มผลผลิตในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น สาธารณสุขและการเงิน ร้อยละ 5 ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศกลุ่มอาเซียนเพียงอย่างเดียวอาจมีมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในทศวรรษหน้า

อย่างไรก็ดี งานจำนวนมาก โดยเฉพาะงานที่ผู้หญิงและเยาวชนทำอยู่ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ หากไม่มีหลักการด้านจริยธรรมและความครอบคลุมในการกำกับดูแล AI

“AI กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลายประเทศยังยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น” คานนี วิกนาราชา ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของ UNDP กล่าว “ประสบการณ์ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกสะท้อนให้เห็นว่า ช่องว่างระหว่างผู้ที่กำลังกำหนดทิศทาง AI กับผู้ที่กำลังถูก AI กำหนด สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพียงใด”

สำหรับดัชนีความพร้อมด้าน AI (AI Preparedness Index: AIPI) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 52 จาก 170 ประเทศ และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งสะท้อนถึงรากฐานดิจิทัลของไทยที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตามดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) ของ UNDP ซึ่งวัดจากสุขภาพ การศึกษา และรายได้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 76 จาก 193 ประเทศ

“ช่องว่างระหว่างความพร้อมด้าน AI กับการพัฒนามนุษย์ชี้ให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านดิจิทัล แต่ประชาชนอาจยังไม่อยู่ในจุดที่พร้อมปรับตัวกับ AI ได้ทันท่วงที เพื่อได้รับประโยชน์จากโอกาสที่มาพร้อมกับ AI ได้เต็มที่ หรือถูกปกป้องจากการเปลี่ยนแปลงหรือการหยุดชะงักที่เกิดจาก AI” นีฟ คอลีเออร์-สมิธ ผู้แทน UNDP ประเทศไทยกล่าว “ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนในประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการศึกษาที่ครอบคลุม ทักษะดิจิทัล และระบบที่ปกป้องชุมชนจากความเสี่ยงใหม่ ๆ เพื่อให้ AI เป็นเทคโนโลยีที่ส่งเสริมอนาคตที่ยุติธรรมและยั่งยืนมากขึ้นสำหรับทุกคน”

กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา หลายประเทศที่มีรายได้ต่ำได้ทยอยลดช่องว่างกับประเทศรายได้สูงด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การค้า และการพัฒนา ยุคของ “การบรรจบกัน” นี้นำมาซึ่งความก้าวหน้าอย่างมากในด้านสุขภาพ การศึกษา และรายได้ ซึ่งรายงานฉบับนี้เตือนว่าหากปราศจากการกำหนดนโยบายที่รอบคอบและครอบคลุม AI อาจทำให้ความก้าวหน้าเหล่านี้ถดถอยลง

ความพร้อมด้านดิจิทัลยังแตกต่างกันมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และจีนกำลังลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐาน AI และทักษะบุคลากร ขณะที่บางประเทศยังอยู่ระหว่างการเสริมสร้างพื้นฐานการเข้าถึงดิจิทัลและทักษะการรู้ดิจิทัล การสร้างความสามารถด้านดิจิทัลเหล่านี้สำคัญต่อการทำให้ทุกประเทศได้รับประโยชน์จาก AI อย่างทั่วถึง

ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ กำลังการประมวลผล และศักยภาพด้านธรรมาภิบาล ลดศักยภาพของ AI และยังเพิ่มความเสี่ยง เช่น การแทนที่แรงงาน การถูกกีดกันจากข้อมูล และผลกระทบทางอ้อม อย่างการใช้พลังงานและการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากระบบ AI ที่มีความเข้มข้น

นอกจากนี้รายงานยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างทักษะการใช้ AI กับทักษะการใช้เครื่องมือพื้นฐานในการจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูล ชี้ว่าหนึ่งในสี่ของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเกิดการสูญเสียงาน และมีเพียงหนึ่งในสี่ของประชาชนในเขตเมืองและน้อยกว่าหนึ่งในห้าของประชาชนในชนบทที่สามารถทำงานพื้นฐานในสเปรดชีต ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับการจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูล และมีเพียงราวร้อยละห้าของประชาชนในประเทศรายได้น้อยที่ใช้เครื่องมือ AI และในหลายบริบทมีผู้ที่สามารถทำงานสเปรดชีตพื้นฐานได้ไม่ถึงหนึ่งใน 20

ผู้หญิงและเยาวชนเป็นกลุ่มที่เผชิญความเปราะบางมากเป็นพิเศษ งานที่ผู้หญิงทำอยู่มีความเสี่ยงถูกทำให้เป็นระบบอัตโนมัติสูงกว่างานของผู้ชายเกือบสองเท่า ขณะที่การจ้างงานเยาวชนในตำแหน่งที่มีการใช้ AI สูงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 22–25 ปี ซึ่งกระทบช่วงเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพ

ในอีกด้านหนึ่ง AI กำลังเปลี่ยนแปลงการบริหารภาครัฐและบริการสาธารณะในภูมิภาค แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของกรุงเทพมหานครได้รับแจ้งปัญหาจากประชาชนแล้วเกือบ 600,000 ครั้ง ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐตอบสนองต่อปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ขณะที่บริการ Moments of Life ของสิงคโปร์ช่วยลดเวลาการทำเอกสารสำหรับพ่อแม่มือใหม่จากประมาณ 120 นาทีเหลือเพียง 15 นาที ส่วนในกรุงปักกิ่ง ระบบ ‘ดิจิทัลทวิน’ ถูกนำมาใช้วางแผนผังเมืองและจัดการน้ำท่วม แสดงให้เห็นศักยภาพของ AI ในการยกระดับการบริหารและการบริการของภาครัฐ

อย่างไรก็ดี มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีกฎหมาย AI ที่ครอบคลุม และคาดว่าในปีพ.ศ. การรั่วไหลของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 40 อาจเกิดจากการใช้ AI เชิงกำเนิด (generative AI) ในทางที่ผิด ซึ่งสะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของการมีกรอบธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังต้องเร่งไล่ตาม

“เส้นแบ่งสำคัญที่สุดในยุค AI คือศักยภาพ” ฟิลิป เชลเลเคนส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ UNDP ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกล่าว “ประเทศที่ลงทุนในทักษะ กำลังการประมวลผล และระบบธรรมาภิบาลที่แข็งแรงจะได้รับประโยชน์ ส่วนประเทศอื่น ๆ เสี่ยงถูกทิ้งห่าง”

รายงานฉบับนี้มุ่งชี้แนวทางว่าโลกจะเปลี่ยนความเสี่ยงนี้ให้เป็น “หนทางสู่ความก้าวหน้าร่วมกัน” ได้อย่างไร

แฟ้มภาพ: Greenbutterfly / Shutterstock

อ้างอิง:

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...