โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ประวัติศาสตร์ไทย 3 อาณาจักร สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี ออกสอบบ่อย

Dek-D.com

อัพเดต 26 ส.ค. เวลา 04.11 น. • เผยแพร่ 25 ส.ค. เวลา 03.34 น. • DEK-D.com
ประวัติศาสตร์ไทย 3 อาณาจักร สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี ออกสอบบ่อย

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D คอลัมน์ "รู้ไว้เผื่อออกสอบ" ในวันนี้จะพาทุกคนไปรู้จัก 3 อาณาจักรสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ทั้ง“สุโขทัย” ราชธานีแรกของไทย ที่วางรากฐานภาษา ศิลปะ และการปกครอง “อยุธยา” ศูนย์กลางความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยาวนานกว่า 417 ปี และ "ธนบุรี"อาณาจักรที่มีกษัตริย์เพียงองค์เดียว ใครเตรียมสอบวิชาประวัติศาสตร์ A-Level หรือสอบในโรงเรียน ห้ามพลาด! เพราะท้ายบทความมีข้อสอบให้ฝึกทำด้วย

ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย

การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย

  • เดิมทีสุโขทัยมีพระยาศรีนาวนำถมเป็นเจ้าเมืองครองอยู่ แต่เมื่อพระยาศรีนาวนำถมสิ้นพระชนม์ สุโขทัยจึงตกเป็นเป็นเมืองขึ้นของละโว้ ที่ปกครองโดยขอมสบาดโขลญลำพง ที่นำกำลังเข้ายึดกรุงสุโขทัยไว้ได้
  • ต่อมา พ่อขุนผาเมือง(โอรสพระยาศรีนาวนำถม) และ พ่อขุนบางกลางหาวซึ่งทั้งคู่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ได้ร่วมมือกันรวบรวมกำลังเข้าขับไล่ขอมออกจากดินแดนแถบนี้ และประกาศอิสรภาพจากการเป็นเมืองขึ้นของขอมในปี พ.ศ.1762
  • พร้อมกับสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของอาณาจักรไทย และสถาปนาพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ โดยมีพระนามใหม่ว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์”
  • พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และครอบครองสุโขทัยเป็นศูนย์กลาง มีอำนาจอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน
  • เนื่องจากอยู่ห่างจากแม่น้ำยม จึงมีการสร้างตัวช่วยในจัดการน้ำในการอุปโภคบริโภคขึ้น ได้แก่ “สรีดภงส์”ลักษณะเป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่เพื่อชักน้ำ และ “ตระพัง” เป็นสระสำหรับกักเก็บน้ำ

Note :

อาณาจักรสุโขทัย มีเพียงราชวงศ์เดียว คือ“ราชวงศ์พระร่วง”มีกษัตริย์รวมทั้งหมด 9 พระองค์

  • กษัตริย์ 5 พระองค์แรกปกครอง “ระบอบพ่อปกครองลูก” ได้แก่ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ > พ่อขุนบานเมือง > พ่อขุนรามคำแหง > พระยาเลอไท > พระยางั่วนำถม
  • กษัตริย์ 4 พระองค์หลัง ปกครอง “ระบอบธรรมราชา” ได้แก่ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท) > พระมหาธรรมราชาที่ 2 (พระยาลือไท) > พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท) > พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล)

การเมืองการปกครองอาณาจักรสุโขทัย

  • ช่วงแรกใช้ระบอบแบบ “พ่อปกครองลูก” เรียกกษัตริย์ว่า “พ่อขุน” โดยกษัตริย์เปรียเสมือนพ่อที่คอยดูแลให้ความเป็นธรรม และสั่งสอนประชาชน

  • ยุคสมัยที่โดดเด่นคือ สมัย “พ่อขุนรามคำแหงมหาราช” ที่มีการแขวนระฆัง หรือกระดิ่ง ไว้ที่หน้าประตูวัง เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน หรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ สามารถไปสั่นระฆังนั้นเพื่อถวายฎีกา หรือร้องทุกข์ต่อพระองค์ได้โดยตรง หากพระองค์ได้ยินเสียงระฆังก็จะออกมาไต่สวนและพิจารณาคดีด้วยพระองค์เอง

  • ช่วงหลังใช้ระบอบแบบ“ธรรมราชา”มีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศานามาใช้ในการปกครอง

  • ยุคสมัยที่โดดเด่นคือ สมัย “พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท)”พระองค์ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงทำนุบำรุงศาสนามากที่สุด เนื่องจากสมัยนั้นมีการสร้างวัด และนำคณะสงฆ์ออกไปเผยแพร่ศาสนา เพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น ทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์ “ไตรภูมิพระร่วง” วรรณกรรมเล่มแรกที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาว่าด้วยเรื่องนรก สวรรค์ และการเวียนว่ายตายเกิด

  • อาณาจักรสุโขทัย แบ่งเขตการปกครองโดยใช้ระบบ “หัวเมือง 4 ชั้น” ประกอบด้วย

  • เมืองหลวง หรือเมืองสุโขทัยเป็นที่ประทับของกษัตริย์และศูนย์กลางในการบริหารบ้านเมือง

    • เมืองลูกหลวง หรือหัวเมืองชั้นใน เป็นเมืองที่กษัตริย์จะแต่งตั้งพระโอรส หรือพระบรมวงศานุวงศ์ไปปกครอง ได้แก่ ทิศเหนือ เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรค์โลก, ทิศตะวันออก เมืองสองแคว (พิษณุโลก), ทิศตะวันตก เมืองนครชุม (ปากคลองสวนหมาก กำแพงเพชร), ทิศใต้ เมืองสระหลวง (พิจิตรเก่า)
    • เมืองพระยามหานคร หรือหัวเมืองชั้นนอก เป็นเมืองที่อยู่ไกลจากเมืองหลวง ซึ่งจะมีข้าราชการผู้ใหญ่เป็นผู้ปกครอง ได้แก่ เมืองเชียงทอง (ตาก), เมืองพระบาง (นครสวรรค์)
    • เมืองประเทศราช เป็นเมืองที่อยู่ไกลจากเมืองหลวงกว่าหัวเมืองชนนอก โดยส่วนใหญ่จะเป็นเมืองที่ยึดครองได้จากการรบในสงคราม โดยเมืองเหล่านี้จะต้องส่งเครื่องบรรณาการเข้าเมืองหลวงทุกๆ 3 ปี
  • ความสัมพันธ์ของกษัตริย์และเจ้าเมืองในอาณาจักร จะเป็นความสัมพันธ์แบบเครือญาติพระราชวงศ์จะปกครองเมืองลูกหลวง และหัวเมืองส่วนใหญ่จะเป็นการกระจายอำนาจ โดยเจ้าเมืองแต่ละเมืองมีอิสระในการปกครองตนเอง

เศรษฐกิจอาณาจักรสุโขทัย

  • ช่วงต้น เน้นทำการเกษตรกรรม และการค้าขายทางบกโดยเฉพาะการค้าแร่โลหะ

  • ภาครัฐมีบทบาทนำในระบบเศรษฐกิจ นับตั้งแต่การพัฒนาระบบชลประทาน

    • การจัดตั้งตลาดขายสินค้า เรียกว่า“ตลาดปสาน”
    • การพยายามควบคุมเมืองฉอด แต่ไม่เก็บภาษีค่าผ่านทาง (จังกอบ)
  • ช่วงหลัง พึ่งพาการค้ามากขึ้นจนถึงกับการย้ายเมืองหลวงมายังพิษณุโลกในสมัยพระยาลิไท และช่วงที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอยุธยาแล้ว

  • มีอุตสาหกรรมการทำ “เครื่องสังคโลก”เป็นสินค้าขึ้นชื่อของสุโขทัย

    • เตาที่ใช้เผาเครื่องสังคโลกเรียกว่า “เตาทุเรียง”
    • การค้าโลหะยังทำให้สุโขทัยเป็นแหล่งผลิตพระพุทธรูปโลหะชั้นเยี่ยมอีกด้วย

การต่างประเทศอาณาจักรสุโขทัย

  • มีการผูกมิตรกับล้านนา มาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง เพื่อป้องกันการรุกรานจากมองโกล (กุบไลข่าน ตั้งราชวงศ์หยวน)
  • มีความสัมพันธ์กับมอญแบบเครือญาติ
  • มีความสัมพันธ์กับจีนด้านการค้าขายเช่น การทำเครื่องสังคโลก การเดินทะเล ในสมัยราชวงศ์หยวน มีการส่งเครื่องบรรณาการไปมองโกล เพื่อลดปัญหาสงครามด้วย
  • มีความสัมพันธ์กับศรีลังกา โดยการรับอิทธิพลด้านพระพุทธศาสนาและศิลปกรรม

ศาสนาและศิลปกรรมอาณาจักรสุโขทัย

  • ศาสนาสมัยสุโขทัย ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะนิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์แต่ก็มีบางส่วนที่เชื่อในเรื่องวิญญาณ และไสยศาสตร์

  • มีวัดเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมของชุมชน

  • ศิลปกรรมสมัยสุโขทัย พระพุทธรูป เจดีย์จิตรกรรมมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ มีลักษณะลีลาอ่อนช้อยงดงามเช่น

  • พระพุทธรูปปางลีลา เป็นปางที่เด่นที่สุดในสมัยสุโขทัย

    • เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (ทรงดอกบัวตูม)
    • เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ (ทรงลังกา) รับอิทธิพลมาจากศรีลังกา
  • มีการประดิษฐ์ตัวอักษร เรียกว่า “ลายสือไทย” ประดิษฐ์ขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในปี พ.ศ. 1826

การเสื่อมอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย

  • *การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง:จากเดิมที่ปกครองแบบ "ปิตุราชา" หรือพ่อปกครองลูก ซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชน เมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบ "ธรรมราชา" ที่เน้นหลักธรรมทางพุทธศาสนาในการปกครอง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับราษฎรห่างเหินกันไป
  • *การแย่งชิงราชสมบัติ: เกิดความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจระหว่างเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ทำให้เกิดความวุ่นวายภายในอาณาจักร
  • *ถูกตัดเส้นทางการค้า:เนื่องจากอยุธยามีเส้นทางที่สะดวกกว่า ทำให้เศรษฐกิจของสุโขทัยซบเซาและอ่อนแอลง
  • *การแตกแยกภายใน: ก่อนการล่มสลายของอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรถูกแบ่งออกเป็นหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะส่วนของอาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรล้านนา ส่งผลให้อาณาจักรสุโขทัยสูญเสียอำนาจและอิทธิพล จนในที่สุดอาณาจักรทั้งหมดก็ถูกรวมศูนย์เข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
  • กษัตริย์องค์สุดท้ายสมัยสุโขทัย คือ พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล)โดยสุโขทัยถูกรวมเข้ากับอยุธยาในปี พ.ศ. 1981

ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา

การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา

  • อาณาจักรอยุธยาเกิดจากความร่วมมือของ 2 แคว้น คือ แคว้นละโว้ กับแคว้นสุพรรณบุรีซึ่งสมัยนั้นทั้ง 2 แคว้นเป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมือง
  • สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีของไทย ในปี พ.ศ. 1893 “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา” ตั้งอยู่บริเวณ หนองโสน (บึงพระราม) บนเกาะเมืองอยุธยา
  • มีแม่น้ำ 3 สายสำคัญล้อมรอบได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี
  • โดยมีเมืองละโว้ เมืองสุพรรณบุรี เมืองอโยธยา ร่วมมือสร้างความเจริญรุ่งเรือง ทั้งด้านการเมือง การปกครอง สังคมเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี และความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
  • กรุงศรีอยุธยาสถาปนา พ.ศ. 1893-2310 รวมเวลา 417 ปี ปัจจุบันกรุงศรีอยุธยา คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเป็นมรดกโลก

Note :

อาณาจักรอยุธยา มีกษัตริย์ปกครองถึง 5 ราชวงศ์ 33 พระองค์ ดังนี้

1. ราชวงศ์อู่ทอง

  • สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) พ.ศ. 1893 - 1912
  • สมเด็จพระราเมศร พ.ศ.1912 - 1913 และ พ.ศ. 1931 - 1938
  • สมเด็จพระเจ้ารามราชาธิราช พ.ศ. 1938 - 1952

2. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ

  • สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) พ.ศ. 1913 - 1931
  • สมเด็จพระเจ้าทองลัน (เจ้าทองจันท์) พ.ศ. 1931 ครองราชย์น้อยที่สุด เพียง 7 วัน
  • สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) พ.ศ. 1952 - 1967
  • สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พ.ศ. 1967 - 1991
  • สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1991 - 2031
  • สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พ.ศ. 2031 - 2034
  • สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พ.ศ. 2034 - 2072
  • สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 พ.ศ. 2072 - 2076
  • พระรัษฎาธิราช พ.ศ. 2076
  • สมเด็จพระไชยราชาธิราช พ.ศ. 2077 - 2089
  • พระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า) พ.ศ. 2089 - 2091
  • สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระเทียรราชา) พ.ศ. 2091 - 2111
  • สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ. 2111 - 2112

3. ราชวงศ์สุโขทัย

  • สมเด็จพระมหาธรรมราชา (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 1) พ.ศ. 2112 - 2133
  • สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2) พ.ศ. 2133 - 2148
  • สมเด็จพระเอกาทศรถ (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 3) พ.ศ. 2148 - 2153
  • สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 4) พ.ศ. 2153 - 2154
  • สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (สมเด็จพระบรมราชาที่ 1) พ.ศ. 2154 - 2171
  • สมเด็จพระเชษฐาธิราช (สมเด็จพระบรมราชาที่ 2) พ.ศ. 2171 - 2173
  • สมเด็จพระอาทิตย์วงศ์ พ.ศ. 2173

4. ราชวงศ์ปราสาททอง

  • สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2173 - 2198
  • สมเด็จเจ้าฟ้าไชย พ.ศ. 2198 - 2199
  • สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พ.ศ. 2199
  • สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199 - 2231

5. ราชวงศ์บ้านพลูหลวง

  • สมเด็จพระเพทราชา พ.ศ. 2231 - 2246
  • สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) พ.ศ. 2246 - 2251
  • สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) พ.ศ. 2251 - 2275
  • สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2275 - 2301
  • สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พ.ศ. 2301
  • สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) พ.ศ. 2301 - 2310

การเมืองการปกครองอาณาจักรอยุธยา

การปกครองในสมัยอยุธยา แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงก่อนปฏิรูปการปกครอง และสมัยปฏิรูปการปกครอง

ช่วงที่ 1 ก่อนปฏิรูปการปกครองแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่

  • การปกครองส่วนกลาง ภายในราชธานีเป็นการกระจายอำนาจ“จตุสดมภ์” หรือ “เวียง วัง คลัง นา”

  • กรมเวียง :รักษาความความสงบของบ้านเมือง ปราบปราม และลงโทษผู้ทำความผิด

    • กรมวัง :พิจารณาและตัดสินคดีความ พร้อมดูแลกิจกรรมของราชสำนัก
    • กรมคลัง :ติดต่อกาค้ากับต่างประเทศ เก็บภาษีอากร และเก็บรักษาพระราชทรัพย์
    • กรมนา : ดูแลที่ดิน ไร่นา เก็บผลผลิต และเสบียงต่างๆ เข้าฉางหลวง
  • การปกครองส่วนภูมิภาค ภายนอกราชธานีประกอบด้วย

  • เมืองลูกหลวง/เมืองหน้าด่าน :อยู่รอบราชธานี 4 ทิศ ห่างจากราชธานีใช้เวลาเดินทาง 2 วัน พระมหากษัตริย์แต่งตั้งพระราชโอรสหรือเจ้านายชั้นสูงไปปกครอง

    • หัวเมืองชั้นใน : เมืองที่อยู่รายรอบพระนคร ได้แก่ ปราจีนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ มีขุนนางจากเมืองหลวงไปปกครอง
    • หัวเมืองชั้นนอก : หัวเมืองใหญ่ที่ถัดจากหัวเมืองชั้นในไกลจากราชธานี
    • เมืองประเทศราช : ให้เจ้าเมือต่างชาติต่างภาษาปกครองกันเอง แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนดทุกๆ 3 ปี

ช่วงที่ 2 สมัยปฏิรูปการปกครองแบ่ง 3 สมัย ได้แก่

1. สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

  • ได้เปลี่ยนการปกครองออกเป็น 2 ฝ่ายเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน จากการที่ราชวงศ์ที่ครองเมืองลูกหลวงมักสะสมกำลังเพื่อแย่งชิงอำนาจ คือ

  • ฝ่ายสมุหกลาโหม หรือฝ่ายทหาร : ดูแลกิจการทหารทั่วราชอาณาจักร

    • ฝ่ายสมุหนายก หรือฝ่ายพลเรือน :ดูแลราชการฝ่ายพลเรือนและจตุสดมภ์
  • มีการยกเลิกเมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่านโดยให้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงแทน

  • ให้หัวเมืองชั้นในเป็นเมืองชั้นจัตวา ผู้ปกครองคือ “ผู้รั้ง”ไม่มีอำนาจในการสั่งการด้วยตนเอง

  • มีการตรากฎมณเฑียรบาล กฎหมายสำหรับการปกครองขึ้น

  • ตรากฎศักดินาเพื่อกำหนด สิทธิ หน้าที่ และชั้นในสังคม

  • เปลี่ยนชื่อ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนาเป็น…

  • กรมเวียง >> นครบาล : ดูแลความความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ปราบปราม และลงโทษผู้ทำความผิด

    • กรมวัง >> ธรรมธิกรณ์ :ดูแลราชสำนักและตัดสินคดีความ
    • กรมคลัง >> โกษาธิบดี : ติดต่อกาค้ากับต่างประเทศ เก็บภาษีอากร และเก็บรักษาพระราชทรัพย์
    • กรมนา >> เกษตราธิการ :ดูแลการเกษตร เก็บผลผลิต และเสบียงต่างๆ เผื่อใช้ในอนาคต

2. สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

  • ทรงจัดตั้ง “กรมพระสุรัสวดี”เพื่อทำการสักเลกขึ้นบัญชีจดทะเบียนไพร่เพื่อเข้ารับราชการทหารและพลเรือน โดยเรียกบัญชีนั้นว่า “บัญชีหางว่าว

note :"สักเลก" หมายถึง การสักบนร่างกายเพื่อระบุชื่อเมือง ชื่อมูลนาย กรมกอง ที่สังกัด โดยสักที่ข้อมือด้านหน้า หรือด้านหลังมือ นิยมสักตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงยกเลิกการสักเลก โดยให้มีการสำรวจสำมะโนครัวแทน

3. สมัยพระเพทราชา

  • ด้เปลี่ยนการปกครองอีกครั้งในรูปแบบดังนี้

  • ฝ่ายสมุหกลาโหม :ควบคุมหัวเมืองฝ่ายใต้ ทั้งทหารและพลเรือน

    • ฝ่ายสมุหนายก :ควบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งทหารและพลเรือน
    • โกษาธิบดี (กรมท่า) :ควบคุมหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก
    • ส่วนการปกครองแบบภูมิภาคยังใช้การปกครองแบบเดียวกันกับสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเหมือนเดิม
  • สาเหตุที่ปฏิรูปการปกครองเนื่องจาก…

  • สมุหกลาโหมมักก่อการยึดอำนาจกษัตริย์เนื่องจากควบคุมกำลังทหารทั่วราชอาณาจักร ทำให้มีอำนาจและไพร่พล

    • ในช่วงเวลาสงครามมักเกิดปัญหาในการควบคุมกำลังไพร่พล เพราะมีการแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างฝ่ายทหารและพลเรือน

note :สมัยอยุธยามีการแบ่งชนชั้นทางสังคมออกเป็น 5 ชนชั้น ได้แก่

1. พระมหากษัตริย์ 2. เจ้านาย 3. ขุนนาง 4. ไพร่ 5. ทาส

ทั้งนี้จะมี“ระบบมูลนายไพร่”ซึ่งเป็นวิธีการจัดสรรกำลังคนของเจ้านาย โดยผู้ถูกควบคุมคือไพร่ ในทีนี้ “ไพร่” หมายถึง ประชาชน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม

  • ไพร่หลวง (ไม่มีผู้อุปถัมภ์) : จะต้องถูกเกณฑ์เข้ารับราชการปีละ 6 เดือน คือเข้าเดือนหนึ่ง ออกเดือนหนึ่งสลับกันไป หน้าที่คือ สร้างวัด สร้างวัง สร้างถนน ออกรอบ
  • ไพร่สม (มีเจ้านายอุปถัมภ์) : รับใช้เจ้านายในระบบอุปถัมภ์ และจะได้รับการยกเว้นเกณฑ์แรงงานจากทางราชการ
  • ไพร่ส่วย :ไพร่หลวงที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้ามารับราชการ แต่จะต้องส่งสิ่งของหรือเงินทองแทนการเกณฑ์แรงงาน เช่น ดีบุก ฝาง หญ้าช้าง

*ชนชั้นพิเศษ พระสงฆ์ทุกชนชั้นต่างให้ความเคารพนับถือพระสงฆ์ และชนชั้นต่าง ๆ สามารถบวชได้ เมื่อบวชแล้วทุกคนจะมีฐานะเท่าเทียมกัน

เศรษฐกิจอาณาจักรอยุธยา

อาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนล่างที่เกิดจากการทับถมของดินตะกอนทําให้ดินบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์

  • เน้นทําเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าว พืช เพื่อยังชีพในประเทศ ส่วนที่เหลือจะนำไปขาย

  • ภายในประเทศจะเน้นการ “แลกเปลี่ยนสินค้ากัน”

    • ต่างประเทศจะต้องทำผ่าน “พระคลังสินค้า” โดยกรมท่าจะทำการส่งเรือสำเภาหลวงไปค้าขายกับต่างชาติ
    • สินค้าส่งออกที่สำคัญ ข้าว เกลือ ของป่าเช่น ไม้ฝาง งาช้าง นอแรด หนังสัตว์ ยางสน ไม้กฤษณา น้ำมันสน
    • สมัยนั้นจะเน้นค้าขายกับประเทศจีนและอินเดีย โดยการค้าขายกับจีนจะตรงกับสมัยราชวงศ์หมิง เรียกว่า ระบบรัฐบรรณาการ
    • สินค้านำเข้าจะมาจาก จีน ญี่ปุ่น ได้แก่ ผ้าแพร ไหมดิบ ทองคำ ปรอท ฝั่งชาติตะวันตก ได้แก่ อาวุธ เครื่องแก้ว
  • รายได้ของอาณาจักรอยุธยามีดังนี้

  • จังกอบ คือ ค่าผ่านทาง มี 2 แบบ ได้แก่ จังกอบสินค้า และจังกอบปากเรือ

    • อากรคือ ภาษีที่เก็บจากราษฎร เช่น อากรค่านา อากรศุลกากร อากรสวน อากรตลาด อากรค่าน้ำ ฯลฯ
    • ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมในการติดต่อราชการต่างๆ
    • ส่วยคือ เงินหรือสิ่งของที่ส่งให้ราชสำนัก เช่น ส่วยแรงงาน บรรณาการ
  • รายจ่ายของอาณาจักรอยุธยา มีดังนี้

  • รายจ่ายเป็นเบี้ยหวัด ให้กับเจ้านายและขุนนาง

    • รายจ่ายในการทหารเพื่อบำรุงกิจการของกองทัพให้เข้มแข็ง
    • รายจ่ายในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเช่น การสร้าง และปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม
    • รายจ่ายอื่น ๆเช่น รายจ่ายในพระราชพิธีต่างๆ รายจ่ายในการสงเคราะห์คนอนาถา

การต่างประเทศอาณาจักรอยุธยา

  • ทําการค้าเรือสําเภากับจีน อินเดีย ลังกา ญี่ปุ่น คาบสมุทร และหมู่เกาะต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • ในพุทธศตวรรษที่ 21 สมัยพระรามาธิบดีที่ 2 การค้าระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นเพราะได้ติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตกโดยชาติแรกคือ โปรตุเกส > สเปน > ฮอลันดา > อังกฤษ > ฝรั่งเศสตามลำดับ
  • ยุคทองด้านการต่างประเทศ คือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการส่งราชทูตติดต่อกับฝรั่งเศส สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

ศาสนาและศิลปกรรมอาณาจักรอยุธยา

  • ศาสนาสมัยอยุธยาเจริญรุ่งเรืองและมีความเป็นพุทธศาสนาแบบเถรวาทที่ผสมผสานกับความเชื่อแบบฮินดูและไสยศาสตร์

  • ศาสนาพุทธเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในสมัยนั้นมีการสร้างวัดวาอารามมากมาย และมีการบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง

  • ศิลปกรรมสมัยอยุธยา เน้นการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งจำแนกเป็นกลุ่มได้ ดังนี้

  • พระพุทธรูปแบบศิลปะทวารวดีผสมเขมร มีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม มีจีวรคล้ายแบบทวารวดี

    • พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง เช่น หลวงพ่อโต หรือพระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิง
    • พระพุทธรูปแบบอยุธยา เช่น ปางไสยาสน์ ปางมารวิชัย ปางสมาธิ ปางลีลา ปางประทานอภัย และปางป่าเลไลยก์
    • พระพุทธรูปทรงเครื่อง พระพุทธรูปมักจะมีการแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามเหมือนอย่างกษัตริย์ เช่น พระประธาน วัดหน้าพระเมรุ จ.อยุธยา

การเสื่อมอำนาจของอาณาจักรอยุธยา

  • เกิดการแย่งชิงราชสมบัติและทหารในสมัยนั้นขาดความรู้ความสามารถ แตกความสามัคคี ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขัดแย้งกัน

  • มีความขัดแย้งกับพม่า เรื่องการแย่งชิงขยายอาณาเขตหัวเมืองมอญและล้านนา แย่งควบคุมเส้นทางการค้า ซึ่งได้ทำสงครามกับพม่าไปถึง 24 ครั้ง และเสียเอกราชให้พม่า 2 ครั้ง

  • ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2112 สมัยพระมหินทราธิราช

    • ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 สมัยพระเจ้าเอกทัศ
  • อยุธยาประกาศอิสรภาพจากพม่า เมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2127โดยสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงทำศึกสงครามกับพม่าจนได้รับชัยชนะ

  • เมื่อถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2310 พม่าได้ยกทัพเข้ามาภายในกรุงศรีอยุธยาสำเร็จ บ้านเมืองถูกทำลายอย่างหนัก จึงถือเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรอยุธยาที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 417 ปี

ประวัติศาสตร์สมัยธนบุรี

การสถาปนาอาณาจักรธนบุรี

  • หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า ในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศ เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2310
  • หลังจากนั้นพระยาวชิรปราการ (ตำแหน่งสุดท้ายของพระเจ้าตากสิน)เจ้าเมืองกำแพงเพชร ซึ่งถูกเรียกตัวเข้ามาช่วยรักษากรุงเห็นว่าจะรักษากรุงไว้ไม่ได้ จึงรวบรวมผู้คนได้ประมาณ 500 คนตีฝ่าแนวรบของทหารพม่าไปทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออก
  • การยกทัพของพระเจ้าตากสินที่ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกไปมีเส้นทางเดินทัพผ่านไปตามเมืองต่างๆ ถ้าพิจารณาตามสถานที่ของจังหวัดในปัจจุบันจะผ่าน อยุธยา -> นครนายก -> ปราจีนบุรี -> ฉะเชิงเทรา -> ชลบุรี -> ระยอง -> จันทบุรี
  • กลวิธีในการเพิ่มกองกำลังพลทหารคือ เมื่อผ่านเมืองใดก็จะส่งทหารเข้าไปชักชวนให้เจ้าเมืองมาร่วมมือกัน ถ้าเมืองใดไม่ยอมก็จะใช้กำลังเข้าโจมตี ทำให้พระเจ้าตากสินมีกำลังมากขึ้น
  • หลังจากนั้นจึงเดินทางไปยังจันทบุรี แต่ได้รับการต่อต้านพระเจ้าตากสินจึงทรงแสดงความสามารถใช้กลวิธีปลุกใจทหาร และสร้างแรงบันดาลใจให้ทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกงก่อนเข้าตีหวังจะไปกินอาหารมื้อต่อไปในเมือง ซึ่งกลวิธีนี้ได้ผลเพราะทหารเกิดกำลังใจที่จะต้องตีเมืองจันทบุรีให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีอาหารกิน การตีเมืองจันทบุรีจึงสำเร็จ และพระเจ้าตากสินจึงใช้เมืองจันทบุรีเป็นศูนย์กลางในการกู้เอกราช
  • เมื่อพระเจ้าตากสินมีกำลังไพร่พลมากขึ้นจึงได้ยกทัพมาตีธนบุรีเป็นด่านแรก ได้ปะทะกับกำลังของนายทองอิน คนไทยที่พม่าแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษากรุง พระจ้าตากสินชนะ จับนายทองอินประหารชีวิต จากนั้นจึงเดินทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยาในค่ำวันเดียวกัน
  • ศึกกู้ชาติเริ่มขึ้นในเช้าวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 ณ ค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งอยู่เหนือกรุงศรีอยุธยาขึ้นไปเล็กน้อย มีสุกี้พระนายกองเป็นผู้บังคับบัญชาของพม่า พระเจ้าตากสินรบชนะพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น
  • ถือเป็นการกู้เอกราชคืนจากพม่าได้สำเร็จ โดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนเศษเท่านั้นนับจากการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.2310
  • หลังจากนั้นจึงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยา ไปอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งมีนามเต็มว่า “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร” และได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2310
  • ทรงสร้างพระราชวังโดยมีวัดขนาบข้างทั้ง 2 ด้าน คือ วันอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดโมฬีโลกยราม (วัดท้ายตลาด)

note : สาเหตุที่พระเจ้าตากสินทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานี มีดังนี้

1. กรุงธนบุรีเป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะแก่การป้องกันรักษา

2. ในกรณีที่ข้าศึกมีกำลังมากกว่าที่จะรักษากรุงไว้ได้ ก็อาจย้ายไปตั้งมั่นที่จันทบุรีโดยทางเรือได้สะดวก

3. กรุงธนบุรีมีป้อมปราการที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หลงเหลืออยู่พอที่จะใช้ป้องกันข้าศึกได้บ้าง

4. กรุงธนบุรีตั้งอยู่บนเกาะเหมือนกรุงศรีอยุธยา และยังมีสภาพเป็นที่ลุ่ม มีบึงใหญ่น้อยอยู่ทั่วไปซึ่งจะเป็นเครื่องกีดขวางข้าศึกมิให้โอบล้อมพระนครได้โดยง่าย

5. กรุงธนบุรีอยู่ใกล้ปากน้ำสะดวกแก่การค้าขายกับต่างประเทศ เรือสินค้าสามารถเข้าจอดเทียบท่าได้โดยไม่ต้องขนถ่ายสินค้าลงเรือเล็กอย่างสมัยอยุธยา ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก

6. กรุงธนบุรีเป็นเมืองเก่า มีวัดที่สร้างไว้แต่สมัยอยุธยาเป็นจำนวนมาก ชั่วแต่บูรณะ ปฏิสังขรณ์บ้างเท่านั้นไม่จำเป็นต้องสร้างวัดขึ้นใหม่ให้สิ้นเปลือง

7. กรุงธนบุรีมีดินดี มีคลองหลายสาย มีน้ำใช้ตลอดปี เหมาะแก่การทำนา ปลูกข้าวทำสวนผักและทำไร่ผลไม้ นับว่ามีความอุดมสมบูรณ์ดีเท่าหรือดีกว่ากรุงศรีอยุธยา

การเมืองการปกครองอาณาจักรกรุงธนบุรี

การปกครองสมัยกรุงธนบุรียึดถือตามแบบอย่างอยุธยา สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คือแบ่งส่วนราชการออกเป็น

  • การปกครองส่วนกลางประกอบด้วย อัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง ได้แก่

  • สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน และดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ

    • สมุหพระกลาโหมเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร และดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ การบริหารราชการแบ่งออกเป็น 4 กรม เรียกว่า จตุสดมภ์ ประกอบด้วย
  • กรมเวียง (นครบาล) มีหน้าที่ปกครองท้องที่ รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

    [* กรมวัง \(ธรรมาธิกรณ์\) มีหน้าที่เกี่ยวกับราชสำนัก และพิจารณาคดีความของราษฎร , * กรมคลัง \(โกษาธิบดี\) มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของแผ่นดิน และเก็บรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้มาจากส่วย อากร และบังคับบัญชากรมท่า ซี่งเกี่ยวข้องกับการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ , * กรมนา \(เกษตราธิการ\) มีหน้าที่ดูแลนาหลวง เก็บภาษี \(หางข้าว\) ]
  • การปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งหัวเมืองออกเป็น

  • หัวเมืองชั้นใน (เมืองจัตวา)ได้แก่ เมืองที่อยู่ใกล้ราชธานี เป็นเมืองเล็กๆ มีขุนนางชั้นผู้น้อยเป็นผู้ปกครองเมือง แต่เรียกว่า จ่าเมือง เช่น เมืองพระประแดง เมืองนนทบุรี เมืองสามโคก

    • หัวเมืองชั้นนอกได้แก่ เมืองที่อยู่นอกราชธานีออกไป แบ่งตามขนาดและความสำคัญของเมืองกำหนดฐานะเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี จัตวา โดยรูปแบบการบริหารราชการเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา
    • หัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองซึ่งทางกรุงธนบุรีจะเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าเมือง ให้อิสระในการปกครอง แต่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของเมืองหลวง และต้องส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง รวมทั้งเครื่องราชบรรณาการตามที่เมืองหลวงกำหนด เมืองประเทศราชสมัยกรุงธนบุรี ได้แก่ เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทร์ จำปาศักดิ์ นครศรีธรรมราช ปัตตานี และเขมร

เศรษฐกิจอาณาจักรธนบุรี

  • ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นครองราชสมบัตินั้น บ้านเมืองกำลังประสบ ความตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างที่สุด

  • เกิดการขาดแคลนข้าวปลาอาหาร และเกิดความอดอยากยากแค้นจึงมีการปล้นสะดมแย่งชิงอาหาร ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

  • สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ และดำเนินวิธีการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจดังนี้

  • ทรงสละพระราชทรัพย์ซื้อข้าวสารจากต่างชาติที่นำมาขาย แล้วนำไปแจกจ่ายให้กับราษฎรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    • ทรงเร่งรัดการทำนาปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอ โดยการสนับสนุนให้ข้าราชการทำนาปรัง
    • ทรงส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ เพื่อนำรายได้มาใช้เกี่ยวกับการทำสงครามและบูรณปฏิสังขรณ์วัด รายได้เกี่ยวกับการค้ากับต่างประเทศ ได้แก่ การเก็บภาษีเบิกร่องหรือค่าปากเรือ ภาษีขาเข้า - ภาษีขาออก
  • แม้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินจะพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จนักเป็นเพราะสาเหตุดังต่อไปนี้

  • มีสงครามตลอดรัชกาล ทำให้ราษฎรไม่มีเวลาทำมาหากิน

    • เกิดภัยธรรมชาติ เช่น พ.ศ.2311 – พ.ศ.2312 ฝนแล้งติดต่อกัน ทำนาไม่ได้ผล ที่พอทำได้บ้างก็ถูกหนูกัดกินข้าวในนาและยุ้งฉาง รวมทั้งทรัพย์สินสิ่งของทั้งปวงเสียหาย
    • ผู้คนแยกย้ายกระจัดกระจายกัน ยังไม่มารวมกันเป็นปึกแผ่น
    • พ่อค้าชาติต่างๆ ยังไม่กล้ามาลงทุน เพราะสภาพการณ์บ้านเมืองไม่น่าวางใจ อีกประการหนึ่งเกรงจะถูกยึดทรัพย์สินเป็นของหลวง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ค่อยได้ผลนัก ทั้งนี้เพราะต้องทำควบคู่ไปกับการทำสงครามด้วย

การต่างประเทศอาณาจักรธนบุรี

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยกรุงธนบุรีมีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือการป้องกันประเทศจากการรุกรานของต่างชาติและการขยายอำนาจไปยังอาณาจักรข้างเคียงเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแก่บ้านเมืองประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยสมัยกรุงธนบุรี ดังนี้

  • ความสัมพันธ์กับพม่าเป็นไปในลักษณะของความขัดแย้งตลอดรัชกาล เริ่มจากการรบครั้งแรกที่ค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งไทยเป็นฝ่ายชนะ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ แต่พม่าก็ยังไม่หยุดยั้งที่จะทำลายอาณาจักรไทยที่ตั้งขึ้นใหม่ ในสมัยกรุงธนบุรีมีการทำสงครามกับพม่า 10 ครั้งผลัดกันแพ้ชนะ สงครามครั้งสำคัญที่สุด ได้แก่ ศึกอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ.2318 ไม่มีฝ่ายใดชนะโดยเด็ดขาด

  • ความสัมพันธ์กับลาวมีการทำสงครามกับลาว2 ครั้ง คือ ศึกจำปาศักดิ์ ปี พ.ศ.2319 และศึกเวียงจันทน์ ปี พ.ศ.2321 ผลของสงครามทั้ง 2 ครั้ง ไทยเป็นฝ่ายชนะ ได้ลาวเป็นประเทศราช

  • ความสัมพันธ์กับกัมพูชา เขมรเคยเป็นประเทศราชของไทยมาแต่สมัยอยุธยา หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ.2310 แล้ว พระเจ้าตากสินกู้เอกราชได้สำเร็จ ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เขมรไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายอ้างว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไม่ใช่เชื้อพระวงศ์พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา

  • สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง) และพระยาอนุชิตราชา (บุญมา) นำทัพไปตีเขมรใน พ.ศ.2312 แต่ไม่สำเร็จเพราะเขมรแกล้งปล่อยข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จสวรรคต พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชาจึงยกทัพกลับ ต่อมาปี พ.ศ.2314 โปรดให้พระยาจักรียกทัพไปตีเขมรอีก และได้เขมรกลับมาเป็นประเทศราชของไทย

  • ความสัมพันธ์กับจีนสมัยกรุงธนบุรีเป็นความพยายามของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จะให้จีนยอมรับฐานะของพระองค์ และเพื่อให้ไทยได้เปิดค้าขายกับจีน เป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและทำให้ฐานะของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมั่นคงขึ้นด้วย

ศาสนาและศิลปกรรมอาณาจักรธนบุรี

  • พระพุทธศาสนาตกต่ำมากในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ได้แก่

  • นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ตามที่ต่างๆ ให้มาประชุมกันที่วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตาราม) แต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดประดู่ขึ้นเป็นพระสังฆราช และตั้งพระราชาคณะให้ปกครองพระอารามต่างๆในเขตกรุงธนบุรี

    • ในคราวเสด็จไปปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช พระองค์เสด็จบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระอารามวัดพระศรีมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช และให้เชิญพระไตรปิฎกขึ้นมายังกรุงธนบุรี เพื่อคัดลอกจารไว้ทุกหมวดแล้วเชิญกลับไปนครศรีธรรมราชตามเดิม
    • เมื่อเสด็จหัวเมืองเหนือ พระเจ้าตากสินก็ทรงแต่งตั้งพระราชาคณะตามหัวเมืองต่างๆ และโปรดให้รวบรวมพระไตรปิฎกทางหัวเมืองเหนือมาสอบชำระที่กรุงธนบุรี แล้วให้ส่งกลับไปใช้เป็นฉบับหลวง
    • ทรงอุปถัมภ์พระภิกษุ สามเณร ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทางศาสนาเป็นประจำ
    • ปฏิสังขรณ์วัดแห่ง เช่น วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทาราม) อันเป็นพระอารามหลวง และประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระพันปีหลวงกรมพระเทพามาตย์
    • นอกจากนี้เมื่อครั้งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ใน พ.ศ.2321 ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ในกรุงธนบุรีด้วย
  • ด้านศิลปกรรมทรงฟื้นฟูเพื่อสร้างความครื้นเครงให้แก่ประชาชนที่เสียขวัญจากสงคราม จึงพระราชทานโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้มีครูมาฝึกสอนนาฏศิลป์ และสามารถนำไปแสดงเพื่อสร้างความครื้นเครง ไม่ว่าจะเป็น โขน ละครหุ่น ละครรำ มโหรี ปี่พาทย์ ฯลฯ และการละเล่นต่าง ๆ เช่น หกไม้สูงสามต่อ ชกมวย ชนช้าง แข่งม้า ทวนหลังม้า เป็นต้น

  • ด้านวรรณกรรมสมัยธนบุรีได้รับอิทธิพลโดยตรงจากสมัยอยุธยาตอนปลายที่สำคัญ คือ

  • แต่งด้วยร้อยกรอง ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย

    • มีธรรมเนียมนิยมในการแต่งเช่นเดียวกัน เช่น ขึ้นต้นด้วยบทไหว้หรือประณามบท มีการบรรยายและพรรณนาอย่างเข้าแบบทั้งบทชมต่าง ๆ และบทพรรณนาอารมณ์ความรู้สึก มุ่งความไพเราะในการประพันธ์
    • เนื้อเรื่องที่แต่งจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา คำสอน เรื่องเล่า บทแสดงและบทยอพระเกียรติ
  • วรรณกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเท่าที่ค้นพบและจัดพิมพ์เผยแพร่แล้วมีจำนวน 8 เรื่อง คือ

  • 1) บทละครเรื่องรามเกียรติ์

    • 2) ลิลิตเพชรมงกุฎ
    • 3) อิเหนาคำฉันท์
    • 4) โคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
    • 5) นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน
    • 6) กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
    • 7) ปาจิตกุมารกลอนอ่าน
    • 8) พระโพธิสัตว์โกสามภิน

การเสื่อมอำนาจของอาณาจักรธนบุรี

  • ความขัดแย้งภายในและการจลาจล:เกิดเหตุการณ์กบฏพระยาสรรค์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่ความวุ่นวาย และความไม่สงบภายในกรุงธนบุรี
  • ความอ่อนแอของพระมหากษัตริย์: มีความเชื่อว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระสติวิปลาส หรือสติฟั่นเฟือนในช่วงปลายรัชกาล ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในการปกครอง
  • การสูญเสียความเชื่อมั่น: การกระทำที่ไม่เหมาะสมของพระมหากษัตริย์ และถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดหลักธรรมทางพุทธศาสนา ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา
  • การก่อกบฏ:การก่อกบฏของพระยาสรรค์และการเข้ายึดอำนาจ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
  • การตัดสินใจของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก:เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับมาจากกัมพูชา ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ปราบปรามจลาจล และมีการประชุม เพื่อพิจารณาโทษของพระเจ้าตากสินมหาราช
  • การสวรรคตของพระเจ้าตากสินมหาราช: สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกสำเร็จโทษ ทำให้สิ้นสุดราชวงศ์ธนบุรี ในปี พ.ศ. 2325

มาทดสอบความรู้กัน!

มาทดสอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย สมัยสุโขทัย และสมัยอยุธยา วันนี้มีแนวข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์มาให้น้องๆ ลองทำกันถึง 3 ข้อด้วยกัน ถ้าพร้อมแล้วเริ่มทำเลย!

1. กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พระร่วงคือใคร

ก. พระมหาธรรมราชาที่ 2

ข. พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย)

ค. พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล)

ง. พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไทย)


2. ตลาดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของสมัยสุโขทัยคือตลาดอะไร

ก. ตลาดปสาน

ข. ตลาดกลางเมือง

ค. ตลาดพระร่วง

ง. ตลาดสุโขทัย


3. ข้อใดกล่าวถึงหน้าที่ของจตุสดมภ์ได้ถูกต้อง

ก. กรมเวียง พิจารณาคดีต่างๆ

ข. กรมวัง รับผิดชอบทางด้านการศึกษา

ค. กรมคลัง ดูแลผลประโยชน์ของแผ่นดิน

ง. กรมนา ส่งเสริมการเกษตรของขุนนาง

น้องๆ ชาว Dek-D คิดว่าแต่ละข้อตอบอะไรบ้าง มาคอมเมนต์คำตอบด้านล่างได้เลย!

สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วิชาสังคมบทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ถ้าน้อง ๆ มีประเด็นที่น่าสนใจ หรือความรู้จากวิชาอะไร ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...