โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

WHAชูไทยฐานการผลิตโลก ภาษีทรัมป์ไม่กระทบลูกค้าย้ายฐาน

Manager Online

เผยแพร่ 16 ก.ค. เวลา 04.32 น. • MGR Online

WHA ชูไทยฐานการผลิตระดับโลก ภาษีทรัมป์ไม่กระทบนิคมอุตสหากรรม ระบุไทยยังมีบุญเก่า ความมั่นคงด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานดึงดูดนักลงทุน แต่แนะยกระดับรับเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งเรื่องพลังงานสะอาด และดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อทิ้งห่างคู่แข่งก่อนถูกแซง แนะจับตากลุ่มสินค้าสวมสิทธิ์ต้องมีการจัดการอย่างชัดเจน พร้อมรักษานักลงทุนต่างชาติที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอย่างแท้จริง

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน)หรือ WHA กล่าวว่าภายในงานสัมมนา iBusiness ForumDecode 2025: The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทยว่าปัจจุบันเทคโนโลยี การเติบโตแบบยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate change) ถือเป็นโอกาสของประเทศไทยมันมีความสำคัญกับอนาคตมากขึ้น แต่เรากลับไปโฟกัสที่ประเด็นทรัมป์2.0 กับภูมิรัฐศาสตร์จนทำให้เราอาจจะลืมเรื่องพวกนี้ไป

สำหรับตอนนี้ประเทศที่มีการสรุปเรื่องกำแพงภาษีจริงๆ มีแค่ 2 ประเทศคืออังกฤษ กับเวียดนาม จีนก็ยังไม่สรุปส่วนอังกฤษอยู่ที่10%คือจบไปละ ส่วนเวียดนามบอกว่าได้20% แล้วไทยเจอ 36% นั้น ทางเราได้คุยกับคนของเราที่เวียดนาม ซึ่งปกติแล้วเวียดนามจาก 46% เหลือ 20% เขาควรจะดีใจใช่ไหม เขาควรจะต้องออกข่าวใช่ไหมเราก็งงว่าทำไมเวียดนามรัฐบาลเวียดนามถึงนิ่งๆ เลยเช็กกับคนของเราที่เวียดนามคือว่าเขาผิดหวังมากเพราะว่าเขาเทหมดหน้าตักเลยสิ่งที่เขาได้มาเขาคิดว่าเขาจะได้ 10-12% เขากลับได้ 20% กับ 40% สินค้าที่สวมสิทธิ์ และส่วนใหญ่ที่เวียดนามจะเป็นสินค้าประเภทนี้

“คำจำกัดความของสินค้าสวมสิทธิ์ตอนนี้ยังไม่จบ ยังงงกันอยู่ว่ามันตีความกันขนาดไหนเพราะว่าการผลิตที่เวียดนามที่โตเติบโตมาโดดเด่นมากโดยเฉพาะหลังโควิดขึ้น แต่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงที่เกิดจากการเทรดวอร์รอบแรกเข้ามาใช้แรงงานราคาถูกที่เวียดนามได้ไปแต่ไอ้พวกวัตถุดิบต้นทางมาจากจีนทั้งนั้น แม้แต่ผ้า ซิบ เอาเย็บติดกันสุดท้ายก็เอาส่งออกไปสหรัฐฯ แล้วเขานับยังไงว่าเป็นสินค้าจากไหนฉนั้นเขายังไม่รู้เลยค่ะเขาเจอ20% หรือ 40% แน่สหรัฐฯกับเอาเรื่องนี้มาต่อรองกับประเทศทั้งโลกขึ้นมา”

ในตอนต้นตอนที่ไทยเจอภาษี 36% มีคนถามเยอะมากแต่มันยังไม่จบต้องดูให้มันหมดก่อนว่าใครเจออะไรบ้าง เช่น บราซิล 50%ทั้งที่บราซิลขาดดุลสหรัฐ ส่วนแม็กซิโกกว่า 30% อันนี้ยังรอจีนกับอินเดียที่ยังไม่มีข้อสรุป ถามว่าทำไมยกตัวอย่างประเทศเหล่านี้ เพราะตอนนโยบายภาษีรอบแรกเดือนเมษา ผลสำรวจจากลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมของเรา โดยเฉพาะลูกค้าจีนที่มีการส่งสินค้าไปสหรัฐฯกว่า 75% ถ้าจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตจริงๆจะเลือกประเทศไหน คำตอบที่ได้คือ บราซิล กับแม็กซิโก ซึ่งไม่ได้ต่างกันมากนักฉนั้นไทยยังถือเป็นทางเลือกของนักลงทุนจีนอยู่

“ลองวิเคราะห์ข้อมูลกันดีดีจีนคงจะไม่ทางโดนต่ำกว่าประเทศอื่นเพราะเป้าของสหรัฐฯคือจีนทั้งเรื่องความมั่นคง อาหาร แล้วก็เทคโนโลยี เขาเลยมองไทยว่าการโดนกำแพงภาษีรอบนี้ไม่น่าจะเกิน 3 ปี แต่ถ้ายังเป็นที่จีนก็คงจะยาวกว่านั้น ส่วนอินเดียไม่ต้องพูดถึงเขาเป็นคู่แข่งกันยังไงก็ไม่มีทางย้ายไปถึงแม้อินเดียจะโดนกำแพงภาษีน้อยกว่า”

อย่างไรก็ตามถ้าภาษีทั่วโลกจะสูงแบบนี้หมดจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งแรกเลยคือปีต่อไปสหรัฐฯจะต้องเผชิญกับภาวะสินค้าราคาแพงและอาจต้องจับตาดูว่าเศรษฐกิจจะถดถอยด้วยหรือไม่ แล้วถ้าตัดสหรัฐฯออกไปจะเกิดอะไรขึ้นเพราะหลายประเทศก็เริ่มมองแล้วว่าให้อเมริกานี่คือมีประเด็นเยอะมาก ซึ่งในส่วนไทยถ้าดูตัวเลขแล้วจะพบว่าการส่งออกไปสหรัฐฯในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามันสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงเทรดวอร์รอบแรกปี 2018 จากยอดรวมทั้งหมด 11% ขึ้นมาอยู่ที่ 19% คำถามก็คือกลับมาว่าแล้วเมื่อก่อนหน้านั้นไทยส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยกว่านี้ยังไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

ถ้าตั้งสติดีๆ คิดดูจะรู้ว่านอกจากสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปสหรัฐฯ แล้วจะรู้ว่าสินค้าหลักอีกอย่างคือ อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่กว่า60% เป็นบริษัทจากสหรัฐฯ เขาลงทุนของเงินไทยเป็นแสนล้าน เขาจะย้ายออกไหมมันมีเบื้องหลังขึ้นใหม่ตอนนั้นที่เรากางข้อมูลดู ส่วนพวกรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เราส่งออกไปทั่วโลกมากกว่า”

ทั้งหมดเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่านิคมอุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากมาตรการภาษี ซึ่งข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาตั้งโรงงานในพื้นที่เราส่วนใหญ่จะทำการผลิตและส่งออก ซึ่งในปี 2018 ลูกค้าของจีนจะอยู่แค่ประมาณ 3% เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 20% ตั้งแต่ช่วงปี 2022 เป็นต้นมา การที่จะเหมารวมว่าเป็นการส่วมสิทธิ์จะเกิดความเสียหายตรงนี้ต้องพิจารณาให้ดีเพราะลูกค้าที่มาซื้อและอยู่ในพื้นที่เราเขาต้องใช้เวลากว่าตั้งโรงงานเริ่มผลิตได้ใช้เวลา 2-3 ปี สำหรับกลุ่มที่ลงทุนสร้างโรงงานและผลิตจะต้องรักษาลูกค้ากลุ่มนี้ไว้ ต่างจากพวกที่นำเข้ามาแล้วส่งออกมันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศไทยเลย

“ลูกค้าเราปีนี้กลับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำลูกค้าที่อยู่ในดิวก็เตรียมจะเซ็นสัญญาเตรียมโอนไม่มีใครถอย สมัยก่อนเรามีลูกค้าจีนแค่3% แค่ไม่กี่ปีขึ้นมาเป็น 27% เมื่อก่อนอันดับ 1 เราคือญี่ปุ่น 39% แต่ตอนนี้ลงมาเหลือ 19% ไทย 17% สหรัฐอีก 13% แค่สหรัฐฯในปี 2023เป็นมาถึงตอนนี้เพิ่มเป็น 17% แล้วมาจากเทคโนโลยีดาต้าเซ็นเตอร์”

สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ต้องเข้าใจก่อนว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีไม่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าชิปใดๆ ลูกค้าคือยูเซอร์เขาคือผู้ใช้เครื่องไม่เกี่ยวข้องกับการจำกัดการนำเข้าชิปแต่อย่างใด ต้องอย่าสับสนนิคมฯของเรายังมีไม่ได้รับผลกระทบและมีหลากหลายอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นลูกค้าเราอย่างต่อเนื่อง

“มีลูกค้าเรารายหนึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่โตเร็วมาก เขาเคยซื้อที่ที่อเมริกาไว้แล้วแต่สุดท้ายก็ขายทิ้ง แต่ก็ย้ายกลับมาไทยแล้วส่งออกดีกว่า เหตุผลที่เขาให้คือ อเมริกาที่แพง ค่าก่อสร้างก็แพง ค่าแรงก็แพง แถมหายาก ที่สำคัญคือคนงานชอบฟ้องบริษัท ฟ้องอย่างเดียว และนี่คือความไม่น่ารักของอเมริกา”

การจะดึงนักลงทุนเข้าประเทศยังต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งเรื่องของพลังงานสะอาด การกำจัด มันต้องมีการปรับ จากการสำรวจของเราจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 50 รายก็ยังไม่แผนที่จะย้ายการผลิต ตัวเลขทางบีโอไอปีที่แล้วสูงถึง8แสนกว่าล้านบาทสูงที่สุดตั้งแต่ตั้งบีโอไอมา ซึ่งไทยยังคงมีศักยภาพและมีโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่นี่คือบุญเก่าที่ไทยมี แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็มีโอกาสแพ้และต่อจากนี้ยังคงต้องมีการแข่งขันกันต่อไป

“หลายๆ อย่างที่เวียดนามดึงไปไม่ได้เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์เพราะเขาไม่มีความมั่นคงเรื่องพลังงาน โครงสร้างหลายอย่างยังมีจำกัดเช่นระบบนิเวศของอุตสหากรรมยานยนต์ที่ไทยสร้างไว้ใหญ่มากก็เป็นข้อจำกัดของเวียดนามถึงตรงนี้อยากให้มองต่อว่าเน็กซ์มูฟว่าเราจะมันมีเสน่ห์ได้อย่างไร เราต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลนั่นก็คือดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถ้าไม่มีส่วนนี้ไทยจะไปต่อกับการเป็นดิจิทัลอีโคโนมี่ไมได้ นอกจากนี้ยังควรมีการยกระดับทักษะของแรงงาน และการพัฒนาด้านการศึกษา”

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...