Biodiversity ความท้าทายใหม่ ที่ธุรกิจเกษตรและอาหารไทยต้องรับมือ
ที่จัดขึ้นในปี 2565 ที่ได้มีการรับรองกรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งตั้งเป้าหมายในการปกป้องพื้นที่ธรรมชาติไม่น้อยกว่า 30% ของพื้นที่ทั้งหมดภายในปี 2573 ความตกลงดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนความพยายามด้านการปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องเริ่มตระหนักว่า ความหลากหลายทางชีวภาพไม่ใช่แค่ประเด็นทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจและความเสี่ยง ทำให้ภาคเกษตรและอาหารซึ่งต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติสูง จำเป็นต้องเร่งยกระดับสู่มาตรฐานด้าน Biodiversity อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับไทย ในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับต้นๆ ของโลก ภาครัฐก็ได้มีการผลักดันเรื่องนี้ โดยเฉพาะใน EEC ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ศักยภาพของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ผลไม้ สมุนไพร ประมง ปศุสัตว์ โดยในแผนพัฒนาการเกษตรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ. 2566-2570) ก็ได้ให้ความสำคัญกับการยกระดับภาคเกษตรและอาหารในด้าน Biodiversity ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการปลูกพืชท้องถิ่น เช่น สมุนไพรและพืชหายากในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม New S-Curve รวมทั้งการพัฒนาเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เช่น การลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร ซึ่งจะช่วยให้ระบบนิเวศฟื้นตัวและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่เกษตร
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในภาพรวมของประเทศ กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารไทยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเทรนด์ Biodiversity เป็นกลุ่มแรกๆ คือ สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารสัตว์ โดยสินค้าเหล่านี้มักถูกจับตาในเรื่องกฎระเบียบและมาตรการการค้าระหว่างประเทศใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับ Biodiversity ตลอดห่วงโซ่การผลิต และยังเป็นกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับ Biodiversity อย่างเข้มข้น ทั้งนี้ สินค้า 2 กลุ่มหลักมีมูลค่าส่งออกไปสหภาพยุโรปรวมกันถึง 65,300 ล้านบาทต่อปี หรือ 7% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรวมของไทยซึ่งอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
ท้ายที่สุด หนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จที่จะทำให้อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารไทยสามารถยกระดับมาตรฐานด้าน Biodiversity ได้ คือ ผู้ประกอบการต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงมือผู้บริโภค เพื่อสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการรับรองมาตรฐานด้าน Biodiversity ซึ่งมีแนวโน้มถูกนำมาใช้เป็นกฎระเบียบทางการค้ามากขึ้น รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ (Taskforce on Nature-Related Financial Disclosures: TNFD) ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรมากกว่า 500 แห่งทั่วโลกรวมถึงไทยที่ใช้แนวทาง TNFD แล้ว