โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“อโยธยา” ในเอกสารและตำนานเก่าแก่ อยู่ร่วมสมัยกับ “สุโขทัย-ล้านนา”

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 29 พ.ย. 2567 เวลา 07.31 น. • เผยแพร่ 29 พ.ย. 2567 เวลา 05.25 น.
แผนที่เกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา และบริเวณทิศตะวันออกของเกาะเมืองที่สันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของเมืองอโยธยา (ภาพจาก สุจิตต์ วงษ์เทศ. ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมสยามประเทศไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2547. หน้า 71.)

อโยธยา เมืองต้นกำเนิด กรุงศรีอยุธยา อาจเก่าแก่ร่วมสมัยกับ “สุโขทัย” และ “ล้านนา” ดังปรากฏการเอ่ยถึงในเอกสารและตำนานโบราณต่าง ๆ มากมาย

อโยธยา เมืองต้นกำเนิด กรุงศรีอยุธยา ร่วมสมัยกับสุโขทัยและล้านนา

จารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช(หลักที่ 1) ด้านที่ 4 ให้รายละเอียดเกี่ยวกับบ้านเมืองในเครือข่ายความสัมพันธ์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ครั้งรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในตอนที่กล่าวถึงเมืองในภาคกลางนั้น จารึกระบุชื่อเมืองที่อยู่ทางด้านทิศหัวนอน (ทิศใต้) ของสุโขทัย นับตั้งแต่เมืองคณฑีในเขตจังหวัดกำแพงเพชร ลงไปจนถึงนครศรีธรรมราช ไว้ว่า “เบื้องหัวนอน รอดคณฑี พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว”

สังเกตได้ว่า จารึกกล่าวถึงเฉพาะกลุ่มเมืองในลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง ได้แก่ แพรกศรีราชา สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี แต่ไม่กล่าวถึงเมืองสำคัญที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คือ ละโว้(ลพบุรี) และ อโยธยาแสดงให้เห็นว่า ทั้ง 2 เมืองนี้ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายความสัมพันธ์กับอาณาจักรสุโขทัย และในขณะเดียวกันแสดงให้เห็นว่า สุโขทัยมีความสัมพันธ์กับเมืองในเขตอิทธิพลของราชวงศ์สุพรรณภูมิมากกว่าละโว้

ข้อความในจารึกพ่อขุนรามคำแหง (หลักที่ 1) สอดคล้องกับ ตำนานพระพุทธสิหิงค์หรือสิหิงคนิทาน ที่ระบุถึงอาณาเขตสุโขทัยของพระเจ้าสุรังคราชาธิบดี (พระร่วง คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช) ไว้ว่า ทางทิศใต้จรดกับอโยธยา ความว่า “…แลพระเจ้าสุรังคราชาธิบดี พระองค์มีพระราชอาณาจักรแผ่ไพศาลกว้างขวาง ตั้งแต่แม่น้ำเหนือขึ้นไป โดยลำดับที่สุดแม่น้ำน่าน ด้านใต้จด‘อโยธยานคร’ตลอดถึงเมืองศิริธรรมราช…”

เมือง “อโยธยา” ยังปรากฏหลักฐานในเอกสารฝ่ายล้านนา ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวถึงสาเหตุที่พญามังราย ขยายอำนาจไปยึดเมืองหริภุญไชยไว้ว่า พระองค์ได้พบพ่อค้าเมืองหริภุญไชย จึงทราบว่า เมืองนี้มีความสมบูรณ์เป็นเมืองชุมทางการค้าทั้งทางบกทางน้ำ และเมือง “โยธิยา”ก็มาติดต่อค้าขาย ความว่า

“มังรายจึงหาพ่อค้ามาถามดูว่าเมืองหริภุญไชยที่สูอยู่พู้นยังสมริทธี รู้ว่าบ่สมริทธีเป็นสันใด พ่อค้าทั้งหลายไหว้ว่าเมืองหริภุญไชยที่ตูข้าอยู่โพ้นก็สมริทธีด้วยข้าวของมากนัก พ่อค้าทางบกทางน้ำเทียวมาค้าชุเมืองทางน้ำก็เถิง ‘เมืองโยธิยา’ ก็มาค้าเถิง ยุท่าง (สะดวก) ค้าขาย ชาวเมืองก็สมริทธีเป็นดีมากนักแล”

หลังจากพญามังรายยึดเมืองหริภุญไชยจากพญายีบาได้ใน พ.ศ. 1835 ข้อมูลจากตำนานพื้นเมืองเชียงแสนระบุว่า พญายีบาหนีไปพึ่งพญาเบิกผู้น้องซึ่งครองอยู่เมืองลคอร (ลำปาง) พญาทั้งสองคิดที่จะทำศึกกับพญามังราย จึงขอความช่วยเหลือจากเมือง “อโยธิยา”หรืออโยธยาที่อยู่ด้านใต้ และเมืองแพร่

ตำนานพื้นเมืองเชียงแสนกล่าวถึง เจ้ามหามิตรแห่งเมืองอโยธิยาเกณฑ์กองทัพมาช่วยรบว่า “เจ้ามหามิตร ‘เมืองอโยธิยา’ท่านก็มีอาชญาป่าวเอาฅนเสิก็ได้ 2 แสน ช้าง 3 พัน ม้า 2 พัน มาค้ำ”พญามังรายจึงให้ขุนครามเกณฑ์พลออกรบและสามารถต้านทานทัพข้าศึกไว้ได้ ผลจากสงครามครั้งนั้นพญาเบิกเจ้าเมืองลคอรและพญาบอนเจ้าเมืองแพร่ถูกฆ่าตายในสนามรบ พญายีบาหนีออกจากเมืองลคอร

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า “เมืองอโยธยา” ใน พ.ศ. 1835 มีอำนาจและกำลังทหารสามารถยกทัพไปช่วยเมืองลำปางรบพญามังราย

เนื้อความในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่อีกแห่งหนึ่ง ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเครือญาติของพญาร่วง คือพ่อขุนรามคำแหงกับเมืองอโยธยา ไว้ในตอนพญามังรายตัดสินคดีพญาร่วงลักลอบเป็นชู้กับนางอั้วเชียงแสน ชายาพญางำเมืองแห่งเมืองพะเยาว่า “พญาสรีสุธรัมราชนครหลวง กับ ‘พญาสรีอยุธยา’ อันเป็นญาติพญาร่วงก็จักเป็นเวรแก่สหายกูเจ้าพญางำเมืองชะแล”

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเนื้อความตามจารึกพ่อขุนรามคำแหง (หลักที่ 1) ที่กล่าวถึงเมืองในลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง ความสัมพันธ์ที่ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึงนี้ อาจหมายถึงความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างสุโขทัยกับราชวงศ์สุพรรณภูมิ

นอกจากนี้ ในตำนานมูลศาสนา และตำนานพระธาตุดอยสุเทพ ระบุไว้ว่า พระอโนมทัสสีกับพระสุมนเถระเป็นลูกศิษย์ของพระมหาบรรพตะสังฆราชเมืองสุโขทัย เคยมาศึกษาที่เมืองอโยธยา ความว่า “ครั้งนั้นยังมีมหาเถรเจ้า 2 ตน อันเป็นลูกชาวเมืองสุโขทัย ตน 1 ชื่ออโนมทัสสี ตน 1 ชื่อสุมนะ เจ้าไททั้ง 2 ลงไปเรียนเอาปิฎกทั้ง 3 ใน‘เมืองอโยธยา’ โพ้น”

เมื่อภิกษุทั้งสองเรียนจบจึงกลับมายังสุโขทัย และได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับพระอุทุมพรบุปผามหาสวามีซึ่งตั้งสำนักเรียนตามอย่างลังกาวงศ์ที่เมืองพัน จึงพากันเดินทางไปยังเมืองพัน แล้วพากันสึกและเข้าบวชใหม่ในสำนักของพระอุทุมพรบุปผามหาสวามี

เหตุการณ์ที่พระอโนมทัสสีกับพระสุมนเถระไปเรียนที่อโยธยาน่าจะเกิดก่อน พ.ศ. 1875 เพียงเล็กน้อย เนื่องจากตำนานพระธาตุดอยสุเทพระบุไว้ว่า พ.ศ. 1875 เป็นปีที่พระอุทุมพรบุปผามหาสวามีกลับจากลังกาและตั้งสำนักที่เมืองพัน ความว่า

“ในเมื่อพระพุทธเจ้าเรานิพพานไปแล้วได้ 1875 พระวัสสา ในปลีรวงเม็ด สกราชได้ 693 ตัวนั้น ยังมีมหาเถรเจ้าตน 1 ชื่อว่ามติมา ได้เอาสาสนาแต่เมิงลังกามาตั้งในเมิงพัน…ก็จิ่งพร้อมกันอุสสาภิเสกมหาเถรเจ้าหื้อเป็นสวามียกขึ้น ชื่อว่า อุทุมพรปุปผมหาสวามี”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ“‘อโยธยา’ ก่อน พ.ศ. 1893 ความทรงจำจากเอกสารและตำนาน” เขียนโดยธนโชติ เกียรติณภัทร ในศิลปวัฒนธรรมฉบับสิงหาคม 2566[เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 กันยายน 2566

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “อโยธยา” ในเอกสารและตำนานเก่าแก่ อยู่ร่วมสมัยกับ “สุโขทัย-ล้านนา”

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...