สะใภ้ตัวร้ายแห่งตระกูลหลง
ข้อมูลเบื้องต้น
นาตาชา หญิงสาวอัปลักษณ์สายลับฝืมือฉกาจจากรัสเซีย เธอถูกส่งเข้ามาทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการธรรมดาของทำเนียบขาว เธอสามารถสืบความลับได้หลายอย่างภายใต้หน้ากากหญิงสาวที่ทุกคนมองข้าม
หญิงสาวมีความลับซึ่งไม่สามารถบอกกับใครได้ สุดท้ายเธอถูกคนขององค์กรหักหลังเพราะแรงพิษริษยาในความเก่งกาจด้านสืบข่าวกรอง ทั้งที่เธอเป็นคนอัปลักษณ์ที่สุดในองค์กร แต่สุดท้ายก็ต้องสังเวยชีวิตจากความไว้ใจคนใกล้ตัว
ครั้นเกิดใหม่อีกครา เธอตื่นขึ้นมาในร่างของสะใภ้โง่หัวอ่อนแห่งตระกูลหลงอันมั่งคั่งของเมืองหลวงประเทศจีน ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงนิ่งอึ้งไปตั้งแต่วินาทีแรก จนสมองแล่นช้าอย่างไม่รู้ตัวเพราะมีใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรของสามีนั่งจ้องมองจากบนรถเข็นไม่วางตา
“ว้าว! สวรรค์เมตตาฉันเสียจริง หล่ออะไรเบอร์นี้ ฉันจะดูแลคุณเองที่รัก……….โอ๊ย!”
นาตาชาหรือไช่อิงในชาตินี้ผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางพึมพำพร้อมเคลื่อนตัวเข้าไปหาชายนั่งบนรถเข็นผู้เป็นสามีอย่างมีความสุข พลันถูกองครักษ์ของสามีผลักออกไปให้พ้นหน้าเจ้านายหนุ่มเต็มแรง จนทำให้เธอหงายหลังเกือบตกเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว
พอตั้งสติได้แล้ว เธอรีบเอี้ยวตัวเหลียวมององครักษ์เข็นรถพาสามีออกไปจากห้องนอน โดยได้ยินเสียงเย็นชาอันคุ้นหูจากชายหนุ่มผู้เป็นสามีออกคำสั่งกับองครักษ์ทั้งสองคนว่า
“อย่าให้เธอเข้าใกล้ฉันอีก! เปลี่ยนเวรเฝ้าประตูห้องให้ดี!”
ไช่อิงยิ้มมุมปากด้วยสายตาวาบวับขณะจ้องมองสามีและองครักษ์เดินจากไป เธอไม่สนใจเสียงตอบรับคำสั่งจากองครักษ์ แต่พยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลางพึมพำอย่างมุ่งหมายว่า
“มีสามีหล่อขนาดนี้ ฉันจะถอยได้ไงล่ะ ลองดูกันสักตั้งเป็นไง”
หญิงสาวสามารถผสานความทรงจำระหว่างร่างใหม่กับจิตวิญญาณเดิมได้อย่างรวดเร็วเพราะมีประสบการณ์เกิดใหม่หลายครั้ง แล้วยังสามารถเข้าถึงความทรงจำของร่างใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะอะไรนั่นเหรอ
ก็เพราะว่าเธอเกิดใหม่ครั้งนี้เป็นครั้งที่แปดแล้วนั่นซี…..ครั้งที่แปด !!!
.*****************************.
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่งซึ่งอาจมีการอ้างอิงสถานที่ในโลกแห่งความเป็นจริง บุคคลและองค์กรทั้งหลายในนิยายล้วนสมมติขึ้น เหตุการณ์จริงบางอย่างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือองค์กรใดๆ เป็นเพียงการแต่งเพื่อรังสรรค์อรรถรสในการอ่านของเนื้อเรื่องเท่านั้น
ผู้แต่งจะอัปนิยายวันละ 1 ตอนทุกวัน ยกเว้นวันศุกร์วันเดียว โดยจะเริ่มติดเหรียญเมื่อใดนั้น จะแจ้งให้ผู้อ่านทราบในภายหลัง
โชคดีในโชคร้าย
ตอนที่ 1 โชคดีในโชคร้าย
นาตาชา หญิงสาวอัปลักษณ์สายลับฝืมือฉกาจจากรัสเซีย เธอถูกส่งเข้ามาทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการธรรมดาของทำเนียบขาว เธอสามารถสืบความลับได้หลายอย่างภายใต้หน้ากากหญิงสาวที่ทุกคนมองข้าม
หญิงสาวมีความลับซึ่งไม่สามารถบอกกับใครได้ สุดท้ายเธอถูกคนขององค์กรหักหลังเพราะแรงพิษริษยาในความเก่งกาจด้านสืบข่าวกรอง ทั้งที่เธอเป็นคนอัปลักษณ์ที่สุดในองค์กร แต่สุดท้ายก็ต้องสังเวยชีวิตจากความไว้ใจคนใกล้ตัว
ครั้นเกิดใหม่อีกครา เธอตื่นขึ้นมาในร่างของสะใภ้โง่หัวอ่อนแห่งตระกูลหลงอันมั่งคั่งของเมืองหลวงประเทศจีน ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงนิ่งอึ้งไปตั้งแต่วินาทีแรก จนสมองแล่นช้าอย่างไม่รู้ตัวเพราะมีใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรของสามีนั่งจ้องมองจากบนรถเข็นไม่วางตา
“ว้าว! สวรรค์เมตตาฉันเสียจริง หล่ออะไรเบอร์นี้ ฉันจะดูแลคุณเองที่รัก……….โอ๊ย!”
นาตาชาหรือไช่อิงในชาตินี้ผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลางพึมพำพร้อมเคลื่อนตัวเข้าไปหาชายนั่งบนรถเข็นผู้เป็นสามีอย่างมีความสุข พลันถูกองครักษ์ของสามีผลักออกไปให้พ้นหน้าเจ้านายหนุ่มเต็มแรง จนทำให้เธอหงายหลังเกือบตกเตียงอย่างไม่ทันระวังตัว
พอตั้งสติได้แล้ว เธอรีบเอี้ยวตัวเหลียวมององครักษ์เข็นรถพาสามีออกไปจากห้องนอน โดยได้ยินเสียงเย็นชาอันคุ้นหูจากชายหนุ่มผู้เป็นสามีออกคำสั่งกับองครักษ์ทั้งสองคนว่า
“อย่าให้เธอเข้าใกล้ฉันอีก! เปลี่ยนเวรเฝ้าประตูห้องให้ดี!”
ไช่อิงยิ้มมุมปากด้วยสายตาวาบวับขณะจ้องมองสามีและองครักษ์เดินจากไป เธอไม่สนใจเสียงตอบรับคำสั่งจากองครักษ์ แต่พยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลางพึมพำอย่างมุ่งหมายว่า
“มีสามีหล่อขนาดนี้ ฉันจะถอยได้ไงล่ะ ลองดูกันสักตั้งเป็นไง”
หญิงสาวสามารถผสานความทรงจำระหว่างร่างใหม่กับจิตวิญญาณเดิมได้อย่างรวดเร็วเพราะมีประสบการณ์เกิดใหม่หลายครั้ง แล้วยังสามารถเข้าถึงความทรงจำของร่างใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะอะไรนั่นเหรอ
ก็เพราะว่าเธอเกิดใหม่ครั้งนี้เป็นครั้งที่แปดแล้วนั่นซี…..ครั้งที่แปด !!!
นั่นคือความลับซึ่งเธอไม่คิดบอกใครเพราะมันน่าเหลือเชื่อเกินไป ทั้งยังเป็นไพ่ลับอันสำคัญของตนเองอีกด้วย
ไช่อิงเตรียมตัวจะลุกจากเตียงพลันต้องกระแทกตัวลงนั่งเหมือนเดิม เธอเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าภายในร่างกายมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น
จากนั้นเธอคลำตำแหน่งทัดดอกไม้ซึ่งอยู่เหนือใบหูซ้ายอย่างระมัดระวัง พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะการบาดเจ็บกำลังสมานตัวอย่างรวดเร็วซึ่งอาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของร่างเก่า แล้วจับข้อมือเพื่อตรวจสอบชีพจรตนเองอย่างละเอียดทั้งสองข้าง พลางเบิกตากว้างด้วยความโมโหอย่างถึงขีดสุด แล้วพึมพำออกมาด้วยความโกรธแค้นว่า
“หน็อยแน่! ใครกันที่กล้าวางยาฉัน ที่แท้ร่างเก่าอาจไม่ได้ตายเพราะถูกองครักษ์ทำร้าย แต่มีคนวางยาฉัน มันเป็นใครกันแน่?!”
ไช่อิงเค้นเสียงกล่าวด้วยความขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เธอรู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่งที่พบว่ามีคนตั้งใจทำร้ายตนเอง ทั้งอาจเป็นการยืมมือสังหารจากองครักษ์และสามีเพื่อหวังผลบางอย่าง
หญิงสาวตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าผู้คนในครอบครัวหลงต่างรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้เป็นสามีรังเกียจและเกลียดชังเธอมากที่สุด เพราะเธอแต่งงานกับเขาโดยปราศจากความรักต่อกัน แต่เป็นเพราะเขาขัดคำสั่งของผู้เป็นอาหรือผู้ปกครองในปัจจุบันไม่ได้
ประการสำคัญเธอเองก็ต้องมาแต่งงานกับเขาเพราะน้องสาวไม่ยินยอมแต่งกับคนพิการเพื่อใช้หนี้เงินยืมซึ่งเกิดจากการติดพนันของพ่อ ฉะนั้นภาระความรับผิดชอบของครอบครัวจึงตกมาอยู่ที่เธอในฐานะลูกสาวคนโตของบ้านในบัดดล
“ฉันต้องออกไปหายาขับพิษก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวจะซวยมากกว่านี้ เอาไงดี เรี่ยวแรงฉันก็แทบไม่เหลือแล้ว”
หญิงสาวประคองตัวเองเดินไปรินน้ำดื่มเพื่อดับกระหายและช่วยทำให้พิษเจือจางได้เล็กน้อย เธอตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าตนถูกพิษสลายกำลังซึ่งเป็นสูตรพิษร้ายแรงพอควร โดยมักใช้ในกลุ่มชายหนุ่มเสเพลผู้ชื่นชอบท่องเที่ยวยังสถานบันเทิงยามราตรี
พิษสลายกำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักเที่ยวราตรีเพราะไม่เพียงทำให้เรี่ยวแรงหดหายไป ทั้งเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งยังลบความทรงจำบางส่วนออกไปด้วย ฉะนั้นจึงเป็นพิษที่ชื่นชอบสำหรับชายหรือหญิงผู้มีเจตนาต้องการทำมิดีมิร้ายกับฝ่ายตรงข้ามได้ชะงัดนัก
ไช่อิงดื่มน้ำเข้าไปจนเกือบหมดเหยือก เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ทว่าเริ่มรู้สึกตาพร่ามัวเพราะฤทธิ์เสริมของพิษซึ่งจะทำให้นอนหลับพร้อมลบความทรงจำบางส่วนไปด้วยกำลังออกฤทธิ์ขึ้นมาแทน
“แย่ละ! ฉันต้องรีบไป! จะชักช้าอีกไม่ได้! ไปทางประตูหลังบ้านแล้วกัน”
หญิงสาวพึมพำอย่างกังวลใจ เธอไม่สนใจเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่ใส่ชุดเหมือนหญิงแก่คราวป้าซึ่งเป็นเสื้อสตรีลายดอกสีเขียวอ่อนแขนยาวกรอมข้อมือปิดคอมิดชิด สวมทับด้วยกระโปรงทรงเอยาวคลุมเข่า และยังมีรองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำเรียบร้อยในชุดเดิม
เธอประคองตัวเดินออกจากห้องนอนตนเองซึ่งเป็นห้องแฝดอยู่ติดกับห้องนอนของสามี โดยห้องนอนของเธอและเขาอยู่ชั้นล่างของคฤหาสน์หลังใหญ่ เนื่องด้วยเขามีความพิการและมีความประสงค์ต้องการพักอยู่ชั้นล่างเอง จึงกลายเป็นเรื่องดีสำหรับเธอในเวลานี้เพราะไม่ต้องเสี่ยงเดินลงบันไดให้ตกลงมาคอหักเสียชีวิต
เธอพยายามเดินลัดเลาะเพื่ออาศัยตัวบ้านประคองไปยังทิศทางประตูเล็กหลังบ้าน ซึ่งถูกใช้เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างคฤหาสน์กับบ้านพักของบรรดาคนรับใช้ เธอรู้จักเส้นทางลับออกสู่ซอยแคบเพื่อขึ้นสู่ถนนใหญ่อีกฝั่งได้ พลางฝืนร่างกายมุ่งหน้าเดินไปด้วยความยากลำบาก
หญิงสาวสามารถเดินผ่านซอยแคบสู่ถนนใหญ่ได้สำเร็จ ทว่าตาเธอพร่ามัวมากขึ้นเช่นกัน จนต้องสะบัดหน้าแรง ๆ หลายครั้งเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา กระนั้นเธอไม่สามารถฝืนต้านพิษซึ่งกำลังออกฤทธิ์ให้นอนหลับได้ เธอได้ยินเสียงสุดท้ายเป็นเสียงล้อรถเบรกดังลั่น ก่อนล้มลงหมดสติไปอย่างไม่รู้ตัวทันใด
……….
ไช่อิงฟื้นสติขึ้นมาในสถานที่ไม่คุ้นตา เธอกระพริบตาปรับสภาพการมองเห็นเพราะสายตาต้องแสงไฟในห้องเข้าพอดี พลางทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งเพราะจำได้ว่าตนเพิ่งจะเกิดใหม่ไม่นานนัก
พลันได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพักคนป่วยเข้ามา แล้วมีชายหนุ่มหน้าตาดีซึ่งความหล่อเหลาของเขาทะลุหน้ากากอนามัยออกมา เขามีท่าทางเป็นมิตรในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีน สวมคลุมทับด้วยเสื้อกาวน์คล้ายแพทย์ทั่วไป
“ฟื้นแล้วเหรอครับ ผมให้ยาถอนพิษไปแล้ว คุณโชคร้ายจริง ๆ ที่ได้รับพิษสลายกำลังเข้าไป”
ไป๋เจ๋อกล่าวทักทายไช่อิงอย่างเป็นมิตรด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ไม่เห็นแม้แต่ฟันเพราะถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากอนามัย ทว่าการแสดงออกอันใจเย็นทำให้ผู้คนเข้าใจได้ทันทีว่าตนเป็นผู้ประกอบอาชีพแพทย์
ชายหนุ่มเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลอันทรงพลังและมีอิทธิพลของจีน เขากำลังขับรถซีดานหรูยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูไปทำธุระให้ปู่ ทว่าต้องเบรกรถกะทันหันเพราะมีร่างของหญิงสาวโผล่พรวดออกมาจากซอยแคบอย่างไม่ทันระวัง
เขาจอดรถแล้วรีบลงไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเธอด้วยความกังวลใจ แต่กลับพบว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บใดเพราะตนเบรกรถยนต์ทันพอดี กระนั้นเขาตรวจพบสิ่งผิดปกติได้จากการตรวจจับชีพจรซึ่งมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเธอได้รับพิษสลายกำลังอันเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
ชายหนุ่มไม่สามารถปล่อยเธอไว้เพียงลำพังบนถนนได้เพราะกวาดตาสำรวจแล้วพบว่าเธอเดินทางมาเพียงลำพัง ทั้งไม่รู้จะสอบถามใคร จึงอุ้มนำตัวเธอไปนอนอยู่เบาะหลังรถยนต์ แล้วขับพามารักษาตัวยังโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของตระกูลไป๋
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ ว่าแต่ค่ารักษาเท่าไรหรือคะ อย่าคิดแพงมากนะคะ เดี๋ยวฉันไม่มีเงินจ่าย”
ไช่อิงยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้รับการถอนพิษออกไปแล้ว ทว่าวินาทีถัดมาเธอนึกถึงปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้ จึงรีบบอกเขาออกไปตามตรงอย่างไม่รู้สึกอับอายแต่อย่างใด
เธอไม่กล้ากล่าวโอ้อวดออกไปว่าตนเป็นถึงสะใภ้สามแห่งตระกูลหลงในทันทีเพราะยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งเธอยังไม่เคยมีโอกาสร่วมงานเลี้ยงของบรรดาชนชั้นสูงสักครั้ง เนื่องด้วยเธอมาจากตระกูลเล็ก ๆ อันต่ำต้อยซึ่งเป็นคนละชนชั้นกับครอบครัวสามี
ไป๋เจ๋อเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสนใจ เขาพบว่าหญิงสาวตรงหน้ากล่าวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกเขินอายต่อความเป็นจริง พลางรู้สึกประทับใจในตัวเธอมากขึ้นจากท่าทีแสดงความจริงใจ
เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าเธอเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวใสเนียนละเอียด ผมยาวตรงสีดำสนิท จมูกโด่งเชิดพองาม ทว่าการแต่งกายคล้ายหญิงสูงวัยของเธอทำให้กลายเป็นหญิงวัยกลางคนในทันใด ทั้งยังไม่แต่งหน้าทาปากดั่งสตรีคนอื่น ยิ่งทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาในสายตาคนทั่วไป
เขาส่งเสียงกระแอมไอเพื่อปรับอารมณ์ความรู้สึกของตน ก่อนตอบเธอตามจริงว่า
“อันที่จริงคุณอาจจะไม่ต้องจ่ายเต็มก็ได้ พอดีผมพามาโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนไป๋หู่ ที่นี่สามารถยื่นเรื่องขอความอนุเคราะห์ได้ คุณสามารถจ่ายเท่าที่มี แล้วที่เหลือจะขออนุเคราะห์ หรือจะติดไว้ก่อนแล้วค่อยมาจ่ายวันหลังก็ได้ครับ”
ไป๋เจ๋อรู้สึกได้ว่าตนอยากสนทนากับเธออย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย จึงตอบตามจริงเพราะไม่อยากทำให้เธอต้องรู้สึกหนักใจ
ไช่อิงตาโตเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นยินดี เธอไม่คาดคิดว่าการเกิดใหม่รอบที่แปดนี้ จะได้พบกับคนใจดีมีเมตตาซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้เธอได้ทันที จึงรีบกล่าวขอบคุณเขาอย่างมีมารยาทว่า
“ขอบคุณคุณหมอมากเค่ะ ว่าแต่คุณหมอชื่ออะไรเหรอคะ เผื่อมีโอกาสตอบแทน ฉันจะได้ทำคุกกี้มาขอบคุณ ฉันทำอาหารเก่งมากเลยนะคะ”
หญิงสาวไม่ลืมสอบถามชื่อของเขาไว้ เธอคิดจะหาโอกาสทำคุกกี้เพื่อนำมาตอบแทนความใจดีของเขา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทักษะอันโดดเด่นจากการเกิดใหม่ในชาติที่ห้า โดยเธอเป็นถึงแชมป์เชฟกระทะทองนานาชาติซึ่งสามารถปรุงอาหารได้หลากหลายทั่วโลก
ไป๋เจ๋อรู้สึกหัวใจเต้นแรงทันใดเมื่อได้เห็นรอยยิ้มกว้างจากเธอ ทั้งได้ยินถึงคำกล่าวโอ้อวดแสดงทักษะซึ่งเขาใฝ่ฝันหาหญิงสาวผู้มีคุณสมบัติอันเหมาะสมของการเป็นภรรยาในอนาคต เขายิ้มกว้างกว่าเดิมภายใต้หน้ากาก ทว่าด้วยอาการตาหยีอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ไช่อิงหัวเราะเบา ๆ ทันที
ชายหนุ่มตอบเธอด้วยความเขินอายเป็นครั้งแรก โดยหัวใจยังคงเต้นแรงอยู่เหมือนเดิมว่า
“งั้นก็ขอบคุณล่วงหน้าแล้วกัน ผมชื่อไป๋เจ๋อ เรียกว่าหมอไป๋ก็ได้ครับ ถ้ารู้สึกสดชื่นดีแล้วก็ไปติดต่อชำระเงินได้ที่ห้องการเงินด้านหน้านะครับ”
ชายหนุ่มรีบบอกชื่อด้วยความกระตือรือร้น เขารู้สึกว่าการเกิดอุบัติเหตุในตอนสายนั้น กล่าวได้ว่าเป็นโชคดีมากกว่าโชคร้ายสำหรับตน พลางภาวนาขอให้เธอกลับมาหาตนอีกครั้ง เขากำลังชั่งใจว่าควรจะขอเบอร์โทรจากเธอดีหรือไม่
“ได้เลยค่ะคุณหมอไป๋ ว่าแต่คุณหมอมีเบอร์โทร หรือไอดีวีแชตไหมคะ เผื่อวันไหนฉันทำคุกกี้แล้วจะเอามาให้ค่ะ”
ไช่อิงยิ้มกว้างมากกว่าเดิมด้วยความยินดี เธอรู้สึกได้ว่าเกิดใหม่คราวนี้ทำให้ตนมีเพื่อนชายน่ารักเพิ่มอีกหนึ่งคน ขณะที่คนอื่นในตระกูลหลงยังไม่มีใครดีกับเธอสักคน ทุกคนล้วนแต่หลอกใช้เพราะเห็นว่าเธอโง่หัวอ่อนกันทั้งนั้น
เธอขอเบอร์โทรฉันแล้ว! ฝันนายเป็นจริงเสียที!
ไป๋เจ๋อหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม เขารู้สึกยินดีที่เธอคิดจะสานสัมพันธ์กับตนต่อ ทั้งที่เขาไม่แน่ใจต่อการคิดจะคบหากับเธอ พอเห็นเธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแลกเบอร์โทรและไอดีวีแชตไว้สื่อสารระหว่างกันในทันใด
เมื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลช่องทางการติดต่อระหว่างกันเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มให้คำแนะนำแก่หญิงสาวอีกครั้งในการปฏิบัติตัวเพื่อไม่ให้รับพิษสลายกำลังเข้าไปอีก
หญิงสาวกล่าวรับคำแนะนำด้วยความใส่ใจทั้งที่เธอรับรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี ทว่าเธอไม่กล้าขัดเจตนาอันดีจากเขา จึงยินยอมให้เขากล่าวแนะนำยาวเหยียดอย่างใจเย็น
สืบข้อมูล
ตอนที่ 2 สืบข้อมูล
ครั้นไป๋เจ๋อออกจากห้องพักคนป่วยแล้ว ไช่อิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจสอบไอดีวีแชตของเขาอีกครั้งด้วยความสนใจ พลางเบิกตากว้างตกตะลึงแล้วพึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาว่า
“โอ้โฮ! หมอไป๋หล่อขนาดนี้เลยหรือเนี่ย มองยังไงก็เหมือนเซียวจ้านจริง ๆ อยากรู้ซะจริงว่าถ้าถอดหน้ากากแล้ว หน้าตาจะหล่อแบบนี้ไหม”
หญิงสาวเห็นรูปโพรไฟล์ของเขาแล้ว เธอตกตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตาพลางอยากเห็นใบหน้าแท้จริงของเขาที่ไม่มีหน้ากากอนามัยขวางกั้นไว้ กระนั้นเธอรู้ดีว่าในเวลานี้ตนจะต้องรีบไปทำธุระอื่นให้แล็วเสร็จ โดยเฉพาะการที่เธอหายตัวไปหลายชั่วโมงจากตระกูลหลงซึ่งอาจเกิดปัญหาร้ายแรงตามมาได้
เธอรีบสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม พลางจ้องมองใบหน้าตนเองแล้วลูบคลำอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะไม่คิดว่าร่างใหม่จะมีความสวยงามซ่อนรูปขนาดนี้
“โอ้โฮ! นี่ฉันได้ร่างใหม่สวยขนาดนี้หรือเนี่ย แล้วทำไมแต่งตัวยังกะยัยป้าข้างบ้านได้ล่ะ หน้าอกก็ใหญ่กว่าร่างเดิมฉันอีก สูงกำลังพอดีมาตรฐานหญิงเอเชีย เดี๋ยวเหอะ! รอให้ฉันมีเงินเยอะกว่านี้ก่อน แล้วจะแปลงโฉมให้สามีรักสามีหลงเลยเชียว คอยดูเถอะ!”
ไช่อิงจ้องมองตนเองต่อหน้ากระจกในห้องสุขา พลางเอียงซ้ายเอียงขวาเมียงมองใบหน้าและเรือนร่างใหม่อย่างมีความสุข ด้วยความสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ผมยาวตรงสีดำขลับ ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ขนตางอนยาวกำลังพอดี รูปร่างดีมีส่วนเว้าโค้งพอเหมาะ ทว่าความสวยงามถูกบดบังด้วยเสื้อผ้าล้าสมัยดังป้าข้างบ้านซึ่งทำให้เธอดูแก่เกินวัย
หญิงสาวหมายมั่นที่จะพลิกโฉมใหม่เพื่อมัดใจสามีให้ได้ เธอพบว่าตนเองตกหลุมรักเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตามองเห็น โดยไม่ได้สนใจเรื่องความพิการของเขาแม้แต่น้อย พลางตั้งใจที่จะหาทางช่วยเหลือเขาให้หายจากความพิการด้วยทักษะแพทย์แผนจีนที่ตนมีอยู่จากการถือกำเนิดในชาติที่สอง
เธอถอนหายใจเพราะต้องกลับคืนสู่ความเป็นจริงในเวลานี้ โดยละเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพของตนไปก่อน แล้วตรวจสอบเงินในกระเป๋าซึ่งมีเหลืออยู่เพียงสองร้อยหยวน ขณะเงินในบัญชีและเงินเดือนประจำซึ่งได้รับจากครอบครัวหลงถูกโอนไปให้ครอบครัวไช่จนหมดสิ้น
“เหลือเงินแค่สองร้อยหยวนเอง หวังว่าจะพอจ่ายค่ารักษานะ”
ไช่อิงจ้องมองธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนภายในมือสองฉบับอย่างกังวลใจ เธอไม่คิดว่าเกิดใหม่รอบนี้จะมีชีวิตที่ยากจนข้นแค้นยิ่งนัก กระนั้นเธอไม่คิดว่าตนจะอับจนหนทางนานเกินไปเพราะเธอยังมีไพ่ลับในมืออีกหลายอย่าง ซึ่งไม่เคยบอกใครและไม่คิดจะบอกใครด้วย
หญิงสาวตั้งใจที่จะอยู่ต่อไปในร่างของไช่อิงแล้วใช้ชีวิตให้ดี จนกว่าเธอจะจากไปหรือมีเหตุการณ์พลิกผันจนต้องไปเกิดใหม่อีกรอบ พลางยักไหล่อย่างปลงตกและไม่กังวลใจต่อสิ่งใดอีก แล้วเริ่มดำเนินตามแผนการไปทีละขั้นว่า
“ไปจ่ายค่ารักษาก่อนแล้วกัน เหลือเท่าไรค่อยว่ากันใหม่ คนเก่งอย่างฉันจะอับจนแค่เรื่องหาเงินเท่านี้เหรอ”
หญิงสาวพึมพำพลางยิ้มมุมปากอย่างมีความหมาย เธอเดินออกไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลในทันทีโดยวางแผนที่จะจ่ายเงินเพียงครึ่งเดียวเพื่อให้มีเงินเหลือไว้สำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน เนื่องด้วยยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงวันสิ้นเดือนเพื่อรับเงินเดือนใหม่
อนึ่งเงินเดือนจากทางตระกูลหลงสำหรับจ่ายให้ในฐานะสะใภ้อย่างเธอ ทว่าเธอต้องโอนเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่ายอีกด้วย ฉะนั้นแต่ละเดือนเธอจึงมีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายส่วนตัวเพียงสองถึงสามร้อยหยวนเท่านั้น
ครั้นเธอไปสอบถามค่ารักษาพยาบาล กลับพบว่ามีค่าใช้จ่ายรวมเบ็ดเสร็จอยู่เพียงหนึ่งร้อยหยวนเท่านั้น เธอตัดสินใจจ่ายทั้งหมดในทันที แล้ววางแผนจะทำคุกกี้มาขอบคุณไป๋เจ๋อเหมือนเดิมเพื่อตอบแทนน้ำใจที่เขาอุตส่าห์พาตนมาส่งโรงพยาบาล
ไช่อิงเดินออกมารอรถแท็กซี่อยู่หน้าโรงพยาบาล พลางกวาดตามองสำรวจรอบตัวเพื่อซึมซับบรรยากาศเกิดใหม่ในสถานที่แห่งใหม่ เธอพบว่าตอนนี้เป็นเวลายี่สิบนาฬิกา ฉะนั้นทางครอบครัวหลงที่มีการรับประทานอาหารเย็นร่วมกันทุกคนอย่างเป็นแบบแผนคงจบสิ้นไปแล้ว เธอกำลังมองหาร้านอาหารข้างทางเพื่อซื้ออาหารราคาถูกกินประทังความหิวโหยไปก่อน
พลันมีเสียงแตรรถดังลั่นอยู่ด้านหลังเธอ จึงหันขวับไปมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ แล้วตาโตเป็นประกายด้วยความยินดีเพราะเหลือบเห็นไป๋เจ๋อเดินลงมาจากรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นล่าสุดในชุดลำลองซึ่งไม่มีหน้ากากอนามัยหรือเสื้อกาวน์คลุมทับดังเดิม
“ให้ผมไปส่งดีไหมครับ”
ไป๋เจ๋อส่งยิ้มกว้างมาแต่ไกล เขามั่นใจว่าเธอจะจดจำได้ว่าตนเป็นใครเนื่องจากเหลือบเห็นรอยยิ้มกว้างจากเธอ ซึ่งทำให้ตนมีความสุขเป็นอย่างมาก จึงกล่าวอาสาไปส่งเธอทันที
เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบเธอพอดี โดยตั้งใจรีบสะสางงานเพื่อหวังมีโอกาสพบเธออีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะได้พบเธอจริง ๆ จึงรีบบีบแตรเรียกเธอไว้พร้อมลงไปกล่าวชวนอย่างมีความหวังอีกครั้งว่า
“สวัสดีครับคุณไช่อิง ผมเพิ่งเลิกงานพอดี ให้ผมไปส่งคุณดีไหมครับ”
ไช่อิงกำลังจะอ้าปากตอบรับคำชวนจากเขา พลันนึกขึ้นได้ว่าหากให้เขาไปส่งยังคฤหาสน์ตระกูลหลง เธอจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักเพราะหายตัวไปทั้งวันแล้วยังกลับมาบ้านโดยมีชายหนุ่มหล่อเหลามาส่งอีกด้วย
หากให้เขาไปส่งซอยแคบแล้ววันหลังเขาแวะไปถามหาเธอกับคนแถวนั้น ย่อมจะสร้างปัญหาตามมาได้แน่นอน เธอได้แต่ลอบถอนหายใจด้วยความเสียดายก่อนตอบปฏิเสธไปอย่างไม่เต็มใจนักว่า
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ พอดีฉันกำลังรอให้เพื่อนมารับอยู่ อีกเดี๋ยวก็คงมาแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
หญิงสาวรีบตอบพร้อมโค้งคำนับขอบคุณเขาด้วยความซาบซึ้งใจ เธอรู้ดีว่าตนอยู่ในสถานะใด จึงไม่ต้องการสร้างความลำบากใจให้กับเขา โดยหวังว่าเขาจะเข้าใจในเจตนาของตน
ไป๋เจ๋อนิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึงและรู้สึกผิดหวังในทันที เขาพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจแต่ต้องทำใจยอมรับความจริง แล้วกล่าวลาเธออย่างสุภาพว่า
“ไม่เป็นไรครับ ไว้ถ้ามีโอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่ อย่าลืมระมัดระวังตัวด้วยนะครับ อย่าไปเที่ยวสถานที่อันตรายอีก”
ชายหนุ่มไม่ลืมกำชับหญิงสาวอีกครั้งด้วยความห่วงใย เขารู้สึกได้ว่าภาพหญิงสาวผมยาวตรงสีดำท่าทางจริงใจ ถึงแม้จะแต่งกายไม่ทันสมัยจนเหมือนคุณป้าข้างบ้าน ทว่าด้วยการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติของเธอได้สร้างความประทับใจให้กับเขาไม่รู้ลืม
ไช่อิงเหลียวมองตามหลังรถยนต์ของไป๋เจ๋อห่างออกไปไกล เธอได้แต่ถอนหายใจที่ตนต้องโกหกเขา พลางทอดตามองเห็นรถเข็นขายอาหารอยู่ข้างทางซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนห่างออกไปราวสองร้อยเมตรพอดี จึงรีบเดินข้ามถนนตรงไปยังรถเข็นขายอาหารในทันใดเพราะท้องส่งเสียงประท้วงออกมาแล้ว
หญิงสาวรับประทานซุปผักคราวเดียวสองชามด้วยความหิวโหยเพราะยังไม่ได้รับประทานอะไรตั้งแต่เช้า เธอคาดเดาว่าตนน่าจะได้รับพิษในตอนรุ่งเช้าเพราะต้องตื่นขึ้นมาตรวจสอบอาหารกับแม่ครัวตามหน้าที่รับผิดชอบซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้นำตระกูลหลง
เธอจำได้ว่าตนเองดื่มน้ำในขวดซึ่งมีคนตั้งไว้แล้วบอกว่าเป็นยาบำรุง ทั้งก่อนหน้าเธอได้รับคำสั่งจากผู้นำตระกูลหลงหาทางตั้งครรภ์กับสามีโดยเร็ว ร่างเก่าจึงดื่มโดยไม่คิดอะไรเพราะนึกว่าผู้นำตระกูลเป็นคนสั่งมาให้ เธอมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ามีคนผสมยาพิษสลายกำลังในขวดเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย พลางคิดหาตัวคนร้ายให้ได้ในแผนการถัดไป
อย่างไรก็ตามเธอจดจำเรื่องราวหลังจากดื่มยาบำรุงแล้วรู้สึกอ่อนเพลียจนเรี่ยวแรงหดหายไม่ได้ทั้งหมด จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตนเข้าประตูผิดห้องโดยไปเข้าห้องสามีแทนเพราะต้องการนอนพักผ่อน ทว่าองครักษ์กลับเข้ามาในห้องพอดีพร้อมกับได้ยินเสียงคำสั่งของสามีให้นำตัวเธอกลับคืนไปอยู่ในห้องนอนตนเอง เธอพึมพำอย่างไม่แน่ใจต่อเหตุการณ์ทั้งหลายที่คลุมเครือว่า
“เอ! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูเหมือนฉันจะเข้าห้องผิด แต่ก็แปลกที่องครักษ์ของเขาไม่อยู่เฝ้าประตู ฉันเปิดเข้าไปข้างในได้เลย แล้วสามีก็เพิ่งเข็นรถออกมาจากห้องน้ำ แล้วหลังจากนั้นล่ะ องครักษ์โยนฉันกลับไปที่ห้องเหรอ มันเป็นแบบนั้นใช่ไหม”
ไช่อิงขมวดคิ้วด้วยความงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะรู้สึกสับสนและไม่แน่ใจในที เธอยังไม่เข้าใจด้วยว่าไปนอนอยู่บนเตียงในห้องตนเองได้อย่างไร แต่ความรู้สึกที่เธอค่อนข้างมั่นใจก็คือ คล้ายกับองครักษ์ผลักตัวเธอออกจากเจ้านายอย่างรุนแรง แล้วร่างเธอหมุนคว้างจนตำแหน่งทัดดอกไม้ฝั่งซ้ายไปกระทบเข้ากับเหลี่ยมโต๊ะข้างเตียงของเขา ซึ่งอาจทำให้ร่างเก่าเสียชีวิตอย่างไม่ตั้งใจ จนทำให้วิญญาณเธอเข้ามาอยู่แทนที่กลายเป็นชาติที่แปดสำหรับตนเอง
เธอหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น จนกว่าจะสืบค้นข้อมูลได้เพิ่มเติมและทำการวิเคราะห์หาสาเหตุใหม่ให้แน่ใจ เธอชำระเงินค่าอาหารแล้วโบกมือเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งยังปากซอยแคบ
เธอจำเป็นต้องเข้าบ้านทางประตูหลังเหมือนเดิมเพราะไม่มีกุญแจสำหรับเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน เธอได้รับลูกกุญแจสำรองเข้าบ้านซึ่งเป็นประตูชั้นล่างด้านหลังคฤหาสน์เท่านั้น ฉะนั้นจึงต้องเข้าบ้านผ่านเส้นทางลับของบรรดาคนรับใช้ทั้งหลายแทน
“เฮ้อ! ไม่รู้คุณสามีจะเป็นยังไงบ้าง ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันใหม่”
ไช่อิงพึมพำพลางจ้องมองหน้าต่างห้องนอนของสามีที่ยังคงเปิดไฟสว่างโร่แต่ปิดม่านมิดชิดจนมองไม่เห็นผู้คนหรือบรรยากาศภายในห้องนอนเขา
เธอเดินไปเปิดประตูห้องนอนตนเองซึ่งอยู่ใกล้กันโดยมีประตูเชื่อมระหว่างสองห้องอยู่ภายใน ทว่าถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาจากฝั่งห้องสามีเพราะเขาไม่ต้องการมีความสัมพันธ์กับเธอ เขาจำเป็นต้องแต่งงานกับเธอเพื่อจบปัญหาบางอย่างซึ่งเธอไม่เข้าใจ
……….
ตั้งแต่ไช่อิงเดินโซซัดโซเซออกไปจากคฤหาสน์ เธอไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีสายตาสามคู่จ้องมองตนอยู่ โดยมีสายตาคู่หนึ่งจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจถึงขีดสุด
“สืบข่าวได้ว่าไง”
หลงปิง ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและเป็นสามีของไช่อิงกล่าวถามสององครักษ์ประจำตัวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขายังคงมั่นใจว่าเธอเกี่ยวข้องในความพยายามเข้าหาตนเพื่อมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งซึ่งเป็นความต้องการจากอาและอาสะใภ้ของตน
“สอบถามกับแม่ครัวแล้ว เห็นว่ามีคนส่งพัสดุมาให้เธอตั้งแต่เมื่อวาน ผมส่งกล่องพัสดุไปตรวจสอบลายนิ้วมือและผู้จัดส่งอยู่ ถ้าได้รายละเอียดเพิ่มเติมจะรีบรายงานครับผม!”
จิวหลุน ชายหนุ่มผมเกรียนผิวขาวสะอาดตากล่าวตอบเจ้านายหนุ่มตามจริง เขาไม่กล้าเรียกขานไช่อิงตามฐานะอันสมควรเพราะถูกเจ้านายสั่งห้ามไว้ จึงต้องเรียกชื่อหรือสรรพนามอื่นแทน
“ให้ผมตามเธอไปไหมครับ”
เหลียงเกอ ชายหนุ่มผมเกรียนผิวเข้มกว่าจิวหลุนเล็กน้อย เขากล่าวถามเจ้านายด้วยความเห็นใจหญิงสาวเพราะรู้ดีว่าเธอได้รับพิษสลายกำลังอย่างไม่ตั้งใจ โดยเขาเชื่อในสัญชาตญาณตนเองว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้คนในตระกูลหลงคนอื่นแน่นอน
อย่างไรก็ตามเขาพยายามสื่อสารกับเจ้านายหลายครั้ง ทว่าประสบความล้มเหลวทุกครั้งจึงยอมแพ้อย่างไม่เต็มใจเพราะไม่ต้องการมีปัญหากับเจ้านายอีก
“ไม่ต้อง! กะโหลกหนาไม่เบา! ไม่ต้องสนใจเธออีก!”
หลงปิงกล่าวเน้นเสียงอย่างไม่ใส่ใจต่ออาการผิดปกติของผู้ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา เขานึกเห็นใจเธอก่อนที่จะถูกองครักษ์ผลักออกห่างจากตนเพราะเธอพุ่งเข้าใส่ด้วยท่าทางผิดปกติ ทีแรกเขารู้สึกตกใจอยู่บ้างเพราะเธอหยุดหายใจกะทันหัน ทว่าพอจิวหลุนอุ้มตัวเธอไปนอนบนเตียงไม่นานนัก เธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้วยังทำท่าทางประหลาดใส่ตนอีก ซึ่งเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ครับผม!”
สององครักษ์เหลือบมองกันและกัน ทั้งสองคนได้แต่ขานรับคำสั่งจากเจ้านายด้วยความเข้าใจและนึกเห็นใจไช่อิงในที
แผนการหลงปิง
ตอนที่ 3 แผนการหลงปิง
อย่างไรก็ตามเหลียงเกอพลันนึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาซึ่งอาจนำความยุ่งยากมาสู่เจ้านายได้ จึงรีบแสดงความคิดเห็นเผื่อเจ้านายจะเปลี่ยนใจว่า
“คุณชายครับ แล้วถ้าเธอหมดสติกลางทาง หรือมีคนช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล เธออาจแจ้งที่อยู่เป็นที่นี่ก็ได้ ถ้าโรงพยาบาลติดต่อมาหรือมีคนมาส่งแล้วรู้ว่าเธอเป็นภรรยาเจ้านาย ผมว่าอาจมีปัญหาใหญ่ทีเดียวนะครับ”
เหลียงเกอเหลือบเห็นเจ้านายเคาะนิ้วบนโต๊ะทำงานอย่างครุ่นคิดต่อคำกล่าวแสดงความคิดเห็น เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันทีเพราะคาดหวังว่าเจ้านายจะเปลี่ยนใจ
องครักษ์เหลียงเกอรู้ดีว่าเจ้านายไม่ได้จัดงานเลี้ยงฉลองสมรสหรือประกาศให้บุคคลภายนอกรับรู้ มีเพียงบุคคลทั้งสองฝ่ายระหว่างตระกูลไช่และตระกูลหลงบางคนรับรู้การแต่งงานของเจ้านาย ฉะนั้นการแสดงตนในฐานะภรรยาเจ้านายหรือสะใภ้สามแห่งตระกูลหลง ย่อมเกิดความวุ่นวายต่อผู้คนในสังคมชนชั้นสูงแห่งเมืองหลวงแน่นอน
หลงปิงพยักหน้าเห็นด้วยต่อความคิดอันคาดไม่ถึง ทว่าเขายังคงเชื่อมั่นในความคิดตนอยู่ว่าเธอจะไม่กล้าบอกสถานะแท้จริงออกไปให้คนอื่นรับรู้ จึงกล่าวย้ำกับสององครักษ์ด้วยความมั่นใจว่า
“ฉันคิดว่าเธอจะไม่กล้าบอกใคร คอยดูตอนกลับมาก็พอ”
คุณชายสามแห่งตระกูลหลงกล่าวอย่างมั่นใจ แล้วหันกลับไปทำงานต่อโดยไม่คิดสนใจรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับภรรยาอีก เขาไม่รู้สึกกังวลใจหากเธอเปิดเผยสถานะแท้จริงออกไปเพราะจะยิ่งง่ายต่อการยกเลิกข้อตกลงบางอย่างกับอา
อนึ่งเธอแต่งงานกับเขาในทางลับเพื่อทำหน้าที่ตั้งครรภ์เท่านั้นเนื่องจากไม่มีหญิงสาวจากตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวงสนใจ ด้วยสภาพความพิการที่เป็นอยู่ ทั้งเขาเองก็ไม่ต้องการให้เธออยู่ในสถานะภรรยาตลอดไป นั่นคือเงื่อนไขพบกันครึ่งทางระหว่างตนกับอา ฉะนั้นตราบใดที่เธอยังอยู่ในสถานะภรรยา อาจะงดเว้นการเสนอผู้หญิงคนอื่นเข้ามาให้ตนต้องวุ่นวายใจอีก
ชายหนุ่มหวังแค่ให้เธอเข้ามาอยู่ร่วมในฐานะภรรยาอย่างหลบซ่อนเพื่อให้ทรัพย์สินอีกครึ่งหนึ่งถูกโอนย้ายมายังตนอย่างสมบูรณ์ เขาคิดว่าอาจเป็นวิธีเดียวในการดึงดูดให้คนร้ายเปิดเผยตัวตนออกมาด้วยมูลค่าทรัพย์สินมหาศาล
หลงปิงชะงักมือขณะกำลังพิมพ์บนแป้นคอมพิวเตอร์เพราะเรื่องราวในอดีตของครอบครัวผุดขึ้นมาจากความทรงจำ เมื่อตนกำลังคิดถึงเรื่องของไช่อิงอย่างไม่รู้ตัว
ครอบครัวชายหนุ่มประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ด้วยสาเหตุเบรกรถยนต์ขัดข้องกะทันหันแล้วชนปะทะเข้ากับรถบรรทุกวิ่งสวนทางมาพอดี จนทำให้พ่อแม่และคนขับรถเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที ขณะที่ตนถูกชิ้นส่วนรถทับขาสองข้างจนพิการเดินไม่ได้ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลงปิงเพิ่งจะรับรู้ข้อความจากพินัยกรรมพ่อซึ่งก็คือพี่ชายแท้จริงของอา หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตแล้วประกอบพิธีศพเสร็จสิ้น โดยมีทนายความประจำตระกูลเป็นคนทำหน้าที่เปิดพินัยกรรมแจ้งเนื้อหาสำคัญ หลังจากนั้นอาและอาสะใภ้ได้รับสิทธิ์เป็นผู้ปกครองมาตั้งแต่ตนอายุได้เพียงแปดขวบ
อย่างไรก็ดีเมื่อตนอายุครบสิบแปดปีหรือเจ็ดปีที่ผ่านมา ทนายความประจำตระกูลได้เดินทางมาเปิดและอ่านพินัยกรรมให้ทุกคนในตระกูลหลงรับรู้อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มีเนื้อหาของพินัยกรรมในส่วนข้อบังคับจากปู่ด้วย
พินัยกรรมจากปู่ระบุชัดเจนถึงการจัดสรรทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหลงเพื่อแบ่งให้กับลูกชายสองคน คนแรกคือหลงลู่จิว ผู้เป็นพ่อของหลงปิงและเป็นลูกชายคนโตของตระกูลหลง ส่วนอีกคนคือหลงลู่เอิน ผู้เป็นลูกชายคนรองของตระกูลหลง
ชายชราหลงลู่ชิงเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมใหม่ได้ไม่ถึงหนึ่งปีซึ่งตอนนั้นเขามีอายุได้เจ็ดขวบพอดี ชายชราจัดสรรทรัพย์สินจำนวนมากราวเก้าในสิบส่วนให้กับลูกชายคนโตพร้อมมอบสิทธิ์ดูแลมรดกทั้งหลายต่อจากปู่แต่เพียงผู้เดียว ขณะที่ลูกชายคนรองและครอบครัวได้รับทรัพย์สินเพียงน้อยนิดซึ่งมีเพียงหนึ่งในสิบของทรัพย์สินทั้งหมด
ฉะนั้นด้วยมูลค่าทรัพย์สินเมื่อเจ็ดปีก่อนของตระกูลหลงซึ่งมีอยู่ราวสี่แสนล้านหยวน ครอบครัวของอาจะได้รับเพียงสี่หมื่นล้านหยวนเท่านั้น ขณะที่หลงปิงจะได้รับเมื่ออายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ถึงสามแสนหกหมื่นล้านหยวน
เนื้อหาพินัยกรรมการจัดสรรทรัพย์สินในสัดส่วนหนึ่งต่อเก้านี้ยังไม่เป็นที่เปิดเผยต่อลูกหลานในตระกูลหลง เพราะชายชราหลงลู่ชิงกำชับไว้กับทนายอย่างเคร่งครัดด้วยเงื่อนไขสองกรณี นั่นคือ กรณีแรกจะกล่าวถึงการจัดสรรทรัพย์สินหนึ่งส่วนและเก้าส่วนต่อเมื่อหลงปิงอายุครบสิบแปดปีเท่านั้น ถึงแม้ปู่จะเสียชีวิตแล้วก็ตาม
กรณีที่สองจะกล่าวถึงการจัดสรรทรัพย์สินตามเงื่อนไขหนึ่งต่อเก้าส่วนได้เมื่อหลงปิงอายุครบสิบแปดปีเหมือนเดิม ถึงแม้ลูกชายคนโตและสะใภ้จะอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่มีเงื่อนไขพิเศษพ่วงมาด้วยเกี่ยวกับการมีทายาทของเขานั่นเอง
อนึ่งก่อนหลงปิงมีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ ลูกชายคนรองสามารถทำหน้าที่ผู้ปกครองหลงปิงได้ตามสมควร ทว่าทรัพย์สินทั้งหลายจะอยู่ภายใต้การควบคุมจากกลุ่มผู้จัดการทรัพย์สินที่ชายชราหลงลู่ชิงแต่งตั้งไว้ก่อนหน้า
ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาหลงลู่เอินและฟางอิ่งผู้เป็นอาและอาสะใภ้ของหลงปิงจึงยังคงทำดีด้วยทุกอย่างเป็นปกติ ซึ่งทุกคนในตระกูลหลงจำเป็นต้องรอคอยให้เด็กชายในวันนั้นเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์เสียก่อน
หลงปิงถอนหายใจยาวพลางนวดหว่างคิ้วเมื่อนึกถึงเรื่องราวอันวุ่นวายในวันเปิดพินัยกรรมเมื่อตนอายุครบสิบแปดปีเต็ม เขาไม่คาดคิดว่าพฤติกรรมของญาติแต่ละคนจะทำให้ตนรู้สึกเศร้าเสียใจและผิดหวังได้มากขนาดนั้น
ท้ายที่สุดชายหนุ่มตัดสินใจแสดงความแข็งกร้าวออกมาด้วยการเข้ามาทำหน้าที่จัดการทรัพย์สินกึ่งหนึ่งในส่วนของตนเอง ขณะทรัพย์สินอีกกึ่งหนึ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มผู้จัดการทรัพย์สินรับผิดชอบต่อไป
ชายหนุ่มพลันนึกถึงเรื่องสำคัญเกี่ยวกับกลุ่มผู้จัดการทรัพย์สินที่เคยมอบหมายให้องครักษ์สืบข้อมูล จึงสอบถามองครักษ์ทั้งสองคนด้วยความอยากรู้ว่า
“เรื่องผู้จัดการทรัพย์สินไปถึงไหนแล้ว สืบรู้หรือยังว่ามีใครบ้าง”
จิวหลุนและเหลียงเกอมองสบตากันด้วยความกังวลใจ แล้วจิวหลุนเป็นคนตอบเจ้านายด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจว่า
“ยังเลยครับ ดูเหมือนนายผู้เฒ่าจะวางแผนไว้รัดกุมมาก ขนาดทนายตงยังไม่รู้เรื่อง ผมรู้แต่ว่าทางฝั่งนั้นก็กำลังตามสืบเรื่องนี้เหมือนกัน คงอยากหาทางซื้อตัวผู้จัดการมังครับ”
องครักษ์จิวหลุนกล่าวอย่างมั่นใจเพราะตนและเพื่อนองครักษ์อยู่ร่วมในเหตุการณ์วุ่นวายของวันเปิดพินัยกรรมเจ้านายด้วย จึงรับรู้ได้ถึงท่าทีและทัศนคติของผู้คนตระกูลหลง โดยตระหนักได้ว่าเจ้านายอยู่ท่ามกลางผู้คิดร้ายที่ทำตัวสงบนิ่งเพื่อรอคอยโอกาสดังคลื่นใต้น้ำรอเวลาทำลายล้าง ฉะนั้นทุกคนจึงไม่กล้าประมาทแม้เพียงเสี้ยววินาทีได้
“น่าจะ…..” หลงปิงพยักหน้าเข้าใจเพราะเขาก็รู้ได้ถึงความพยายามค้นหาผู้จัดการทรัพย์สินจากญาติเช่นกัน
เหลียงเกอกล่าวแสดงความคิดเห็นขึ้นมาด้วยความกังวลใจ เนื่องจากยังไม่รับคำสั่งจากเจ้านายเป็นพิเศษต่อปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของอาเจ้านายว่า
“แล้วทางคุณหนูหลงกับทนายตงเจี๋ยล่ะครับ จะให้ผมทำยังไงกับพวกเขาดี”
สององครักษ์พบพฤติกรรมบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าหลงฟางจิงผู้เป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลง เธอกำลังคบหาอยู่กับทนายตงเจี๋ยผู้เป็นลูกชายของทนายตงเว่ยถิง โดยทั้งคู่เพิ่งคบกันได้เพียงสองปีซึ่งเป็นช่วงเวลาทำสงครามเย็นของผู้คนในตระกูลหลงพอดี
เหลียงเกอมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า หลงฟางจิงจะต้องพยายามสืบหาข้อมูลผู้จัดการทรัพย์สินของเจ้านายผ่านทางทนายตงเจี๋ยผู้เป็นลูกชายของทนายตงเว่ยถิง เนื่องจากทนายผู้พ่อเป็นคนตงฉินและไม่ปริปากเกี่ยวกับข้อมูลของผู้จัดการทรัพย์สินแม้แต่น้อย
หลงปิงยิ้มมุมปากทันทีเมื่อได้ยินคำถามจากลูกน้อง เขาตอบอย่างผ่อนคลายเพราะมั่นใจในสัญชาตญาณตนว่า
“ไม่ต้องรีบร้อน ปล่อยให้พวกเขาคบกันไปนาน ๆ เดี๋ยวหางก็จะโผล่ออกมาเอง ฉันไม่คิดว่าตงเจี๋ยจะรู้เรื่องผู้จัดการนั่นหรอก”
คุณชายสามแห่งตระกูลหลงกล่าวตอบอย่างมั่นใจ เหตุเพราะการเชื่อในสัญชาตญาณของตนได้ทำให้รอดชีวิตมาหลายครั้งหลายครา จึงคิดว่าควรให้ความสำคัญและต้องรู้จักอดทนรออย่างใจเย็น หากจะแก้แค้นศัตรูผู้สังหารปู่หรือพ่อแม่ให้ได้ ไม่ควรใจร้อนจนเสียการใหญ่
สององครักษ์เหลียวมองสบตากันอีกครั้ง ทั้งคู่รู้ดีว่าภายในหน้ากากเรียบเฉยของชายหนุ่มพิการในสายตาคนอื่นนั้น แท้จริงเป็นคนฉลาดเฉลียวเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้
ทั้งคู่เคยพบเห็นความฉลาดของเจ้านายหนุ่มหลายครั้งซึ่งได้สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งการทำข้อสอบออนไลน์ในระดับปริญญาตรีผ่านด้วยคะแนนเต็มเพียงคนเดียวของโลกตั้งแต่อายุได้เพียงสิบสองปี อายุสิบหกปีสามารถฟื้นฟูร่างกายด้วยความอดทนอดกลั้นฝึกฝนในทางลับจนกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม ทว่าเจ้านายหนุ่มยังคงเล่นละครเป็นคนพิการเหมือนเดิม
ทว่าความฉลาดของเจ้านายซึ่งได้สร้างความรู้สึกทึ่งและอัศจรรย์ใจมากที่สุด นั่นคือ การสอบออนไลน์ในระดับชั้นปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของต่างประเทศเมื่ออายุได้สิบแปดปีกว่า ขณะผลการสอบตามปกติที่มีครูพิเศษมาสอนจากการจัดการของผู้เป็นอานั้น เจ้านายหนุ่มทำคะแนนอยู่ในเกณฑ์รั้งท้ายของห้องเรียนพิเศษเพื่อปกปิดความเก่งกาจเอาไว้
“เข้าใจแล้วครับ!”
สุดท้ายองครักษ์ทั้งสองคนจำต้องยอมแพ้ต่อแผนการของเจ้านายเพราะเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานจะสามารถจับกุมตัวการใหญ่ได้ โดยไม่คิดกังวลหรือสงสัยต่อแผนการเจ้านายอีก
หลงปิงเริ่มทำการเคาะแป้นพิมพ์ต่ออย่างใจเย็น พลางครุ่นคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับพินัยกรรม เขาพบว่าพ่อได้จัดทำพินัยกรรมต่อจากปู่เมื่อตนกำลังจะมีอายุครบแปดขวบเพียงวันเดียว ในนั้นระบุชัดเจนถึงการได้รับสิทธิ์จัดการมรดกต่อจากพ่อกึ่งหนึ่งเมื่อมีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินอีกกึ่งหนึ่งยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มผู้จัดการทรัพย์สินซึ่งไม่รู้ว่าแต่งตั้งไว้กี่คน
หึ ๆ คิดจะให้ฉันรีบมีทายาทงั้นหรือ?! รอฝันค้างกันไปเถอะ!
หลงปิงยิ้มมุมปากอย่างดูแคลนต่อความโลภของครอบครัวอา เขาสังหรณ์ใจว่าปู่จะต้องค้นพบความผิดปกติบางอย่างจากครอบครัวอาแน่นอน ถึงได้มีการจัดทำพินัยกรรมอย่างไม่เป็นธรรมออกมาแบบนี้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าบทบาทการทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของอาและอาสะใภ้ได้สิ้นสุดลงเมื่อตนมีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ ทว่ายังมีเนื้อหาสำคัญที่สุดของพินัยกรรมจากพ่อ นั่นคือ หากเขามีครอบครัวและทายาทสืบสกุล ไม่ว่าทายาทจะเป็นหญิงหรือชายก็ดี ก่อนอายุครบยี่สิบแปดปี ทรัพย์สินอีกกึ่งหนึ่งที่เหลือจะถูกโอนเข้ารวมในส่วนของตนทั้งหมด
ในทางกลับกันหากพ้นช่วงอายุยี่สิบแปดปีไปแล้ว ตนยังไม่มีทายาทเป็นของตนเอง ทรัพย์สินกึ่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มจัดการทรัพย์สินจะถูกมอบให้แก่สาธารณะซึ่งมีมูลค่ามากกว่าทรัพย์สินของครอบครัวอาทั้งหมด
คุณชายสามรู้ดีว่าต่อให้ตนมีทายาทจริง ทรัพย์สินทั้งหลายที่ควรมีก็จะถูกยักย้ายถ่ายเทอย่างไม่ถูกต้องเข้าสู่กระเป๋าของผู้คนในครอบครัวอาซึ่งไม่ใช่ลูกตนแต่อย่างใด นั่นจึงเป็นที่มาของความพยายามให้ตนต้องแต่งงานและมีทายาทโดยเร็ว
“ทรัพย์สินรวมของฉันตอนนี้มันคงเยอะเกินไปกระมัง ใครต่อใครถึงได้สนใจนัก หากพวกมันหายไปทั้งหมดล่ะ…..จะเป็นยังไง”
หลงปิงยิ้มมุมปากเมื่อเคาะปุ่มเอนเตอร์เป็นอันจบสิ้นการเขียนโค้ดคำสั่งสุดท้าย เขาตั้งใจสร้างโปรแกรมหนึ่งขึ้นมาซึ่งสามารถสั่งการผ่านโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารใด ๆ เพื่อโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ไปให้แก่องค์กรการกุศลทั่วโลกได้ในพริบตา
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจทรัพย์สินมากไปกว่าการค้นหาความจริงเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อแม่ให้กระจ่าง แล้วจัดการให้เหมาะสมก่อน เมื่อถึงเวลาสมควรเขาถึงจะสนใจเรื่องครอบครัวหรือการมีทายาทสืบทอด ฉะนั้นจึงไม่ชอบใจต่อการจัดการของผู้เป็นอาเท่าใดนัก ทั้งที่เขาไม่พบความผิดปกติใดจากอาแต่เป็นลางสังหรณ์ซึ่งไม่สามารถบอกกับใครได้
ชายหนุ่มอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่าหากวันหนึ่งทุกคนล่วงรู้ว่าตนไม่มีทรัพย์สินหลงเหลืออยู่อีกต่อไป จะยังมีคนคิดทำดีหรือมีความจริงใจให้กับตนอีกหรือไม่ รวมทั้งการค้นหาผู้จะมาเป็นคู่ครองแท้จริงในอนาคตด้วย