ชงครม.ซื้อคืน‘รถไฟฟ้า’ กฤษฎีกาเทเงินออมหวย
“พิพัฒน์” เตรียมชง ครม. 9 ธ.ค. เคาะหัวเชื้อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า หวังเชื่อมระบบตั๋วร่วม รับสภาพจบไม่ทันรัฐบาลนี้ คอหวยเศร้า! ปลัดคลังบอกเงินออมคนไม่ถูกรางวัลแห้ว กฤษฎีกาตีความว่าเกินอำนาจ เพราะสำนักงานสลากฯ มีแค่หน้าที่ออกสลาก ไม่ใช่ส่งเสริมการออม!
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหารือกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงแหล่งเงิน ในแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า ว่าจะใช้วิธีการอย่างไรที่ไม่กระทบกับหนี้สาธารณะ โดยเบื้องต้นจะเสนอขออนุมัติหลักการในการดำเนินการเรื่องนี้จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารที่ 9 ธ.ค.2568 ไว้ก่อน เพื่อให้เป็นสารตั้งต้นนับหนึ่งในการดำเนินการเรื่องซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าได้ เพราะคาดว่าข้อสรุปจบไม่ทันรัฐบาลชุดนี้
นายพิพัฒน์ยอมรับว่า ยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาว่าต้องได้ข้อสรุปเมื่อใด เพราะต้องศึกษา ซึ่งคงใช้เวลาพอสมควร และต้องเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานให้จบ มิฉะนั้นตั๋วร่วมก็คงไม่เกิด เบื้องต้นจะให้ รฟม.เป็นผู้บริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) แล้ว ซึ่งเมื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้ามา จะให้อยู่ภายใต้การดูแลของ รฟม. เพื่อให้เกิดเป็นเอกภาพ ให้ระบบตั๋วร่วมสามารถเกิดขึ้นได้
นายพิพัฒน์ยังกล่าวถึงมาตรการค่าโดยสาร 40 บาทตลอดวันว่า ถือเป็นสารตั้งต้นของระบบตั๋วร่วมในอนาคต โดยเปิดทางให้ผู้โดยสารที่ใช้บัตร EMV เช่น บัตรเดบิตหรือเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด จ่ายค่าโดยสารในอัตรา 42 บาท และระบบจะคืนเงิน 2 บาทภายใน 3 วันทำการ ทำให้ผู้โดยสารจ่ายจริงเพียง 40 บาทสำหรับการเดินทางทั้งวันบนสองเส้นทางนำร่องนี้ หากไม่มีบัตร EMV ผู้โดยสารสามารถซื้อบัตรโดยสารจากสถานีสายสีม่วงซึ่งใช้งานแบบเดียวกับบัตรเดบิตได้
“นโยบายมุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เดินทางเป็นประจำ โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้เป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการระบบค่าโดยสารร่วมสำหรับรถไฟฟ้าทุกเส้นทางในกรุงเทพฯ และพื้นที่ต่อเนื่อง” นายพิพัฒน์กล่าว
ขณะที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.การคลัง กล่าวว่า เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจในวันจันทร์ที่ 8 ธ.ค. พิจารณาเกี่ยวกับนโยบายเพื่อส่งเสริมการออมของประชาชน และสร้างความมั่นคงให้กับคนไทย โดยเฉพาะมาตรการในการสนับสนุนการออมรายบุคคล ซึ่งเป็นเครื่องมือการออมที่นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ และยังเป็นการสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ใหญ่ขึ้นด้วย ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างการเร่งพิจารณา
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงความคืบหน้านโยบายส่งเสริมการออมผ่านการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบ 6 หลัก ในรูปแบบดิจิทัล (L6) ที่มีแนวคิดคืนเงินให้ผู้ไม่ถูกรางวัลเพื่อนำไปเป็นเงินออมว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ หลังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าเป็นการดำเนินงานที่เกินอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
“กฤษฎีกาตีความแล้วว่าทำไม่ได้ เป็นเรื่องที่เกินอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสลากฯ ซึ่งถูกจัดตั้งมาเพื่อดำเนินกิจการสลาก ไม่ใช่ส่งเสริมการออมโดยตรง” นายลวรณกล่าว
ปลัดกระทรวงการคลังยืนยันว่า กระทรวงการคลังยังมีช่องทางหรือโครงการในการส่งเสริมการออมในรูปแบบอื่นๆ ที่เดินหน้าได้ตามปกติ เช่น สลากกองทุนการออมแห่งชาติ (สลาก กอช.) ซึ่งเตรียมเปิดจำหน่ายในเดือน ม.ค.2569 รวมถึงมาตรการส่งเสริมการออมใหม่อีก 4-5 แนวทาง ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อนำเสนอ ครม. คาดว่าจะเป็นอีกทางเลือกที่มีประโยชน์ต่อประชาชน.