นักวิเคราะห์ชี้ หมดยุค “น้ำมันปาล์ม” ราคาถูก! หลังอินโดนีเซียผลักดันผลิตไบโอดีเซล-ปรับลดการส่งออก
"น้ำมันปาล์ม" ไม่ถูกอีกต่อไป! ผลกระทบจากการผลักดันไบโอดีเซลและการลดลงของปริมาณการผลิตทำให้ราคาน้ำมันปาล์มพุ่งสูง ขณะที่ความต้องการในตลาดโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วันที่ 10 มีนาคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าราคาน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นน้ำมันปรุงอาหาร อาจเพิ่มสูงขึ้นได้เป็นเวลาหลายปี เนื่องจากการผลิตที่หยุดชะงักและการผลักดันการผลิตไบโอดีเซลในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์ม ซึ่งโดยปกติมีราคาถูกสูงขึ้น ทำลายข้อได้เปรียบที่เคยจำกัดราคาของน้ำมันคู่แข่งด้วยเช่นกัน
ราบ มิสทรี นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมชื่อดังและผู้อำนวยการบริษัท โกดเรจ อินเตอร์เนชั่นแนล (Godrej International) ของอินเดีย กล่าวว่า หลังจากหลายสิบปีของราคาปาล์มน้ำมันที่ถูก เนื่องจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและการต่อสู้เพื่อส่วนแบ่งทางการตลาด ผลผลิตจึงชะลอตัวลงและอินโดนีเซียใช้มากขึ้นเพื่อผลิตไบโอดีเซล พร้อมระบุว่า “ยุคของส่วนลด 400 ดอลลาร์ต่อตันได้จบลงแล้ว …น้ำมันปาล์มจะไม่ถูกอีกต่อไป ตราบใดที่อินโดนีเซียยังคงให้ความสำคัญกับไบโอดีเซลเป็นอันดับแรก”
โดยอินโดนีเซียเพิ่มอัตราส่วนผสมบังคับของ น้ำมันปาล์ม ในไบโอดีเซลเป็น 40% ในปีนี้ และกำลังศึกษาที่จะเพิ่มเป็น 50% ในปี 2569 และเพิ่มอัตราส่วนผสมสำหรับเชื้อเพลิงเครื่องบินเป็น 3% ในปีหน้า เนื่องจากต้องการลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ด้าน เอ็ดดี้ มาร์โตโน ประธานสมาคมน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (GAPKI) ประมาณการว่า การผลักดันให้ใช้ไบโอดีเซลจะทำให้การส่งออกของอินโดนีเซียลดลงเหลือเพียง 20 ล้านเมตริกตันในปี 2573 ซึ่งลดลง 1 ใน 3 จาก 29.5 ล้านเมตริกตันในปี 2567
โดยกฎข้อบังคับด้านไบโอดีเซลของจาการ์ตา ประกอบกับปริมาณการผลิตที่ลดลงจากเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ราคาของน้ำมันปาล์มพุ่งสูงกว่าราคาน้ำมันถั่วเหลืองของคู่แข่ง จนทำให้ผู้ซื้อลดการซื้อลง
ในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันพืชรายใหญ่ที่สุด น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) มีราคาสูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองดิบในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยบางครั้งสูงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อตัน และเมื่อปลายปี 2022 น้ำมันปาล์มมีการซื้อขายในราคาส่วนลดมากกว่า 400 ดอลลาร์ และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชาวอินเดียจ่ายเงิน 1,185 ดอลลาร์ต่อตันสำหรับน้ำมันปาล์มดิบ เพิ่มขึ้นจากราคาต่ำกว่า 500 ดอลลาร์เมื่อปี 2562
ทั้งนี้ราคาพืชน้ำมันที่สูงขึ้นอาจทำให้รัฐบาลต่างๆ พยายามควบคุมเงินเฟ้อได้ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่พึ่งน้ำมันปาล์มหรือในประเทศที่พึ่งน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันเรพซีด ซึ่งเป็นคู่แข่งก็ตาม
ในแง่ของการผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นผู้นำ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าทุกทศวรรษ ตั้งแต่ปี 2523-2563 ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกปาล์ม ในช่วงเวลานั้น อัตราการเติบโตของผลผลิตเฉลี่ยรายปีมากกว่า 7% ถือว่าสอดคล้องกับความต้องการโดยประมาณ
อย่างไรก็ตามการผลิตน้ำมันปาล์มของมาเลเซียหยุดนิ่งมานานกว่า 10 ปี เนื่องจากขาดพื้นที่สำหรับการปลูกปาล์มใหม่และการปลูกปาล์มทดแทนล่าช้า ขณะเดียวกันความกังวลเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่าทำให้การเติบโตในอินโดนีเซียชะลอตัวลง แม้แต่ในอินโดนีเซีย การปลูกทดแทนโดยเกษตรกรรายย่อย ซึ่งสร้างอุปทานได้ 40% ยังคงซบเซา ส่งผลให้อัตราการเติบโตของผลผลิตทั่วโลกชะลอลงเหลือร้อยละ 1 ต่อปีในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
ในทศวรรษปัจจุบัน การเติบโตของการผลิตมีแนวโน้มที่จะอยู่ที่เฉลี่ย 1.3 ล้านตันต่อปี Thomas Mielke นักวิเคราะห์ และผู้อำนวยการบริหารของ Oil World ซึ่งเป็นบริษัทพยากรณ์ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองฮัมบูร์ก กล่าวว่า ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ย 2.9 ล้านตันในทศวรรษหน้าจนถึงปี 2563 โดยการผลิตอาจสูญเสียแรงกระตุ้นมากยิ่งขึ้นจากผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน สวนปลูกที่เก่าแก่ และการแพร่กระจายของเชื้อรา Ganoderma ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิต
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมกล่าวว่า การบริโภคน้ำมันปาล์มจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสารเคมีและเชื้อเพลิงชีวภาพ Harish Harlani รองประธานบริษัท P&G Chemicals กล่าวว่า "เราพบว่าความต้องการน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นอย่างมาก และด้วยพื้นที่ที่มีจำกัด เชื่อว่าอุปสงค์และอุปทานจะไม่สมดุล"
อ้างอิง : reuters.com