โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ธปท.ตีกรอบคุมแบงก์ ร่วมรับผิดชอบลูกค้าเสียหายภัยการเงิน

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 30 เม.ย. เวลา 01.26 น. • เผยแพร่ 30 เม.ย. เวลา 01.26 น.
อรมนต์ จันทพันธ์-ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส

ภัยทางการเงิน เป็นปัญหาระดับชาติที่บั่นทอนเศรษฐกิจไทยมาตลอด แต่ละปีมีคนไทยถูกมิจฉาชีพหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ สูญเสียเงินจำนวนมาก ล่าสุดจากความร่วมมือของหลายหน่วยงาน ได้มีการยกระดับการดูแลปัญหานี้ในมิติที่เข้มข้นขึ้น ผ่านการบังคับใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) ที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา

สาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าว มีการกำหนดให้สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงิน (e-Money) ผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Telco) ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ (Social Platform) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ยกระดับการดูแลลูกค้า และมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความเสียหาย หากละเลยการปฏิบัติตามมาตรฐานที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดจนเป็นเหตุให้ลูกค้าเกิดความเสียหาย หรือ Shared Responsibility ดังนั้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล จึงต้องวางเกณฑ์การปฏิบัติให้ชัดเจน

พ.ค.ออกเกณฑ์แนวปฏิบัติแบงก์

ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.จะมีการกำหนดมาตรฐานของภาคธนาคารในการร่วมรับผิดชอบตาม พ.ร.ก.อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยคาดว่าจะประกาศได้ภายในต้นเดือน พ.ค.นี้ ขณะที่ พ.ร.ก.ดังกล่าวได้กำหนดความชัดเจนของหน้าที่และความรับผิดชอบ ภายในระบบนิเวศที่จะต้องรับผิดชอบ

ซึ่งประกาศ Shared Responsibility ดังกล่าว หากแบงก์ทำไม่ครบ หรือย่อหย่อน จะต้อง “Shared” หรือร่วมรับผิดชอบ แต่การ Shared คงไม่ได้เป็นการรับผิดชอบทั้งหมด โดยทุกคนต้องทำตามหน้าที่และมาตรการที่กำหนดไว้ ซึ่งประชาชนก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

“พ.ร.ก.นี้เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันจัดการภัยทางการเงิน หากละเลยหน้าที่และทำให้เกิดความเสียหายจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบ โดยในส่วนของผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Telco) และ Social Media มีบทบาทหลักในการป้องกันมิจฉาชีพเข้าถึงประชาชน ส่วนสถาบันการเงิน อี-มันนี่ หรือธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ก็มีหน้าที่ปกป้องและติดตามเงินของประชาชน ในขณะที่ประชาชนเองก็ต้องมีสติ อย่าหลงเชื่อ และไม่ทำให้อุปกรณ์มือถืออยู่ในความเสี่ยง ต้องยกระดับการดูแลตัวเอง และอย่าหวังพึ่งพาให้ใครคนใดคนหนึ่งรับผิดชอบ”

จัดการภัยการเงินเชิงรุกต่อเนื่อง

ดร.รุ่งกล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้มีมาตรการการป้องกันภัยทุจริตทางการเงินออกมาให้สถาบันการเงินปฏิบัติต่อเนื่อง ทั้งการป้องกันลูกค้าโดนสวมรอยทำธุรกรรมแทน หรือ “แอปดูดเงิน” ที่มีการให้สแกนหน้าก่อนโอน ขณะที่มาตรการป้องกัน “การถูกหลอกลวงและโอนเงินไปให้มิจฉาชีพด้วยตนเอง” ก็มีมาตรการจัดการบัญชีม้าระดับบุคคล และมาตรการจัดการบัญชีม้านิติบุคคลออกมา

ซึ่งผลจากการยกระดับมาตรการพบว่า ในปี 2567 มีจำนวนเคสที่ถูกหลอกลวงจำนวน 6.9 แสนราย มูลค่าความเสียหาย 42,884 ล้านบาท โดย ณ เดือน ก.พ. 2568 อยู่ที่ 38,464 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,389 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าความเสียหายจากการที่ประชาชนถูกหลอกลวงมากที่สุด คือ หลอกให้ลงทุน 33.1% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด

และหากดูความเสียหายจาก “แอปดูดเงิน” พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เหลือ 0 เคส ต่อเนื่องมาหลายเดือน และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ที่มีจำนวน 5,443 เคส อย่างไรก็ดี มูลค่าความเสียหายจากกรณีหลอกให้โอนเอง ยังคงมีความเสียหายเกิดขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 ล้านบาทต่อไตรมาส ซึ่งส่วนใหญ่กรณีหลอกให้โอนเองจะเป็นการหลอกให้ลงทุน และหลอกให้รัก

ตีกรอบ 3 หลักการ “รับผิดชอบร่วม”

ดร.รุ่งกล่าวว่า สำหรับการกำหนดเกี่ยวกับการรับผิดชอบร่วม สิ่งที่ ธปท.คาดหวังจะอยู่บน 3 หลักการ คือ 1.ป้องกันไม่ให้ประชาชนเป็นเหยื่อ โดยมิจฉาชีพสวมรอยใช้งานได้ยากขึ้น ซึ่งเกณฑ์ที่ออกจะต้องชัดเจนไม่ให้เกิดข้อถกเถียง 2.จำกัดความเสียหายและจัดการบัญชี เมื่อเกิดเหตุการณ์ลูกค้าจะต้องรู้ตัวเร็ว และมิจฉาชีพนำบัญชีม้าไปใช้ได้ยากขึ้น และ 3.ดูแลประชาชน ต้องมีวิธีบริหารจัดการที่ลูกค้าสามารถแจ้งเหตุได้รวดเร็ว

“การกำหนดมาตรการมีการศึกษาและดูตามต่างประเทศ แต่ก็ต้องให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยด้วย เช่น Shared Responsibility ในกรณีที่เกิดจากแอปดูดเงินและโอนเอง แบงก์จะต้องร่วมแชร์ด้วย แต่สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย จะแชร์เฉพาะแอปดูดเงิน หรือกรณีอังกฤษจะแชร์ในทุกกรณี ทั้งแอปดูดเงิน โอนเอง หรืออื่น ๆ ในส่วนของไทยจะแชร์ตามสัดส่วน แต่ศาลจะเป็นผู้ตัดสิน ส่วนระยะเวลาที่ผู้เสียหายในการได้รับเงิน จะต้องรอเวลาชัดเจนอีกครั้ง”

เกณฑ์แบงก์ต้องดำเนินตามประกาศ

นางสาวอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ธปท. กล่าวว่า มาตรการที่จะออกมาภายในเดือน พ.ค.นี้ จะครอบคลุม 3 หลักการ ได้แก่ ป้องกันไม่ให้ประชาชนเป็นเหยื่อ การป้องกันการสวมรอยเปิดบัญชี และการสวมรอยใช้งาน Mobile Banking เช่น 1.มีกระบวนการรู้จักลูกค้า (KYC : Know Your Customer) ที่เข้มข้น 2.ไม่แนบลิงก์ที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายผ่าน SMS และอีเมล์

3.ลูกค้าสามารถใช้บริการ Mobile Banking ของแต่ละสถาบันการเงินได้เพียง 1 ชื่อบัญชีผู้ใช้งาน และใช้ได้กับ 1 อุปกรณ์เคลื่อนที่เท่านั้น 4.มีกระบวนการยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงผ่าน Mobile Banking สำหรับการทำธุรกรรมโอนเงินที่มีมูลค่าตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป หรือการทำธุรกรรมโอนเงินมูลค่ารวมกันครบทุก 200,000 บาทใน 1 วัน หรือการปรับเพิ่มวงเงินการทำธุรกรรมโอนเงินต่อวัน

5.ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแอปพลิเคชั่นของสถาบันการเงินทุกครั้งที่ผู้ใช้บริการเข้าใช้งาน และไม่อนุญาตให้ใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ถูกเปลี่ยนแปลง 6.ไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชั่นของสถาบันการเงินทำงานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในขณะที่มีแอปพลิเคชั่นอื่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น แอปพลิเคชั่นที่ควบคุมอุปกรณ์เคลื่อนที่จากระยะไกล แอปพลิเคชั่นที่ปิดบังหรือขโมยข้อมูลบนหน้าจอ

ขณะที่การจำกัดความเสียหายและจัดการบัญชีม้า ประกอบด้วย 1.แจ้งเตือนการทำธุรกรรมทุกครั้ง เมื่อมีการโอนเงินออกจากบัญชี ผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เช่น Mobile Banking, LINE, SMS, อีเมล์ โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย 2.ระงับการทำธุรกรรมและนำส่งข้อมูลตามแนวทางที่ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) กำหนด ภายใต้อำนาจหน้าที่ที่ พ.ร.ก.กำหนดไว้

3.เมื่อได้รับรายชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้าดำ จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือรายชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้าเทาเข้ม หรือเทาอ่อน จากระบบ Central Fraud Registry (CFR) ให้ดำเนินการสอดคล้องกับระดับความเสี่ยง เช่น ระงับเงินเข้าและออกทุกบัญชีของบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้า รวมทั้งปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่กับบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้า

ด้านการดูแลประชาชน จะต้องมีกระบวนการรับแจ้งเหตุภัยทุจริตดิจิทัลที่รวดเร็ว สถาบันการเงินต้องจัดให้มีช่องทางติดต่อเร่งด่วน (Hotline) ทางโทรศัพท์ หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้เสียหายสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินทั้งในและนอกเวลาทำการ อย่างไรก็ดี ในส่วนของกระบวนการเยียวยาความเสียหาย มองว่าทุกหน่วยงานมีการดูแลเข้มงวดและเข้มข้นขึ้น เชื่อว่าเกณฑ์กระบวนการจะต้องออกมาเร็วมากที่สุด

“หากเทียบเกณฑ์ต่างประเทศ กรณีการสวมรอยเป็นเจ้าของบัญชี ในสิงคโปร์ จะมีการกำหนดการหน่วงธุรกรรม (Cooling off Period) หากลูกค้าเปลี่ยนซิมมือถือซึ่งเกิดจากกิจกรรมที่มีความเสี่ยง จะกำหนดให้ห้ามโอนเงินออกภายใน 12-24 ชั่วโมง ซึ่งของไทยจะมีเกณฑ์ Face Scan ส่วนบัญชีม้า สิงคโปร์ หากพบว่าบัญชีเหยื่อมีเงินโอนออกเกิน 50% จะมีการหน่วงธุรกรรม ส่วนเรามีเกณฑ์มาตรการ Mobile Banking Security และจัดการบัญชีม้า”

แบงก์จ่อตั้งอนุกรรมการตัดสินร่วมแชร์

แหล่งข่าวจากสถาบันการเงินกล่าวว่า เชื่อว่าทุกธนาคารได้ปฏิบัติตามมาตรการภายใต้ พ.ร.ก.ป้องกันภัยไซเบอร์ ฉบับที่ 2 ครบเกือบทั้งหมดแล้ว ทั้งในส่วนของเกณฑ์ Mobile Banking Security และจัดการบัญชีม้า ซึ่งอาจจะมีรายละเอียดบางส่วนที่จะต้องรอให้สมาคมธนาคารไทย (TBA) กำหนดเป็นมาตรฐาน เช่น การระงับการใช้บริการด้วยตนเอง (Kill Switch) จะทำวิธีไหน เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานเกิดความสับสน

ส่วนสัดส่วนความรับผิดชอบ หากแต่ละหน่วยงานไม่สามารถทำตามเกณฑ์หรือประกาศของแต่ละหน่วยงานกำกับได้ ซึ่ง พ.ร.ก.ฉบับที่ 2 จะเพิ่มความรับผิดชอบ Mobile Operator ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ว่าแอปดูดเงินจะหายไปค่อนข้างมาก และธนาคารเลิกส่ง SMS แนบลิงก์แล้ว แต่จะเห็นว่ายังคงมีข้อความ SMS หลอกลวงยังมีการส่งมาเรื่อย ๆ ซึ่งภายใต้ พ.ร.ก.ฉบับนี้จะให้ Mobile Operator หรือ Telco มีส่วนรับผิดชอบด้วย เช่น เหยื่อโดนดูดเงิน 300 บาท หากตรวจสอบมาจากลิงก์ที่ส่งผ่านเข้ามาได้ ธนาคารทำตามเกณฑ์ และผู้ใช้กด กรณีนี้ Telco และเหยื่อโดนคนละ 150 บาท เป็นต้น

“สุดท้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้นำหลักฐานไปตรวจสอบว่าสาเหตุที่เกิดขึ้น เกิดจากอะไร เหยื่อทำอะไร หรือโทรศัพท์โดนมัลแวร์ หรืออื่น ๆ ซึ่งต้องรอกฎหมายรอง เพื่อดูว่าเจ้าหน้าที่จะส่งต่อข้อมูลให้ใคร หากส่งให้ศาล เชื่อว่าจะต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการตรวจสอบด้วย”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ธปท.ตีกรอบคุมแบงก์ ร่วมรับผิดชอบลูกค้าเสียหายภัยการเงิน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...