โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

'คิงคองก้อง' จากอดีตเด็กแว้น สู่ความภูมิใจมอเตอร์สปอร์ตไทย / เขย่าสนาม : เด็กเก็บบอล

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 24 มี.ค. 2565 เวลา 10.43 น. • เผยแพร่ 26 มี.ค. 2565 เวลา 12.00 น.

เขย่าสนาม

เด็กเก็บบอล

toongerrard08@gmail.com

 

‘คิงคองก้อง’ จากอดีตเด็กแว้น

สู่ความภูมิใจมอเตอร์สปอร์ตไทย

 

นับเป็นอีกครั้งที่แฟนกีฬาชาวไทยได้เห็นคนไทยก้าวไปสู่การประสบความสำเร็จในเวทีระดับโลก

กับผลงานของ “คิงคองก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดหมายเลข 35 ของทีมอิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีมเอเชีย ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแข่งไทยคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์จักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี” ในรุ่นโมโตทู ในรายการ อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ ที่ประเทศอินโดนีเซีย

แม้ว่าจะต้องออกสตาร์ตจากกริดที่ 4 แต่คิงคองก้องกลับออกสตาร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม พรวดขึ้นมานำตั้งแต่โค้งแรก และนำแบบม้วนเดียวจบ ทิ้งห่างคู่แข่งถึง 3 วินาทีเศษ คว้าแชมป์มาครองอย่างยิ่งใหญ่

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นการฝืนอาการบาดเจ็บของตัวเองแล้วคว้าแชมป์อีกด้วย เพราะเมื่อสนามแรกที่ประเทศกาตาร์นั้น สมเกียรติแข่งขันไม่จบเพราะว่าเกิดอุบัติเหตุ

ซึ่งทำให้นิ้วก้อยข้างขวานั้นหักจนต้องเข้ารับการผ่าตัดและมีแผลเย็บด้วย

 

ประวัติของนักบิดหนุ่มคนนี้ เป็นคนจังหวัดชลบุรีที่ชื่นชอบความเร็วของกีฬามอเตอร์สปอร์ต ก่อนจะได้เข้าไปเรียนที่ เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง สคูล จนสามารถไต่เต้าขึ้นไปจนถึงการเป็นนักแข่งในสังกัดของ เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ซึ่งมีรุ่นพี่อย่าง “ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ อดีตนักบิดไทยคนแรกที่เข้าแข่งขันโมโตทู เป็นพี่เลี้ยงคอยเทรนให้

จากนั้นสมเกียรติได้เข้าแข่งขัน เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ปี 2013 จนได้ก้าวขึ้นไปแข่งขันระดับโมโตทรี จูเนียร์ เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ ในปี 2017 จากนั้นปีต่อมา ซึ่งประเทศไทยได้โอกาสเป็นเจ้าภาพการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี” เป็นครั้งแรก ที่จังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าก้องก็ได้รับไวลด์การ์ดเข้าแข่งขันในรุ่นโมโตทรี จนถูกคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในทีม อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีมเอเชีย ลงแข่งขันโมโตทู ในปี 2019 ในที่สุด

โดยผลงานของสมเกียรติในระดับโมโตทูปีแรก เก็บได้ 23 คะแนนและรั้งอันดับ 21 ก่อนที่ปีต่อมาจะเจอพิษโควิด-19 ทำให้ลงแข่งแค่ 15 สนาม มี 10 คะแนนเท่านั้น จนปีล่าสุดลงแข่ง 18 สนามทำได้ถึง 37 คะแนน จบอันดับ 18 รวมถึงยังมีผลงานที่ดีที่สุดคือการจบอันดับ 5 ที่ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ พร้อมทำสถิติเวลาต่อรอบเร็วที่สุดได้อีกด้วย

และในที่สุดปีนี้เขาก็ท็อปฟอร์มจนคว้าแชมป์สนามที่อินโดนีเซียได้สำเร็จ

 

ในประเทศไทยนั้นพยายามอย่างยิ่งในการพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นค่ายรถเองทั้ง ฮอนด้า หรือ ซูซูกิ แถมยังมีแรงสนับสนุนจากภาครัฐอย่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย และเอกชนอย่าง สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ผลักดันกันจนได้เป็นเจ้าภาพรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโมโตจีพี เลยกลายเป็นเหมือนแรงผลักดันที่ทำให้เกิดนักแข่งไทยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด บอกว่า เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่เห็นนักแข่งไทยขึ้นไปรับรางวัลบนโพเดียมเช่นนี้ ทางฮอนด้าเองพยายามที่จะสนับสนุนการสร้างนักแข่งขันอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าในอนาคตจะได้เห็นนักแข่งไทยขึ้นไปรับรางวัลบนโพเดียมได้อีก

ส่วนทนุเกียรติ จันทร์ชุม รองผู้ว่าการฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์ กกท. ก็บอกว่า การคว้าแชมป์ครั้งนี้จะช่วยจุดประกายมอเตอร์สปอร์ตของไทย ได้ลิ้มรสความสุขหลังจากพยายามกันมานาน ซึ่งถ้าถึงวันที่สมเกียรติก้าวไปสู่การเป็นนักแข่งโมโตจีพีจะเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจอย่างแท้จริงและนำซึ่งความสุขให้คนไทย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงกีฬาความเร็วอย่างมอเตอร์สปอร์ต ยังคงมีบางมุมในสังคมไทย ที่มองว่าเป็นเด็กแว้นบ้าง สร้างความรำคาญบ้าง

เพราะสมเกียรติเองก็ยอมรับว่าตัวเองนั้นเคยเป็นเด็กแว้นคนหนึ่งมาก่อน ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าการทำแบบนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย

“ครั้งหนึ่งผมออกไปแว้นแล้วเจอกับคนล้มต่อหน้าต่อตา ก็รู้สึกว่าอันตราย รวมถึงมีแต่คนว่า ที่บ้านเองก็คุยว่าถ้าชื่นชอบการแข่งรถ ก็ให้ไปแข่งขันในสนาม ซึ่งครอบครัวก็ซัพพอร์ตให้เป็นนักแข่ง จึงได้เปลี่ยนจากการเป็นเด็กแว้น มาเป็นนักแข่งแบบเต็มตัวแบบนี้”

คิงคองก้อง ยังฝากว่า ใครที่ชื่นชอบการแข่งขัน อยากให้ลงมาแข่งกันในสนาม เพราะมีการป้องกัน มีชุดป้องกัน มีความปลอดภัยสูงกว่า และยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติแบบที่เขาทำได้ด้วย

ดังนั้น การประสบความสำเร็จของสมเกียรติครั้งนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่าถ้าจับเด็กแว้นเหล่านี้มาอยู่ในจุดที่ควร แข่งขันกันในสนามแข่งขันจริงก็สามารถสร้างความสำเร็จและชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้

 

แน่นอนว่านี่คือก้าวแรกของสมเกียรติในการไปสู่นักแข่งระดับโลก ในฤดูกาลนี้เจ้าตัวยังเหลือการแข่งขันอีก 19 สนามที่รออยู่ ซึ่งเจ้าตัวตั้งเป้าจะเก็บคะแนนให้ได้ในทุกสนามและติดโพเดียมให้ได้มากที่สุด พร้อมลุ้นในสนามที่อาร์เจนตินา, ออสเตรีย, บาร์เซโลนา รวมถึงสนามที่บุรีรัมย์

“มั่นใจที่สุดคงยกให้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กับออสเตรีย ที่สนามเร้ดบูลล์ วิงส์ ส่วนสนามที่อาร์เจนตินาเคยได้อันดับ 10 มา ก็มั่นใจมากขึ้น แต่ไม่กดดันใดๆ แม้จะเพิ่งคว้าแชมป์มา เพราะเรื่องความกดดันมันมีตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ จนตอนนี้ไม่มีแล้ว” คิงคองก้องกล่าวอย่างมั่นใจ

ในส่วนของการผลักดันสมเกียรติไปสู่การเป็นนักแข่งไทยคนแรกในโมโตจีพี ก็คงต้องขึ้นอยู่กับผลงานอีก 19 สนามที่เหลือของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ ถ้าหากทำผลงานได้ดี ขึ้นไปติดท็อป 10 ของอันดับรวมได้ อาจจะได้รับการพิจารณาจากทีม ดันขึ้นไปแข่งขันในปีต่อไปได้

เมื่อถามสมเกียรติว่ามองตัวเองต้องใช้เวลาอีกกี่ปีจึงจะขึ้นไปถึงระดับโมโตจีพีได้นั้น เจ้าตัวก็บอกอย่างมั่นใจเลยว่า “ถ้าเป็นไปได้จริงก็อยากจะขึ้นไปปีหน้าเลย เพราะว่าพร้อมแล้ว”

อย่าว่าแต่สมเกียรติพร้อมเลย ตอนนี้แฟนมอเตอร์สปอร์ตอย่างเราๆ ก็พร้อมแล้วเช่นกัน •

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...