TISCO ESU หั่นGDPเหลือโต1.6% จับตาผ่านงบรัฐปี69ตัวแปรสำคัญ
#TISCO ESU #ทันหุ้น - TISCO ESU คาดครึ่งหลังปี 2568 เศรษฐกิจไทยเสี่ยงถดถอยทางเทคนิค ระบุปัจจัยต่างประเทศไม่แน่นอน-ท่องเที่ยวไม่ฟื้น พร้อมหั่นเป้า GDP ปีนี้เหลือ 1.6% แถมแนะจับตาประเด็นการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด ชี้หากยุบสภาก่อนผ่านงบประมาณรัฐบาลปี 2569 แววเศรษฐกิจโตต่ำกว่า 1% ฟาก บล.ทิสโก้ ส่องดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัว มองแนวรับที่ 1,030 จุด ส่วนแนวต้าน 1,080 จุด
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU เปิดเผยว่า ทาง TISCO ESU คาดเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค(Technical Recession) เนื่องจากแรงกดดันทั้งภายนอกและภายในประเทศ โดยมีปัจจัยลบสำคัญ ได้แก่ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าโลก ภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
หั่นเป้า GDP
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยดังกล่าว ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจนำไปสู่ภาวะสุญญากาศ ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ทำให้ TISCO ESU จึงได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 1.6% (ภายใต้สมมติฐานสามารถเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลประจำปี 2569 ได้ตามปกติ ส่วนปี 2569 ประเมินว่า GDP ไทยเหลือโตเพียง 1.4%
ด้านนโยบายการเงิน คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับ 1.25% และอาจลดต่ออีก 2 ครั้งภายในครึ่งแรกของปีหน้า เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย
ขณะที่นโยบายการคลังนั้นอาจเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่พอจะหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้บ้าง หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นโครงการที่มีตัวทวีคูณทางการคลังสูง (Fiscal Multiplier) และเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้มากกว่า 80% ซึ่งจะช่วยชดเชยแรงกดดันจากภาคเศรษฐกิจอื่นที่กำลังมีปัญหาได้บ้าง และอาจหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตได้ดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศที่สูงขึ้นมาก อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะสุญญากาศ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายการคลังให้ไม่สามารถทำงานได้ ระยะนี้จึงต้องจับตาพัฒนาการทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจทำให้แรงส่งทางการคลังพลิกผันกลายมาเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านลบก็ยังคงอยู่ โดยนอกเหนือจากการเจรจาภาษีไม่สำเร็จแล้ว ภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปียังมีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีโอกาสจะเหลือเพียง 33.5 ล้านคน ลดลง5.6% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาในระดับก่อนโควิด
โดยช่วง 5 เดือนแรกของปีเดินทางเข้ามาเพียง 2 ใน 3 จากปีก่อน หรือมีสัดส่วนเพียง 40% จากช่วงก่อนโควิด สวนทางกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นที่ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว สะท้อนว่ามีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย เพื่อไม่ให้สูญเสียตลาดสำคัญนี้ในระยะยาว
อีกทั้งมองว่าภาครัฐ ควรเข้ามาเป็นกลไกในการช่วยเหลือ SMEs อย่างเร่งด่วน และจัดสรรงบประมาณบางส่วนจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ไปใช้ในโครงการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการรับประกันสินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและพยุงไม่ให้เกิดคลื่นของการปิดกิจการและการเลิกจ้างที่อาจลุกลามบานปลายไปมากกว่าที่ประเมินอยู่
จับตาตัวแปรสำคัญ
นายเมธัสกล่าวเสริมว่า ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องจับตาประเด็นทางการเมืองเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาล หลังมีปัจจัยต่างๆ กดดันเข้ามาเพิ่มเติม โดยเฉพาะการผ่านร่างงบประมาณภาครัฐประจำปี 2569 ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะหากมีการยุบสภาก่อนการผ่านงบประมาณปี 2569 ได้รับการอนุมัติ อาจจะส่งผลให้ GDP ไทย อาจเติบโตในระดับที่ต่ำกว่า 1%