โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ทำไมบิตคอยน์ถึงโตจาก 0 สู่สินทรัพย์อันดับต้นของโลก? Asset ที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ก่อนนักลงทุนสถาบัน

Thairath Money

อัพเดต 14 มิ.ย. เวลา 07.15 น. • เผยแพร่ 14 มิ.ย. เวลา 07.15 น.
ภาพไฮไลต์

แม้จะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2009 โดย Satoshi Nakamoto จนตอนนี้ผ่านมากว่า 15 ปี “บิตคอยน์” ยังเรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ใหม่ในตลาด เพราะหากเรามองย้อนไป บิตคอยน์ก้าวขึ้นมาและได้รับความนิยมอย่างมากก็เมื่อปี 2020 หรือ 5 ปีที่แล้ว และในระยะเวลาแค่นี้บิตคอยน์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์อันดับที่ 7 ของโลกในแง่ของมูลค่าตามตลาด อีกทั้งยังเคยขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 เสียด้วยซ้ำ

เพราะอะไร? ทำไม “บิตคอยน์” ถึงก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างน่าสนใจ? หาคำตอบไปพร้อมกัน สรุปจากงาน Thairath Money Roadshow 2025 ที่ครั้งนี้บุกเชียงใหม่ ให้ความรู้เรื่องการเงิน และบนเวที กันตณัฐ วุฒิธร หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub Labs ขึ้นบรรยายในประเด็น “ทำไมบิตคอยน์จึงเติบโตจาก 0 สู่สินทรัพย์อันดับ 5 ของโลก” พร้อมอธิบายเพิ่มความเข้าใจในสินทรัพย์ดิจิทัล เทรนด์ของโลกลงทุนในปัจจุบัน

บิตคอยน์ ใหญ่ขนาดไหน?

หลายคนอาจยังไม่เคยตระหนักว่า “บิตคอยน์วันนี้ใหญ่ขนาดไหน?” และถ้าหากลองเทียบกับตลาดหุ้นไทยทั้งหมด มูลค่ารวมของบริษัทใหญ่ที่สุด 50 อันดับแรกในประเทศไทย (SET50) อย่างเช่น ปตท., DELTA, ADVANC, AOT, GULF และบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ถ้าเอามารวมกันจะมีมูลค่าประมาณ 322,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11 ล้านล้านบาท

ในขณะที่บิตคอยน์เพียงตัวเดียว ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด (Market Cap) อยู่ที่ประมาณ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่ามูลค่าของ SET50 รวมกันประมาณ 6-7 เท่าตัว และถ้านับรวมทั้งตลาดหุ้นไทยทั้งหมดทั้งประเทศ บิตคอยน์ก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าเกือบ 20 เท่าด้วยซ้ำ

ในมุมของนักลงทุนไทย จำนวนบัญชีหุ้นในประเทศไทยเปิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว โดยมีบัญชีอยู่ประมาณ 6 ล้านบัญชี แต่ถ้าหักบัญชีซ้ำจะมีนักลงทุนหุ้นประมาณ 3 ล้านคน ขณะที่บัญชีคริปโตไทยเพิ่งเริ่มต้นมาไม่ถึง 10 ปี กลับมีจำนวนบัญชีสะสมแล้วกว่า 2.5 ล้านบัญชี ซึ่งเทียบได้ว่า อัตราการ Adoption ของคนไทยต่อสินทรัพย์ใหม่อย่างบิตคอยน์เติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น

และไม่เพียงแค่ในมุมของประเทศไทยเท่านั้น หากขยายไปดูในเวทีโลก บิตคอยน์ตอนนี้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 7 ของโลก (ข้อมูลล่าสุดจากงานในวันที่ 14 มิถุนายน 2025 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยอยู่อันดับที่ 5) ซึ่งแซงหน้าแร่เงิน และยักษ์ใหญ่ในตลาดทุนหลายราย จนเรียกได้ว่าเป็นสัญญาณชัดว่าคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นของนักลงทุนรายย่อยอีกต่อไป แต่กำลังขยับเข้าไปอยู่ในวงโคจรเดียวกับสินทรัพย์หลักของระบบเศรษฐกิจโลกด้วย

ราคาบิตคอยน์ ขึ้นอยู่กับอะไร?

ทั้งนี้ ราคาของบิตคอยน์ไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยแบบเดียวกับสินทรัพย์การเงินดั้งเดิม เช่น เศรษฐกิจประเทศ ดอกเบี้ยนโยบาย หรือผลประกอบการบริษัท เพราะบิตคอยน์ไม่มีผู้ออก ไม่มีบริษัท ไม่มีรัฐบาล ไม่มีงบดุลให้วิเคราะห์ มูลค่าของมันเกิดขึ้นจากเพียงแค่สองสิ่งง่าย ๆ นั่นคือ ความต้องการซื้อ (Demand) และ ความต้องการขาย (Supply) เท่านั้น

พูดง่าย ๆ คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนอยากซื้อบิตคอยน์เพิ่มขึ้น ขณะที่คนอยากขายมีจำกัด ราคาก็จะปรับตัวขึ้น ในทางกลับกันถ้าคนแห่ขายแต่ไม่มีคนซื้อ ราคาก็ร่วงลงทันที คล้ายกับตัวอย่างน้ำดื่มบนเกาะร้าง ที่น้ำขวดเดียวกัน อาจซื้อได้ในราคา 10 บาทที่ร้านสะดวกซื้อ แต่ถ้าอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่มีแหล่งน้ำ อาจต้องจ่ายถึงหลักแสนบาทต่อขวด ความต้องการและข้อจำกัดในการเข้าถึง คือสิ่งที่สร้างมูลค่า

ความพิเศษของบิตคอยน์ คือ มันเป็นระบบการเงินที่ไม่มีใครควบคุมได้ (Decentralized) ไม่มีรัฐบาลใดสามารถสั่งปิดระบบ ไม่มีธนาคารกลางไหนสั่งอัดฉีดหรือถอนเงินจากระบบนี้ได้ และต่อให้มีประเทศไหนต้องการ “แบน” บิตคอยน์ ระบบทั้งหมดก็ยังคงทำงานต่อไปโดยไม่มีวันหยุดพัก สิ่งนี้เองที่ทำให้บิตคอยน์ได้รับความเชื่อมั่นในฐานะสินทรัพย์ที่ทนทานต่อการแทรกแซงจากผู้ถือในหลายประเทศทั่วโลก

สถานการณ์ในวันที่โลกปั่นป่วน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุกวันนี้ทั้งสถานการณ์ตลาด เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้เกิดความผันผวนในโลกของการลงทุนอย่างมาก ถ้ามองจากผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2024 จนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามีสินทรัพย์บางกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่นเหนือสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน

โดยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดอันดับ 1 คือ ทองคำ (Gold) ทองคำทำผลตอบแทนได้สูงที่สุดในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองและความเสี่ยงสงคราม โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้นซ้ำหลายครั้งในปี 2024

อันดับ 2 คือ บิตคอยน์ ซึ่งทำผลตอบแทนได้ถึง 147.5% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 ซึ่งถือว่าทำผลงานได้ดีกว่าสินทรัพย์การเงินอื่น ๆ ทั้งหมดในโลกของสินทรัพย์ทางเลือก และยังชนะตลาดหุ้นทั้งไทยและสหรัฐฯ อย่างขาดลอยในปีนี้

ในขณะที่อันดับที่ 3 ถึง 5 เป็นกลุ่มตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย (SET) ที่ให้ผลตอบแทนติดลบเล็กน้อยในปีนี้ ประมาณ -7% ด้าน NASDAQ (สหรัฐฯ) บวกประมาณ 22% และ S&P500 (สหรัฐฯ) ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน

และหากเปรียบเทียบผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Sharpe Ratio) โดยเอาความผันผวนมาคำนวณร่วมด้วย พบว่า ทองคำ ยังครองอันดับ 1 เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (ต่ำสุดแต่คุ้มค่าที่สุด) ด้านบิตคอยน์ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ด้วย Sharpe Ratio ที่แข็งแกร่ง แม้จะมีความผันผวนสูงก็ตาม

สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าในปี 2024 บิตคอยน์เริ่มขยับสถานะจาก “สินทรัพย์ความเสี่ยงสูง” ไปสู่ “สินทรัพย์ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า” มากขึ้นในสายตาของนักลงทุนสถาบันระดับโลก

คุมตลาดไม่ได้ แต่คุมความเสี่ยงได้

ในการลงทุนไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ทองคำ หรือคริปโต ไม่มีใครสามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอย่างภาวะสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้เลย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ราคาสินทรัพย์ก็สามารถร่วงลงได้ทันที 50%-80% แบบที่เราไม่ทันตั้งตัว

แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนสามารถควบคุมได้ 100% คือ การบริหารความเสี่ยงในพอร์ตตัวเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าเราตั้งใจลงทุนในสินทรัพย์หนึ่งด้วยเงินเย็น 20,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่เรายอมรับได้หากเกิดความเสียหายทั้งหมด นั่นหมายความว่าต่อให้ราคาทรัพย์สินนั้นจะดิ่งลง 80% เราก็ยังควบคุมผลกระทบในชีวิตเราไว้ได้

เพราะฉะนั้น การลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดไม่ใช่การเดาให้ถูกว่าราคาจะขึ้นหรือลง แต่คือการออกแบบสัดส่วนพอร์ตและระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน ซึ่งสิ่งนี้นักลงทุนทุกคน “กำหนดเองได้” ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มลงทุน

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทำไมบิตคอยน์ถึงโตจาก 0 สู่สินทรัพย์อันดับต้นของโลก? Asset ที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ก่อนนักลงทุนสถาบัน

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...