โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ใส่ใจเคล็ดไม่ลับ ป้องกัน ‘เชื้อราที่เล็บ’

เดลินิวส์

อัพเดต 12 มิ.ย. เวลา 20.17 น. • เผยแพร่ 12 มิ.ย. เวลา 23.30 น. • เดลินิวส์
โรคเชื้อราที่เล็บเป็นโรคที่อาจใช้เวลารักษานาน และสามารถเป็นซ้ำได้อีก เมื่อสงสัยว่าติดเชื้อราที่เล็บ จึงควรไปรีบพบแพทย์

“เชื้อราในเล็บ” เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยการใส่ใจสุขอนามัยของเล็บ ส่งผลกระทบกับสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันได้ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ “โรคเชื้อราที่เล็บ” ว่า เป็นโรคที่พบได้บ่อยของเล็บ เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยพบได้ประมาณ 1 ใน 2 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี สัญญาณแรกเริ่มจากการมีจุดน้ำตาลเหลืองบริเวณใต้ปลายเล็บ หากปล่อยทิ้งไว้ เชื้อราอาจลุกลามไปทั้งเล็บ ทำให้เล็บหนาตัวขึ้นและมีสีที่เปลี่ยนแปลงไป

สาเหตุของ “โรคเชื้อราที่เล็บ”

โรคเชื้อราที่เล็บอาจเกิดจากเชื้อราหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราชนิด dermatophytes ซึ่งมีขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น สามารถเข้าไปในร่างกายผ่านทางบาดแผลหรือร่องระหว่างเล็บและเนื้อเยื่อรองเล็บ เชื้อรากินโปรตีนเคราตินซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเล็บ ทำให้เล็บอ่อนแอลง เปราะและแตกหักง่าย

อาการของ “โรคเชื้อราที่เล็บ”

-เล็บหนาตัวขึ้น

-เล็บผิดรูป

-เล็บเปลี่ยนสี เช่น เปลี่ยนเป็นสีขาว สีเหลือง สีเขียวหรือสีดำ

-เล็บเปราะ มีรอยร้าว แตกหักง่าย มีขุยใต้เล็บ

-มีกลิ่นเหม็น

-เล็บแยกตัวออกจากฐานเล็บ

โดยทั่วไปไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่อาจรู้สึกเจ็บที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้าที่ติดเชื้อในขณะทำกิจกรรมทั่วๆไป

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง

-ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี

-ผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน

-ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน

-ผู้ที่เป็นโรคน้ำกัดเท้า

-ผู้ที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (hyperhidrosis)

-ผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ติดเชื้อเอชไอวี

“โรคเชื้อราที่เล็บ” ติดต่อกันได้หรือไม่

โรคเชื้อราที่เล็บเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ สามารถติดจากการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรงหรือการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโรค เชื้อราที่เล็บชอบอยู่ในที่ชื้น มืดและอุ่น จึงอาจติดเชื้อได้จากการเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะ เช่น บริเวณสระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำและห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายรวม รวมถึงการใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น เช่น ผ้าขนหนู รองเท้า ถุงเท้า นอกจากนี้เชื้อราที่เล็บยังอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ซึ่งรู้จักกันในชื่อของโรคกลาก

“โรคเชื้อราที่เล็บ” รักษาได้อย่างไร

โรคเชื้อราที่เล็บเป็นโรคที่รักษาได้ยาก อาจใช้เวลาในการรักษานานหลายเดือนหรือเป็นปี และมักกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เมื่อสงสัยว่าติดเชื้อราที่เล็บ ควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด หรือมีอาการบวมและรู้สึกเจ็บ มีเลือดออกรอบๆเล็บ หรือเดินลำบาก แพทย์จะใช้วิธีการรักษาแบบเฉพาะบุคคลเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยทั่วไปการรักษาทำได้ดังนี้

@ การใช้ยา รักษาได้ด้วยยาเม็ดป้องกันเชื้อรา ครีม ขี้ผึ้ง หรือน้ำยาเคลือบเล็บแบบป้องกันเชื้อรา

@ การถอดเล็บ สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือรักษาด้วยวิธีการอื่นแล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดถอดเล็บหรือการใช้สารเคมีทาลงบนเล็บเพื่อให้เล็บหลุดร่วมกับการใช้ยา

@ การรักษาด้วยเลเซอร์ แพทย์อาจใช้เลเซอร์ในการรักษาหรือร่วมกับการรักษาด้วยการใช้ยา

วิธีป้องกัน “โรคเชื้อราที่เล็บ”

โรคเชื้อราที่เล็บสามารถป้องกันได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงดังนี้

@ สวมรองเท้าแตะในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำและห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายรวม

@ หากมีคนที่อาศัยร่วมกันเป็นโรคเชื้อราที่เล็บหรือที่เท้า ให้ป้องกันด้วยการสวมรองเท้าแตะและหลีกเลี่ยงการใช้ห้องน้ำร่วมกัน

@ ทำความสะอาดอุปกรณ์ทำเล็บก่อนใช้งานทุกครั้งและไม่ใช้อุปกรณ์ทำเล็บร่วมกับผู้อื่น

@ หากเป็นโรคเบาหวาน ควรพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลรักษาเท้าอย่างเคร่งครัด

@ สวมรองเท้าขนาดกำลังพอดี ไม่คับเกินไป ไม่สวมรองเท้าคู่เดิมซ้ำกันทุกวัน ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมง สวมถุงเท้าที่ระบายอากาศได้ดี เปลี่ยนถุงเท้าทุกวันและทุกครั้งที่เปียกชื้น

@ เช็ดเท้าให้แห้งสนิทหลังอาบน้ำ

@ ตัดเล็บให้สั้นเป็นแนวตรง ไม่ตัดเล็มหนังบริเวณรอบๆเล็บ

@ ทาครีมบำรุงเท้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เชื้อราอาจเข้าสู่ผิวหนังผ่านรอยแตกแห้งที่เท้าได้.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...