ใส่ใจเคล็ดไม่ลับ ป้องกัน ‘เชื้อราที่เล็บ’
“เชื้อราในเล็บ” เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยการใส่ใจสุขอนามัยของเล็บ ส่งผลกระทบกับสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันได้ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ “โรคเชื้อราที่เล็บ” ว่า เป็นโรคที่พบได้บ่อยของเล็บ เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยพบได้ประมาณ 1 ใน 2 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี สัญญาณแรกเริ่มจากการมีจุดน้ำตาลเหลืองบริเวณใต้ปลายเล็บ หากปล่อยทิ้งไว้ เชื้อราอาจลุกลามไปทั้งเล็บ ทำให้เล็บหนาตัวขึ้นและมีสีที่เปลี่ยนแปลงไป
สาเหตุของ “โรคเชื้อราที่เล็บ”
โรคเชื้อราที่เล็บอาจเกิดจากเชื้อราหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราชนิด dermatophytes ซึ่งมีขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น สามารถเข้าไปในร่างกายผ่านทางบาดแผลหรือร่องระหว่างเล็บและเนื้อเยื่อรองเล็บ เชื้อรากินโปรตีนเคราตินซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเล็บ ทำให้เล็บอ่อนแอลง เปราะและแตกหักง่าย
อาการของ “โรคเชื้อราที่เล็บ”
-เล็บหนาตัวขึ้น
-เล็บผิดรูป
-เล็บเปลี่ยนสี เช่น เปลี่ยนเป็นสีขาว สีเหลือง สีเขียวหรือสีดำ
-เล็บเปราะ มีรอยร้าว แตกหักง่าย มีขุยใต้เล็บ
-มีกลิ่นเหม็น
-เล็บแยกตัวออกจากฐานเล็บ
โดยทั่วไปไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่อาจรู้สึกเจ็บที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้าที่ติดเชื้อในขณะทำกิจกรรมทั่วๆไป
ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง
-ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
-ผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน
-ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน
-ผู้ที่เป็นโรคน้ำกัดเท้า
-ผู้ที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (hyperhidrosis)
-ผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ติดเชื้อเอชไอวี
“โรคเชื้อราที่เล็บ” ติดต่อกันได้หรือไม่
โรคเชื้อราที่เล็บเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ สามารถติดจากการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรงหรือการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโรค เชื้อราที่เล็บชอบอยู่ในที่ชื้น มืดและอุ่น จึงอาจติดเชื้อได้จากการเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะ เช่น บริเวณสระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำและห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายรวม รวมถึงการใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น เช่น ผ้าขนหนู รองเท้า ถุงเท้า นอกจากนี้เชื้อราที่เล็บยังอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ซึ่งรู้จักกันในชื่อของโรคกลาก
“โรคเชื้อราที่เล็บ” รักษาได้อย่างไร
โรคเชื้อราที่เล็บเป็นโรคที่รักษาได้ยาก อาจใช้เวลาในการรักษานานหลายเดือนหรือเป็นปี และมักกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เมื่อสงสัยว่าติดเชื้อราที่เล็บ ควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด หรือมีอาการบวมและรู้สึกเจ็บ มีเลือดออกรอบๆเล็บ หรือเดินลำบาก แพทย์จะใช้วิธีการรักษาแบบเฉพาะบุคคลเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยทั่วไปการรักษาทำได้ดังนี้
@ การใช้ยา รักษาได้ด้วยยาเม็ดป้องกันเชื้อรา ครีม ขี้ผึ้ง หรือน้ำยาเคลือบเล็บแบบป้องกันเชื้อรา
@ การถอดเล็บ สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือรักษาด้วยวิธีการอื่นแล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดถอดเล็บหรือการใช้สารเคมีทาลงบนเล็บเพื่อให้เล็บหลุดร่วมกับการใช้ยา
@ การรักษาด้วยเลเซอร์ แพทย์อาจใช้เลเซอร์ในการรักษาหรือร่วมกับการรักษาด้วยการใช้ยา
วิธีป้องกัน “โรคเชื้อราที่เล็บ”
โรคเชื้อราที่เล็บสามารถป้องกันได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงดังนี้
@ สวมรองเท้าแตะในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำและห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายรวม
@ หากมีคนที่อาศัยร่วมกันเป็นโรคเชื้อราที่เล็บหรือที่เท้า ให้ป้องกันด้วยการสวมรองเท้าแตะและหลีกเลี่ยงการใช้ห้องน้ำร่วมกัน
@ ทำความสะอาดอุปกรณ์ทำเล็บก่อนใช้งานทุกครั้งและไม่ใช้อุปกรณ์ทำเล็บร่วมกับผู้อื่น
@ หากเป็นโรคเบาหวาน ควรพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลรักษาเท้าอย่างเคร่งครัด
@ สวมรองเท้าขนาดกำลังพอดี ไม่คับเกินไป ไม่สวมรองเท้าคู่เดิมซ้ำกันทุกวัน ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมง สวมถุงเท้าที่ระบายอากาศได้ดี เปลี่ยนถุงเท้าทุกวันและทุกครั้งที่เปียกชื้น
@ เช็ดเท้าให้แห้งสนิทหลังอาบน้ำ
@ ตัดเล็บให้สั้นเป็นแนวตรง ไม่ตัดเล็มหนังบริเวณรอบๆเล็บ
@ ทาครีมบำรุงเท้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เชื้อราอาจเข้าสู่ผิวหนังผ่านรอยแตกแห้งที่เท้าได้.