โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คดีชั้น 14 ‘ป่วยวิกฤติ’ ให้ออกซิเจน-ใช้เวลา 2.20 ชม. จากเรือนจำกรุงเทพฯ ถึงรพ.ตำรวจ

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 06 ก.ค. เวลา 11.22 น. • เผยแพร่ 04 ก.ค. เวลา 18.45 น.

ศาลฎีกาฯ ไต่สวนบุคลากรการแพทย์ คดีชั้น 14 จากเรือนจำกรุงเทพฯ ถึง รพ.ตำรวจ – สั่งสื่องดเผยแพร่คำเบิกความทั้งพยานบุคคล-พยานเอกสาร

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เวลา 9.00 น. ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดไต่สวนการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฯ ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ,อม.5/2551 และ อม.10/2552 หรือ “คดีชั้น 14” หรือไม่ ซึ่งในวันนี้อัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ รวมทั้งทนายจำเลยมาศาล ส่วนจำเลยได้รับอนุญาตจากศาล ไม่มาฟังการพิจารณา

ในวันนี้ ศาลได้ไต่สวนกลุ่มบุคลากรการแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวม 5 ปาก อาทิ แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่ตรวจร่างกายนายทักษิณ นายแพทย์นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ , นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เป็นต้น โดยศาลได้นัดไต่สวนอีกครั้ง ตามกำหนดการเดิมคือวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เวลา 9.00 น.

อนึ่ง มีการนำข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของพยาน ซึ่งศาลไต่สวนในนัดก่อนออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในลักษณะคำต่อคำผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ซึ่งอาจทำให้พยานบุคคลที่จะมาเบิกความในลำดับถัดไปทราบข้อเท็จจริงที่พยานคนก่อนได้เบิกความไว้ และอาจทำให้ศาลไต่สวนแล้วได้ข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมถึงอาจมีการนำคำเบิกความของพยานดังกล่าวไปวิเคราะห์หรือให้ความเห็นในทางคดี จนก่อให้เกิดความสับสนแก่สังคมได้ ประกอบกับข้อมูลด้านสุขภาพของจำเลยเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ศาลให้คู่ความ และผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีงดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน

สำหรับการไต่สวนในวันนี้ได้มีการลำดับเหตการณ์ตั้งแต่นายทักษิณ ชินวัตร เข้ารับการตรวจร่างกายในฐานะผู้ต้องขังรายใหม่ โดยมีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นผู้ตรวจ ซึ่งมีการนำเอกสารเวชระเบียนจากประเทศสิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรต มาประกอบกับการวินิจฉัยอาการป่วยของนายทักษิณ รวมทั้งได้ให้ความเห็นว่า อาการป่วยของนายทักษิณเกินศักยภาพการรักษาของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่ง ณ ขณะตรวจนั้นยังไม่เกิดภาวะฉุกเฉิน แต่แพทย์ได้เขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายนอกภายในเวลาราชการ ซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติของแพทย์คนดังกล่าว จึงได้มอบพยานหลักฐานใบส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2568 ให้ศาลไว้พิจารณา

จากนั้นเวลาประมาณ 22.00 น. แพทย์คนดังกล่าว ได้รับการติดต่อทางไลน์จากพยาบาลเวรประจำ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ว่า ขออนุญาตใช้ใบส่งตัวล่วงหน้าที่แพทย์ได้เซ็นไว้ล่วงหน้า โดยพยาบาลได้เล่าอาการผู้ป่วยว่า ณ ขณะนั้นอยู่ในภาวะวิกฤติ จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ

ถัดมาเป็นแพทย์เวรซึ่งประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ขณะเกิดเหตุตั้งแต่เวลา 22.00 น. ได้รับสายโทรศัพท์จากพยาบาลเวร โดยแจ้งอาการป่วยของนายทักษิณว่าเข้าข่ายวิกฤติ แพทย์เวรจึงให้ความเห็นว่าไม่ควรเฝ้ารักษาตัวในเรือนจำต่อ ควรส่งตัวต่อไปโรงพยาบาลเครือข่าย

ส่วนพยาบาลเวร ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสถานพยาบาลให้ติดตามอาการนายทักษิณอย่างใกล้ชิดทุก 4 ชั่วโมง โดยเวลา 22.00 น. นายทักษิณแจ้งว่ามีอาการป่วยหนัก พยาบาลเวรจึงโทรศัพท์ไปหาแพทย์เวรประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งห่างจากสถานพยาบาลในเรือนจำฯ ราว 200 เมตร แพทย์เวรจึงแนะนำให้ติดต่อขออนุญาตใช้ใบส่งตัวจากแพทย์ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า

จากนั้นพยาบาลเวรจึงประสานไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่เวลา 22.00 – 00.00 น.ระหว่างนี้ได้ให้ออกซิเจนในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยเบื้องต้น จนกระทั่งได้รับการอนุมัติการส่งตัวจากโรงพยาบาลตำรวจ จึงเคลื่อนย้ายนายทักษิณจากห้องกักโรคชั้นสองมายังรถพยาบาลเพื่อส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยใช้เวลาเดินทาง 20 นาที

เมื่อถึงโรงพยาบาลตำรวจ พยาบาลเวรได้รับมอบหมายให้ทำเวชระเบียนของนายทักษิณกับโรงพยาบาลตำรวจ โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมอบหมายให้พยาบาลเวรนำใบเวชระเบียนขึ้นไปส่งที่ห้องพยาบาล (nurse station) ชั้น 14 ซึ่งพยาบาลเวรเข้าใจว่านายทักษิณอยู่ในห้องพักชั้น 14 แล้ว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...