โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

รักอย่างเดียวกินไม่ได้! Gen Z มองความมั่งคั่งสำคัญต่อการแต่งงาน

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 20 มิ.ย. เวลา 02.15 น. • เผยแพร่ 20 มิ.ย. เวลา 09.13 น.

นี่ไม่ใช่การขุดทอง แต่เป็นความจำเป็นที่วัยทำงานรุ่นใหม่สมัยนี้ มักเลือกคู่ชีวิตที่มาพร้อมฐานะทางการเงินมั่นคง ผู้เชี่ยวชาญเตือน สังคมกำลังเข้าสู่ยุค Inheritocracy (การรับมรดกตกทอด) ที่โอกาสในชีวิตไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง แต่มาจาก "เงินของพ่อแม่"

ในอดีต เราอาจเชื่อว่า “ความรัก” คือหัวใจหลักของการแต่งงาน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z กลับมองว่าเรื่องเงินกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญแซงหน้าความรักมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ "เงินของพ่อแม่" หรือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนผ่านของสังคมและเจนเนอเรชันอย่าง ดร.เอลิซา ฟิลบี เรียกว่า Bank of Mom and Dad

ดร.เอลิซา ฟิลบี (Dr.Eliza Filby) ผู้เขียนหนังสือขายดี Inheritocracy: It's Time to Talk About the Bank of Mum and Dad เผยว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจาก “Meritocracy” ที่เชื่อว่า “ถ้ามีความขยันและเก่งแล้วชีวิตจะสำเร็จ” ไปสู่ “Inheritocracy” หรือ “สังคมที่โอกาสในชีวิตถูกกำหนดด้วยมรดกและความมั่งคั่งจากครอบครัว”

“นี่คือยุคที่แต่งงานกันระหว่างสองตระกูล สองบัญชีธนาคารของพ่อแม่ ไม่ใช่แค่สองคนที่รักกันอีกต่อไป” ดร.ฟิลบี บอกเล่าผ่าน Newsweek

Inheritocracy มรดกชนะความรัก? เมื่อโอกาสไม่ได้มาจากความขยันอีกต่อไป

รายงานชี้ว่า เด็กรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากครอบครัวเพื่อผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน แต่งงาน หรือเลี้ยงลูก โดยเฉพาะ Gen Z ที่เติบโตมากับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และเห็นแล้วว่าความฝันแบบคนรุ่น Gen Y ที่ว่า “เรียนให้ดี ทำงานตามฝัน แล้วชีวิตจะมั่นคง” นั้น แต่ในความเป็นจริงยุคนี้มันกลับสวนทาง

“เราเคยคิดว่าแค่มีการศึกษาสูงๆ จบมหาวิทยาลัยดีๆ และทำงานหนัก ก็จะประสบความสำเร็จ แต่วันนี้ โอกาสของชีวิตกลับขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าถึงเงินของพ่อแม่ได้แค่ไหน” ดร.ฟิลบีอธิบาย

ข้อมูลผลสำรวจจาก Redfin ปี 2024 พบว่า คน Gen Z กว่า 78% ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวในการวางเงินดาวน์บ้าน และหลายคนมองว่านั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้มี “บ้านเป็นของตัวเอง” ได้

ในขณะเดียวกัน เงินสะสมในธนาคารของพ่อแม่ยังกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนอันดับต้นๆ ของอีเวนต์สำคัญในชีวิตคนรุ่นลูก ตั้งแต่การจัดงานแต่งงาน งานรับขวัญหลาน ไปจนถึงช่วยจ่ายค่าบัตรคอนเสิร์ต Taylor Swift ที่ ดร.ฟิลบี มองว่า “พ่อแม่แทบเป็นผู้สนับสนุนหลักเลยทีเดียว”

เมื่อความรัก-การแต่งงาน ต้องมี “ฐานะที่ดี” ของคู่ครองพ่วงมาด้วย

ดร.ฟิลบี เตือนว่า ปรากฏการณ์นี้กำลังเปลี่ยนทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่อความรัก พวกเขาไม่เพียงมองหาความเข้าใจ แต่ยังมองหาความมั่นคงทางการเงิน และความมั่งคั่งที่อาจจะไม่ได้อยู่ในบัญชีของคู่รัก แต่เป็นบัญชีพ่อแม่ของคู่รักแทน

“คนรุ่นใหม่ไม่ได้มองอาชีพการงานเป็นเครื่องมือเติมเต็มชีวิตอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการเลือกคู่ครองด้วย พวกเขาคาดหวังความมั่นคงจากทั้งงานและคู่ชีวิตควบคู่กัน”

เธอเปรียบเทียบว่า ตลาดการแต่งงานยุคนี้คล้ายโลกในนิยายของ เจน ออสเต็น (นักเขียนชาวอังกฤษต้นแบบนิยายรักโรแมนติกแบบ Realistic) ที่นำเสนอว่าพ่อแม่มีบทบาทต่อชีวิตรักของลูกๆ เพราะพวกเขา “ร่วมลงทุน” กับทุกอย่างในชีวิตลูก ไม่ว่าจะเป็นค่างานแต่ง ค่าบ้าน หรือแม้แต่การเลี้ยงหลาน ทำให้การแต่งงานยิ่งมี “เดิมพันทางการเงิน” สูงขึ้น และแนวโน้มการหย่าร้างในกลุ่มคนมีฐานะก็ลดลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ ยังเกิดเทรนด์ใหม่อย่าง Quiet Luxury ที่สะท้อนการเติบโตของ Inheritocracy คนกลุ่มนี้มักสะท้อนตัวตนผ่านแฟชั่นแนว “เรียบหรูแบบไม่ตะโกน” ไม่เน้นโชว์โลโก้แบรนด์ แต่เน้นวัสดุดี งานเนี๊ยบ และการสื่อถึงฐานะที่ "สืบทอดมา" (Old Money) ไม่ใช่ “สร้างเอง” (New Monney)

“คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยพยายามแต่งตัวให้เหมือนคนรวยแบบ Old Money แม้จริงๆ แล้ว ตัวเองจะไม่ใช่คนมีฐานะแบบนั้นเลยก็ตาม” ฟิลบี อธิบาย และชี้ว่า Quiet Luxury ไม่ใช่แค่สไตล์ แต่คือการแสดงสถานะที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันถึง

การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน เมื่อครอบครัวคือระบบเศรษฐกิจของทั้งบ้าน

ฟิลบีเตือนว่า ปรากฏการณ์นี้อาจยิ่งถ่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้กว้างมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีข้างหน้า ที่จะเกิด “การถ่ายโอนทรัพย์สินครั้งใหญ่” (Great Wealth Transfer) คาดว่าจะมีทรัพย์สินระหว่าง 68-84 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 2,200 - 2,800 ล้านล้านบาท) ถูกส่งต่อจากคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ไปยังรุ่นลูกหรือรุ่นหลาน

“มันไม่ใช่แค่เรื่องของมรดกอีกต่อไป แต่กลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทั้งการซื้อบ้าน การมีลูก การเรียนมหาวิทยาลัย ล้วนต้องพึ่งพาเงินจากครอบครัว”

แต่ในขณะที่ทรัพย์สินไหลลงมาสู่รุ่นลูก การดูแลพ่อแม่สูงอายุก็เริ่มไหลย้อนกลับ เด็กยุคนี้ต้องอยู่ใกล้บ้านเพราะไม่เพียงพึ่งเงินพ่อแม่ แต่ยังต้องดูแลพวกเขาในอนาคต กลายเป็นว่าครอบครัวแต่ละบ้านจะมีคนหลายรุ่นอยู่อาศัยร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ด้วยความจำเป็นและความคาดหวังต่อกันและกัน อีกทั้งในประเด็นของการแต่งงานผู้เชี่ยวชาญมองว่า “การแต่งงานเพราะความรัก อาจไม่พออีกต่อไป”

แม้หลายคนจะรู้สึกอึดอัดที่จะพูดเรื่องการพึ่งพาครอบครัว แต่ ดร.ฟิลบี เชื่อว่า ถึงเวลาเปิดเผยความจริงนี้อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในสังคมที่ยังเชิดชูแนวคิด “สร้างตัวด้วยสองมือ” หรือ self-made

อย่างไรก็ตาม ดร.ฟิลบี ทิ้งท้ายไว้ให้คิดว่า “นี่ไม่ใช่แค่เรื่องความเหลื่อมล้ำ แต่คือเรื่องความยุติธรรมด้วย ถ้าใครไม่มีครอบครัวที่ร่ำรวย พวกเขาจะมีที่ยืนในสังคมนี้ได้ยังไง?”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...