ประเทศจีนที่มีความมั่นอกมั่นใจใหม่ๆ เดินหน้าสร้างอิทธิพลบารมีเพิ่มขึ้นในทั่วโลก ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ นำอเมริกาล่าถอย
A Newly Confident China Is Jockeying for More Global Clout as Trump Pulls Back
by Yaroslav Trofimov, The Wall Street Journal
03/12/2025
ปักกิ่ง - จีนกำลังเบ่งกล้ามอวดความเข้มแข็งของตนเอง กำลังแสดงให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจใหม่ๆ ซึ่งได้พลังผลักดันจากความเชื่อที่ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังนำพาสหรัฐฯถอยกรูดออกจากพันธะกรณีต่างๆ ในต่างแดน และปรับจุดโฟกัสของเขามุ่งความสนใจไปอยู่ที่ซีกโลกตะวันตก (Western Hemisphere) ตลอดจนที่ดีลการค้าต่างๆ อย่างที่เห็นกันอยู่ในเวลานี้ กำลังก่อให้เกิดโอกาสพิเศษหาได้ยากสำหรับปักกิ่ง
(ซีกโลกตะวันตก Western Hemisphere คือ ครึ่งหนึ่งของโลกที่อยู่ทางตะวันตกของเส้นเมริเดียนแรก และทางตะวันออกของเส้นเมริเดียนที่ 180 องศา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเรียก ซีกโลกตะวันออก ในทางภูมิศาสตร์ คำว่าซีกโลกตะวันตกมักถูกใช้แทนคำว่าทวีปอเมริกา (ทั้งเหนือและใต้) หรือ “โลกใหม่” ถึงแม้ หากใช้ในความหมายที่เคร่งครัดแล้ว ซีกโลกตะวันตกในทางภูมิศาสตร์ ยังควรจะต้องครอบคลุมถึงหลายๆ ส่วนของทวีปอื่นๆ ด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Western_Hemisphere)
จากการที่ความผูกพันสมัครสมานระหว่างสหรัฐฯกับพวกประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ กำลังอยู่ในสภาพมึนตึงไปเสียทั้งนั้น ปักกิ่งกลับกำลังมีความรู้สึกใหม่ๆ แห่งความเชื่อมั่นในตนเอง โดยที่ความรู้สึกเช่นนี้ยังมีต้นตอมาจากความภาคภูมิใจในความสามารถอย่างโดดเด่นของประเทศจีนในเทคโนโลยีที่กำลังเป็นตัวกำหนดอนาคตทั้งหลาย ตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์ไปจนถึงรถไฟไฮสปีดและพลังงานสะอาด ความสำเร็จเหล่านี้ยังมาพร้อมๆ กับการสั่งสมแสนยานุภาพทางทหารขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ทรัมป์เป็นคนที่คำนึงถึงสิ่งต่างๆโดยมุ่งผลในทางปฏิบัติ และเขาก็มองเห็นว่าจีนกำลังผงาดขึ้นมาทั้งในด้านฮาร์ดเพาเวอร์ (hard power) แล้วก็ในด้านซอฟต์เพาเวอร์ (soft power) ด้วย จากการที่ทางอเมริกันเวลานี้กำลังรวมศูนย์อยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้ แทนที่จะกำลังหันมาให้ความสำคัญที่สุดกับเอเชีย และแผ่ตัวกระจายออกไปสุดเหยียดจนอยู่ในสภาพบอบบางในทุกๆ แนวรบ, จากการที่กำลังล่าถอยโดยเวลาเดียวกันนั้นก็พยายามสร้างเงื่อนไขดีๆ กับจีน ดังนั้น ฝ่ายอเมริกันจึงน่าจะยังคงสามารถรักษาฐานะครอบงำเหนือกิจการโลกของพวกเขาเอาไว้อีกสัก 20 หรือ 30 ปี” เป็นความเห็นของ หวัง หุยเย่า (Wang Huiyao) ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของศูนย์เพื่อจีนและโลกาภิวัฒน์ (Center for China and Globalization) หน่วยงานคลังสมองที่ตั้งฐานอยู่ในปักกิ่ง
จุดพลิกผันของเรื่องนี้ พวกสถาบันด้านนโยบายการต่างประเทศของจีนดูจะมีความเห็นเป็นฉันทมติกันว่า เกิดขึ้นหลังจากการเผชิยหน้ากันในเรื่องภาษีศุลกากรทางการค้า, แร่แรร์เอิร์ธ, และการประกาศใช้มาตรการจำกัดการส่งออก ที่ยุติลงด้วยการตกลงสงบศึกชั่วคราวซึ่ง ทรัมป์ กับ สี จิ้นผิง ผู้นำของจีนเห็นพ้องกันได้ในเกาหลีใต้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
การลดระดับลงมาจากความตึงเครียดร้อนฉ่าซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯผู้หนึ่งบรรยายเอาไว้ว่าเป็น “สงครามทางเศรษฐกิจที่เทียบเท่ากับสงครามนิวเคลียร์” คราวนี้ –ซึ่งได้สร้างอุปสรรคขวางกั้นที่ลิดรอนทั้งจีนและสหรัฐฯไม่ได้เข้าถึงวัสดุและส่วนประกอบที่จำเป็นยิ่งยวดทั้งหลาย—ได้นำไปสู่ยุคใหม่ในความสัมพันธ์จีน-อเมริกัน นักวิเคราะห์ชาวจีนจำนวนมากเชื่อว่า ด้วยการโจมตีตอบโต้คืนอย่างแรงๆ จีนก็ได้สาธิตให้เห็นพลังอำนาจของตน ทำให้ได้สถานะเป็นผู้ร่วมวงที่มีฐานะทัดเทียมกันกับสหรัฐฯขึ้นมาเป็นหนแรก และบีบบังคับให้อเมริกาจำเป็นต้องล่าถอย
“ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ—จีน ได้ผ่านความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างทีเดียว” เป็นคำกล่าวของ หวัง หย่ง (Wang Yong) ผู้อำนวยการของศูนย์เพื่ออเมริกันศึกษา (Center for American Studies) ณ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (Peking University) “ฝ่ายอเมริกันได้ตระหนักรับรู้ถึงพลังอำนาจของจีน และได้เรียนรู้ที่จะต้องคำนึงถึงความเป็นจริงในเวลาติดต่อกับจีน นั่นคือต้องแสดงความเคารพกันให้มากขึ้น”
ยังมีพวกนักยุทธศาสตร์ซึ่งใช้ท่าทีระแวดระวังยิ่งกว่านี้ในจีนเหมือนกัน ที่บอกกันว่า อารมณ์ความรู้สึกอย่างปีติยินดีอยากเฉลิมฉลองเช่นนี้ อาจจะรวดเร็วไปหน่อย โดยพากันชี้ให้เห็นถึงการชะลอตัวในอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และความตึงเครียดต่างๆ ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ภายใน ข้างใต้เปลือกนอกของสังคมซึ่งมีการควบคุมอย่างเข้มงวดของแดนมังกร พวกเขาบางรายเตือนว่า ถึงแม้ลัทธิแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวภายใต้คำขวัญ “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” (MAGA isolationism) ผงาดขึ้นมาในสหรัฐฯในการบริหารปกครองของทรัมป์ แต่ลักษณะพื้นฐานของความเป็นปรปักษ์กันระหว่างสหรัฐฯ-จีน ก็ยังดำรงคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน แม้กระทั่งในท่ามกลางกระแสของการหันมาพูดจากันดีๆ ในปัจจุบัน
ระหว่างอยู่ในเกาหลีใต้นั้น ทรัมป์สร้างเซอร์ไพรซ์ให้แก่คณะผู้นำจีนด้วยการพูดถึงอำนาจปกครองร่วมกันระหว่างสหรัฐฯกับจีน หรือ “G2” ในกิจการโลก – อันเป็นภาษาถ้อยคำซึ่ง สี เคยเสนอไว้ ณ การประชุมซัมมิตระหว่าง เขา กับ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯในเวลานั้น ที่ซันนีแลนดส์ (Sunnylands) รัฐแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐฯ ในปี 2013 ทว่ากลับถูกปฏิเสธทันควันจากประธานาธิบดีโอบามา ผู้ซึ่งมองว่าการยอมรับว่าเป็น G2 คือการที่สหรัฐฯจะต้องทอดทิ้งพวกเหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ และละทิ้งบทบาทในระดับโลกของวอชิงตัน
การที่ทรัมป์กลับมามีท่าทีรับรองแนวความคิดเรื่อง G2 เช่นนี้ เป็นสัญญาณแสดงถึงการยอมรับสถานะใหม่ของประเทศจีนนั่นเอง นี่เป็นความเห็นของ หวัง ตง (Wang Dong) ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันเพื่อความร่วมมือและความเข้าใจกันระดับโลก (Institute for Global Cooperation and Understanding) แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
เขากล่าวต่อไปว่า ถ้าหากแนวความคิดเรื่อง “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” (MAGA) มีความแพร่หลายจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในสหรัฐฯ และคณะบริหารทรัมป์ก็เดินหน้าต่อไปด้วยการประกาศอย่างเป็นทางการในเอกสารยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศฉบับใหม่ว่า ละทิ้งแนวความคิดในการแข่งขันทางยุทธศาสตร์กับประเทศจีนแล้ว การปรับเปลี่ยนทิศทางเช่นนั้นก็จะเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานที่สุด ในการขบคิดพิจารณาทางยุทธศาสตร์ของอเมริกัน นับตั้งแต่สงครามเย็นยุติลงทีเดียว ถ้าหากไม่ไปไกลกว่านั้น นั่นคือถึงขนาดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
“อุดมการณ์แนวความคิด MAGA เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบอกลาไม่เอาลัทธิเสรีสากลนิยม (liberal internationalism) เป็นการรื้อทำลายระเบียบวาระแบบเสรีนิยม เป็นการถอนตัวออกมาจากการมีพันธะผูกพันจนมากเกินไปในตลอดทั่วโลก เป็นการนำเอากำลังส่วนต่างๆ ถอยกลับมายังซีกโลกตะวันตก –นี่จึงเป็นแนวความคิดสำหรับการดำเนินการแบบใหม่ และมันก็กำลังจะกลายเป็นความปกติอย่างใหม่สำหรับระยะเวลาหลายๆ ปีต่อจากนี้ไป” หวัง กล่าว
แน่นอนทีเดียวว่า ถ้าหากมันเกิดขึ้นมาอย่างที่กล่าวนี้ จีนก็คงไม่สามารถที่จะดีอกดีใจมีความสุขมากไปกว่านี้อีกแล้ว ในเมื่อทรัมป์ดูเหมือนให้ความสนใจกับเรื่องการขายถั่วเหลืองของอเมริกัน ยิ่งกว่าการพิทักษ์ปกป้องเกาะไต้หวันเสียแล้ว การที่ปักกิ่งจะเข้าครอบครองเกาะประชาธิปไตยแห่งนี้ก็ย่อมกลายเป็นเป้าหมายที่สามารถกระทำให้สำเร็จลุล่วงได้ยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากมาย บางทีอาจจะไม่ต้องอาศัยการสู้รบเลยก็ได้ พวกเจ้าหน้าที่จีนจำนวนมากเชื่อกันเช่นนี้
ด้วยความหวาดกลัวที่ได้เห็นการทำลายล้างของสงครามที่รัสเซียกระทำกับยูเครน เวลานี้มีชาวไต้หวันบางคนบางฝ่ายกำลังหันมาหาปักกิ่งกันแล้ว เจิ้ง ลี่เหวิน (Cheng Li-wun) ผู้เพิ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคนใหม่ของพรรคก๊กมิ่นตั๋ง (Kuomintang) ของเกาะแห่งนี้ เป็นผู้ที่มีแนวทางการเมืองโปรปักกิ่งมากยิ่งกว่าผู้ดำรงตำแหน่งนี้ก่อนหน้าเธอ โดยที่เธอยกตัวอย่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับยูเครน มาเป็นเหตุผลสำหรับการที่เธอผลักดันให้ไต้หวันมีความผูกพันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งนี้ ในปัจจุบันแม้ก๊กมิ่นตั๋งยังมีฐานะเป็นพรรคฝ่ายค้านในไต้หวัน แต่พรรคก็เป็นผู้ครองเสียงมากที่สุดในรัฐสภา แม้ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งก็ตาม
เธอกระทั่งพูดถึงประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ว่าเป็นพวกนิยมประชาธิปไตย ทว่าถูกลากดึงเข้าสู่สงครามคราวนี้สืบเนื่องจากการที่องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ขยายตัวมาทางตะวันออกประชิดรัสเซียไม่หยุดยั้ง ถ้าหากพรรคก๊กมิ่นตั๋งมีชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปของเกาะแห่งนี้ ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นในปี 2028 มันก็อาจทำให้การที่จีนเข้าดูดกลืนไต้หวันอย่างสันติในปีต่อๆ ไปมีความเป็นไปได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากชาวไต้หวันได้ข้อสรุปว่า พวกเขาไม่สามารถหวังพึ่งพาอเมริกาให้มาช่วยพิทักษ์ปกป้องพวกเขาได้
ตามการประมาณการของประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ อ้างว่า สี จิ้นผิง ได้ออกคำสั่งให้กองทัพของเขาต้องตระเตรียมให้พรักร้อมสำหรับการใช้กำลังทหารเข้ายึดไต้หวันให้จงได้ภายในปี 2027 ทั้งนี้ ปักกิ่งเชื่อว่า “การที่จีนจะรวมเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกันกับเกาะแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่คำถามที่จะตอบว่า “ตกลง” หรือ “ไม่ตกลง” แต่มันคือความเป็นจริงที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ และเป็นคำถามซึ่งถามว่าจะรวมกันยังไงและจะรวมกันเมื่อไหร่ต่างหาก” เซิน ซื่อเหว่ย (Shen Shiwei) คอมเมนเตเตอร์ทางการเมืองที่ตั้งฐานอยู่ในปักกิ่งและเป็นผู้ก่อตั้งจดหมายข่าว “ไชน่า บรีฟวิ่ง” (China Briefing newsletter) กล่าวให้ความเห็น เขาบอกต่อไปว่า ขณะที่จีนอยากจะบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยวิธีการสันติ ทว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อพวกต่างชาติทั้งหลายยุติการเข้ามาแทรกแซงก้าวก่าย
อันที่จริงระหว่างที่ สี พูดคุยทางโทรทัศน์กับ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางผู้นำจีนก็ได้กล่าวย้ำว่า “เรื่องที่ไต้หวันต้องกลับคืนสู่ประเทศจีนต้องถือว่าเป็นส่วนที่ไม่อาจขาดหายไปได้ส่วนหนึ่งของวาระระหว่างประเทศแห่งยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง” โดยที่วาระดังกล่าวนี้มีการสถาปนาขึ้นมาในตอนที่จีนกับสหรัฐฯร่วมมือกันสร้างความพ่ายแพ้ให้แก่ญี่ปุ่นเมื่อปี 1945 อันเป็นทัศนะต่อโลกที่นำพาให้วอชิงตัน, ปักกิ่ง, --และมอสโกด้วย—เข้ามาอยู่ข้างเดียวกัน ทั้งนี้การที่ทรัมป์โพสต์ข้อความลงในแพลตฟอร์มสื่อสังคม “ทรูธ โซเชียล (Truth Social) ของเขา ภายหลังการหารือกับ สี คราวนั้น โดยไม่ได้เอ่ยพาดพิงถึงเกาะไหต้หวันเลย ได้กลายเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง ทรัมป์นั้นกลับเน้นย้ำถึงการผูกพันกับปักกิ่ง โดยโพสต์ข้อความว่า “ความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่กับจีนมีความแข็งแรงอย่างสุดๆ!”
ความรับรู้เข้าใจที่ว่า เรื่องไต้หวันไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไรนักหนาอีกต่อไปแล้วในความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน พวกนักการทูตบอกว่า เป็นเหตุผลที่สามารถมาใช้อธิบายได้ว่า ทำไมจีนจึงแสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างดุเดือดรุนแรงนักต่อการที่นายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่น เอ่ยปากเสนอแนะว่าโตเกียวอาจต้องใช้กำลังทหารของตนในกรณีที่จีนทำการรุกรานเกาะไต้หวัน ทั้งนี้จีนได้ประกาศมาตรการแซงก์ชั่นคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและทางการทูตจำนวนหนึ่งต่อญี่ปุ่น โดยเรียกร้องให้แดนอาทิตย์อุทัยประกาศถอนคำพูดนี้ของทาคาอิจิอย่างเป็นทางการ นอกจากนั้นสื่อมวลชนแห่งรัฐของจีนยังเริ่มต้นตั้งคำถามเรื่องอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่นที่มีเหนือโอกินาวา โดยบอกเล่าเรื่องว่าหมู่เกาะแห่งนี้เป็นดินแดนมาแต่โบราณของจีน ในไม่กี่อาทิตย์หลังๆ มานี้ จีนยังได้เพิ่มระดับการกล่าวอ้างดินแดนส่วนซึ่งตนเองพิพาทแย่งชิงอยู่กับอินเดีย โดยสั่งห้ามไม่ให้ผู้ถือหนังสือเดินทางอินเดียผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เกิดขึ้นในอรุณาจัลประเทศ (Arunachal Pradesh) แวะหยุดพัก (transit) ในจีนระหว่างการเดินทาง ทั้งนี้เนื่องจากปักกิ่งถือว่าดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน
ความกระหายที่จะชวนทะเลาะก่อศึกเช่นนี้ ส่วนหนึ่งมีต้นตอมาจากปัญหาต่างๆ ของจีนเอง เป็นต้นว่า อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง, ภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์, การบริโภคภายในประเทศที่กำลังอ่อนปวกเปียก,และการว่างงานที่กำลังสูงขึ้น โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นหนุ่มสาว “ในประเทศจีน มีแรงบีบคั้นภายในประเทศที่กำลังหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และบางคนบางส่วนก็ต้องการที่จะหันไปพึ่งพาอาศัยลัทธิชาตินิยม พึ่งพาอาศัยความคิดแบบสายเหยี่ยวแข็งกร้าว เพื่อแสวงหาผลลัพธ์ที่จะสามารถรับมือกับแรงบีบคั้นอย่างที่กล่าว” เซิน ติงลี่ (Shen Dingli) นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งตั้งฐานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ กล่าว
ความมั่นอกมั่นใจที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ของจีนนี้ บังเกิดขึ้นท่ามกลางความสับสนระส่ำระสายในโลกประชาธิปไตย การที่ทรัมป์เข้าโอบกอดต้อนรับรัสเซียกำลังสร้างความหงุดหงิดผิดหวังให้แก่พวกชาติพันธมิตรยุโรป และการเปิดกว้างให้ปักกิ่งครั้งใหม่ของเขาก็กระตุ้นให้เกิดความระแวงระวังครั้งใหม่ขึ้นในญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, และเกาหลีใต้ เมื่อถูกถามในรายการสัมพันธ์ของโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ เกี่ยวกับเรื่องที่นักการทูตชาวจีนผู้หนึ่งโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียในทำนองว่า นายกรัฐมนตรีทาคาอิชิของญี่ปุ่นสมควรที่จะถูกตัดศีรษะ ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า “พวกพันธมิตรของเราจำนวนมากนั้นไม่ได้เป็นเพื่อนมิตรของเราเลย … พวกพันธมิตรของเราฉวยใช้หาประโยชน์จากเราในเรื่องการค้ามากกว่าที่จีนกระทำเสียอีก”
นโยบายต่างๆ ของอเมริกันที่อยู่ในลักษณะใช้อำนาจบีบบังคับชาติอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการค้า กลายเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจและทางการเมืองให้แก่จีนในตลอดทั่วโลก นี่เป็นความเห็นของ อู๋ ซินปั๋ว (Wu Xinbo) คณบดีของสถาบันการระหว่างประเทศศึกษา (Institute of International Studies) แห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University) ในนครเซี่ยงไฮ้
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนเองก็มีบทบาทในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ศาสตราจารย์อู๋บอกว่า “ในอดีตนั้น พวกเทคโนโลยีต่างๆ ไหลเวียนเข้าสู่กลุ่มประเทศโลกใต้ (global South) จากทางตะวันตก แต่เวลานี้เทคโนโลยีมากขึ้นๆ ทุกที มาจากประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงพลังงานสะอาด เรื่องนี้อำนวยความสะดวกให้แก่การผูกสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการลงทุนของจีน แล้วจากนั้น อิทธิพลทางการเมืองก็ต้องติดตามมาอย่างแน่นอนอยู่แล้ว”
ความรู้สึกตระหนักสำนึกด้วยความมั่นอกมั่นใจใหม่ๆ เช่นนี้ หมายความว่าชาวจีนจำนวนมากผู้ซึ่งเคยแหงนหน้ามองไปที่ฝ่ายตะวันตกในฐานะเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจและไอเดียต่างๆ ตอนนี้กำลังมีความรู้สึกเพิ่มขึ้นทุกทีว่าพวกเขามีอะไรที่จะเรียนรู้น้อยลงไป—และกลับมีอะไรที่จะสอนเพิ่มมากขึ้น
“เป็นเวลา 18 ศตวรรษทีเดียว ที่จีนคือผู้นำของโลก มีเพียงใน 2 ศตวรรษหลังสุดนี้เท่านั้นที่จีนถูกยุโรปและฝ่ายตะวันตกทิ้งห่างเอาไว้ข้างหลัง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ด้วยการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อย่างยิ่งใหญ่ จีนก็กำลังกลายเป็นผู้นำอีกครั้งหนึ่ง” นี่เป็นความเห็นของ หวัง อี้เว่ย (Wang Yiwei) ผู้อำนวยการของสถาบันกิจการระหว่างประเทศ (Institute of International Affairs) แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมิน (Renmin University) ในปักกิ่ง “เรามีผู้คนจำนวนมากมายเหลือเกินที่ทำงานหนักเหลือเกิน ขณะเดียวกับที่ชาวยุโรปนั้น พวกเขาเอาแต่ชื่นชมกับเสรีภาพมากเกินไป กับช่วงวันหยุดยาวๆ ของพวกเขา คนยุโรปหนุ่มสาวกำลังเล่นสนุกกับศิลปะโพสต์โมเดิร์น ขณะที่พวกคนจีนหนุ่มสาวทำงานหนักอยู่ในห้องแล็บ”
ความสำเร็จของ ดีปซีค (DeepSeek) โมเดลเอไอของจีนเองซึ่งใช้พลังในการคำนวณน้อยกว่าพวกคู่แข่งขันชาวอเมริกันนักหนา – โดยที่ส่วนหนึ่ง มันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการที่จีนถูกจำกัดกีดกันการนำเข้าชิประดับท็อปเกรด—ได้รับการวาดภาพโหมประโคมจากพวกชนชั้นนำของจีนว่า มันคือเครื่องยืนยันประการหนึ่งถึงความถูกต้องแห่งการบริหารปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เฉกเช่นเดียวกับการปรากฏขึ้นมาอีกครั้งของฟากฟ้าสีครามสดสวยในกรุงปักกิ่งและเมืองใหญ่เมืองสำคัญแห่งอื่นๆ เมื่อมลพิษได้ลดน้อยลงแล้วอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้กันอย่างแพร่หลาย ตลอดจนมาตรฐานการปล่อยไอเสียอันเข้มงวดกวดขัน
“ปักกิ่งเคยเป็นที่รู้จักขึ้นชื่อในฐานะเป็นเมืองหลวงของหมอกควัน แต่ตอนนี้ตัวผมเองก็ยังรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยเมื่อผมสูดได้กลิ่นไอเสียดีเซลในเมืองใหญ่สักแห่งในอเมริกาหรือในยุโรป เพราะคุณไม่ได้กลิ่นแบบนี้อีกต่อไปแล้วเมื่ออยู่ริมถนนในประเทศจีน” เป็นคำพูดของ หม่า จิว์น (Ma Jun) ผู้อำนวยการของสถาบันกิจการสาธารณะและสิ่งแวดล้อม (Institute of Public and Environmental Affairs) ในกรุงปักกิ่ง “ผมหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถใช้เป็นตัวอย่างที่โน้มน้าวใจตัวอย่างหนึ่งให้แก่โลก”
(เก็บความจากเรื่อง A Newly Confident China Is Jockeying for More Global Clout as Trump Pulls Back by Yaroslav Trofimov , The Wall Street Journal. https://www.wsj.com/world/china/a-newly-confident-china-is-jockeying-for-more-global-clout-as-trump-pulls-back-5cc3be4e)
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO