2025 โลกเผชิญจุดเปราะบาง ภัยพิบัติถี่ นโยบายถอยหลัง พลังงานเปลี่ยนเกม
ปี 2025 กลายเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อของโลก เมื่อภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้นพร้อมกับการถอยหลังของนโยบายสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงใหม่อย่างดาต้าเซ็นเตอร์และ AI เพิ่มแรงกดดันต่อพลังงานและน้ำ แต่ท่ามกลางข่าวร้าย การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้ากลับเดินหน้าอย่างหยุดไม่อยู่ในหลายประเทศและหลายเมืองทั่วโลก
จากไฟป่าฤดูหนาวในลอสแอนเจลิส ไปจนถึงการขยายตัวไร้การควบคุมของดาต้าเซ็นเตอร์ นี่คือประเด็นใหญ่ด้านสภาพภูมิอากาศที่เราติดตามตลอดปี 2025
ปี 2025 เริ่มต้นได้ไม่ดีนัก ตลอดแทบทั้งเดือนมกราคม ไฟป่าหลายระลอกโหมกระหน่ำทั่วนครลอสแอนเจลิส คร่าชีวิตผู้คนไปหลายร้อยราย (ตัวเลขที่แท้จริงจะกล่าวถึงในภายหลัง) ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของประเทศ สหรัฐฯ เผชิญคลื่นอากาศอาร์กติกที่นำหิมะตกหนักเป็นประวัติการณ์และความหนาวจัดลึกลงไปถึงรัฐทางตอนใต้ จากนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ในวันที่ 20 มกราคม และเริ่มรื้อถอนความก้าวหน้าด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศที่สหรัฐฯ สร้างไว้ในยุคของโจ ไบเดน แทบจะในทันที
ตลอดช่วงที่เหลือของปี ซึ่งกำลังจะกลายเป็นปีที่ร้อนเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ได้เกิดเหตุการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศมากมาย ทั้งด้านบวกและด้านลบ ในหลายมิติ ปี 2025 จะถูกจดจำว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่ง ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและต่อมนุษยชาติ และนี่คือเหตุผล
พายุไฟกลืนกินลอสแอนเจลิส
ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม ไฟป่าได้ลุกลามต่อเนื่องหลายสัปดาห์ เผาผลาญพื้นที่กว่า 78 ตารางไมล์ทั่วลอสแอนเจลิส โดยมีลมแรงและพืชพรรณที่แห้งผิดปกติเป็นเชื้อเพลิง (เหตุการณ์นี้มีร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน) ไฟป่าทำลายอาคารมากกว่า 16,000 หลัง และบังคับให้ประชาชนกว่า 180,000 คนต้องอพยพ เนื่องจากไฟลุกลามผ่านย่านที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ความเสียหายทางเศรษฐกิจจึงถูกประเมินไว้ระหว่าง7.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ถึง 1.31 แสนล้านดอลลาร์
ไฟป่าครั้งนี้เป็น 1 ใน 14 เหตุภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายระดับ “พันล้านดอลลาร์” ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ตามข้อมูลของ Climate Central (และในเดือนพฤษภาคม รัฐบาลทรัมป์ประกาศว่ารัฐบาลกลางจะยุติการติดตามภัยพิบัติระดับพันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ)
ในทางการ ไฟป่าคร่าชีวิตผู้คนไป 30 ราย แต่ในปีนี้ นักวิจัยเริ่มเข้าใจผลกระทบของควันไฟต่อสุขภาพสาธารณะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยควันไฟทำให้อาการอย่างโรคหอบหืดและโรคหัวใจกำเริบรุนแรงขึ้น ในเดือนสิงหาคม นักวิทยาศาสตร์เผยแพร่การประเมินใหม่ของยอดผู้เสียชีวิตจากไฟป่าลอสแอนเจลิส โดยรวมการเสียชีวิตจากหมอกควันเข้าไปด้วย
ตัวเลขอยู่ที่ 440 ราย หรืออาจสูงกว่านั้น เดือนถัดมา นักวิจัยอีกกลุ่มประเมินว่า ควันไฟป่าคร่าชีวิตชาวอเมริกันแล้วประมาณ 40,000 คนต่อปี และอาจพุ่งขึ้นเป็น 71,000 คนภายในปี 2050 หากการปล่อยคาร์บอนของมนุษยชาติยังคงอยู่ในระดับสูง เปลวไฟโดยตรงจึงเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากไฟป่า
ทรัมป์เดินหน้าตัดกฎสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ลอสแอนเจลิสยังคงเผชิญไฟป่า โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 และเริ่มปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐ พร้อมยกเลิกกฎสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ การตัดงบประมาณอย่างหนักของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (EPA) อาจทำให้ชุมชนต่าง ๆ เปราะบางยิ่งขึ้นต่อภัยจากควันไฟป่า
ต่อมาในช่วงฤดูร้อน ทรัมป์ลงนามกฎหมายที่เรียกว่า One Big Beautiful Bill ซึ่งในหลายประเด็นได้รื้อถอนแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพียงหนึ่งเดียวของสหรัฐฯ ส่งผลให้เครดิตภาษีที่ประชาชนใช้เปลี่ยนบ้านสู่ระบบไฟฟ้าและชดเชยต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าถูกยกเลิก รวมถึงทำลายแหล่งเงินทุนที่ชนพื้นเมืองใช้พัฒนาโครงการพลังงานสะอาด
น้ำท่วมรุนแรงกลายเป็นความปกติใหม่
เช่นเดียวกับที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ไฟป่ารุนแรงขึ้น มันยังทำให้ฝนตกหนักจนก่อให้เกิดน้ำท่วมร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างน่าเศร้าในช่วงสุดสัปดาห์วันชาติสหรัฐฯ วันที่ 4 กรกฎาคม เมื่อเกิดน้ำท่วมฉับพลันในรัฐเท็กซัสตอนกลาง โดยเฉพาะในเคาน์ตีเคอร์ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 135 ราย
โดยหลักการแล้ว ยิ่งบรรยากาศอุ่นขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งกักเก็บไอน้ำได้มากขึ้นและปล่อยลงมาเป็นฝนในปริมาณมหาศาล สถานการณ์เลวร้ายลงอีกเมื่ออ่าวเม็กซิโกมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ส่งไอน้ำจำนวนมากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเหนือเท็กซัส ปัจจัยเดียวกันนี้ยังเป็นเชื้อเพลิงให้พายุรุนแรงทั่วภาคกลางและภาคใต้ของสหรัฐฯ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ผลกระทบดังกล่าวกำลังบังคับให้เกิดการทบทวนระบบรับมือภัยพิบัติ ไม่เพียงในเคาน์ตีเคอร์ แต่รวมถึงชุมชนเปราะบางทั่วสหรัฐฯ และทั่วโลก ที่กำลังดิ้นรนรับมือกับน้ำท่วมรุนแรง โดยนับตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน พายุและไซโคลนได้คร่าชีวิตผู้คนในเอเชียไปแล้วมากกว่า 1,750 ราย
ดาต้าเซ็นเตอร์ กลายเป็นภัยสิ่งแวดล้อมรูปแบบใหม่
ในปี 2025 ภัยพิบัติจากมนุษย์อีกประเภทหนึ่งได้รับความสนใจมากขึ้น นั่นคือ ดาต้าเซ็นเตอร์ เดือนกุมภาพันธ์ เรารายงานว่ารัฐจอร์เจียเข้าร่วมกับหลายรัฐในการยืดอายุโรงไฟฟ้าฟอสซิล เพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้ามหาศาลของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งรัฐบาลทรัมป์เองก็ผลักดันให้โรงไฟฟ้าเหล่านี้เดินเครื่องต่อ
การบูมของ AI ยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค โครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นดันราคาค่าไฟของครัวเรือนสูงขึ้น โดยเฉพาะในรัฐที่เป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรมนี้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมหนักหน่วงถึงขั้นที่ แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI เสนอในช่วงฤดูร้อนว่า ควรสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ
ดาต้าเซ็นเตอร์ยังสร้างวิกฤตน้ำ ในปี 2023 ทั่วสหรัฐฯ ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้น้ำโดยตรง 1.7 หมื่นล้านแกลลอน เพื่อระบายความร้อน แต่หากนับการใช้น้ำทางอ้อมจากการผลิตไฟฟ้าด้วยไอน้ำ ปริมาณน้ำที่ใช้สูงกว่านั้นมากกว่า 10 เท่า งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ในปีนี้ชี้ว่า อุตสาหกรรมสามารถลดการใช้น้ำและไฟฟ้าได้ หากสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่ที่มีพลังงานลมหรือแสงอาทิตย์อุดมสมบูรณ์ เช่น เวสต์เท็กซัส
โลกข้ามเส้นขีดจำกัดและจุดพลิกผัน
ปีนี้ นักวิทยาศาสตร์ส่งข่าวร้ายสองระลอก ทั้งการข้าม “จุดพลิกผัน” และการละเมิด “ขอบเขตของโลก” จุดพลิกผันคือช่วงที่ระบบโลกเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและมักย้อนกลับไม่ได้ ส่วนขอบเขตของโลกคือเกณฑ์ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมยังเอื้อต่อการดำรงชีวิต เปรียบเสมือนการขับรถที่จุดพลิกผันคือหน้าผา และขอบเขตของโลกคือป้ายเตือนก่อนถึงหน้าผา
ในเดือนกันยายน นักวิทยาศาสตร์ประกาศว่า ขอบเขตที่ 7 จากทั้งหมด 9 ขอบเขตถูกละเมิดแล้ว นั่นคือ การเป็นกรดของมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ประมาณ 25% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของมนุษยชาติถูกดูดซับโดยน้ำทะเลและก่อให้เกิดกรดคาร์บอนิก) ซึ่งรบกวนความสามารถของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก เช่น ปะการัง หอย และสัตว์เปลือกแข็ง ในการสร้างโครงสร้างเปลือก
และไม่ถึงเดือนถัดมา นักวิจัยอีกทีมประกาศว่า การเสื่อมถอยอย่างรวดเร็วของแนวปะการังได้ผลักโลกเข้าสู่จุดพลิกผันหลักครั้งแรก ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ปะการังมีชีวิตทั่วโลกหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากทั้งการเป็นกรดของมหาสมุทรและอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความเครียดเหล่านี้ทำให้ปะการังปล่อยสาหร่ายที่อยู่ร่วมกันซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว แม้แนวปะการังกำลังเข้าสู่จุดพลิกผัน นักวิทยาศาสตร์ยังคงเพาะเลี้ยงปะการังในห้องทดลอง เพื่อค้นหาสายพันธุ์ที่ทนความร้อนได้ดีกว่า
ประเทศต่าง ๆ ผ่อนคลายความรับผิดชอบบนเวที COP
แม้จะมีข่าวร้ายเกี่ยวกับจุดพลิกผันและขอบเขตของโลก ประเทศต่าง ๆ กลับไม่เพิ่มความทะเยอทะยานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ครบรอบ 10 ปีของความตกลงปารีส ซึ่งตั้งเป้าจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส หรือในอุดมคติคือ 1.5 องศาเซลเซียส การประชุม COP30 ของสหประชาชาติในเดือนพฤศจิกายนกลับไม่สามารถตกลงกันเรื่องการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้
ผลคือ โลกกำลังมุ่งสู่ภาวะโลกร้อนระหว่าง 2.3 ถึง 2.8 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ ตามการคำนวณของสหประชาชาติ ทุกเศษเสี้ยวขององศาหมายถึงผลกระทบที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งน้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคลื่นความร้อนสุดขั้ว
ฤดูเฮอริเคนจบลงโดยไม่มีพายุขึ้นฝั่งสหรัฐฯ
ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา นักพยากรณ์คาดการณ์ว่า อุณหภูมิน้ำทะเลแอตแลนติกที่สูงจะทำให้ฤดูเฮอริเคนรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ย โดยอาจมีพายุมีชื่อราว 10 ลูก แต่เมื่อฤดูร้อนผ่านไป พายุที่ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่แผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ กลับหันออกสู่ทะเล ฤดูเฮอริเคนสิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน โดยไม่มีพายุลูกใดขึ้นฝั่งสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ จากลักษณะบรรยากาศเฉพาะเหนือภาคตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม แคริบเบียนกลับเผชิญความเสียหายหนัก ปลายเดือนตุลาคม เฮอริเคนเมลิสซา ซึ่งทวีความรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถล่มจาเมกา คิวบา เฮติ และสาธารณรัฐโดมินิกัน ด้วยอุณหภูมิน้ำทะเลที่ร้อนจัด ความเร็วลมสูงสุดของพายุเพิ่มจาก 70 ไมล์ต่อชั่วโมง เป็น 140 ไมล์ต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 18 ชั่วโมง แม้สหรัฐฯ จะรอดพ้นการขึ้นฝั่งในปีนี้ แต่ไซโคลนเขตร้อนจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออุณหภูมิมหาสมุทรสูงขึ้น และปีนี้เป็นเพียงปีที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่มีเฮอริเคนระดับ 5 มากกว่า 3 ลูก
การรับมือสภาพภูมิอากาศยังเดินหน้าอย่างหยุดไม่อยู่
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2026 หลายคนอาจรู้สึกสิ้นหวัง สิ่งแวดล้อมกำลังรับภาระหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรัฐบาลทรัมป์ยังคงต่อต้านการดำเนินการด้านนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกจำนวนมากกำลังเกิดขึ้น และจะช่วยปรับปรุงสุขภาพประชาชนและลดการปล่อยก๊าซ ไม่ว่ารัฐบาลกลางจะตัดสินใจอย่างไร
ตัวอย่างหนึ่งคือ จุดพลิกผันเชิงบวกที่กำลังเกิดขึ้นจากแรงจูงใจในระดับท้องถิ่นและนโยบายระดับชาติในประเทศอื่น รายงานเดือนตุลาคมระบุว่า สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในออสโล นอร์เวย์ เพิ่มจาก 13.6% เป็น 95.8% ภายในเวลาเพียงทศวรรษเดียว แผงโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงจนการลงทุนพลังงานหมุนเวียนคุ้มค่ากว่าการสร้างโครงสร้างพื้นฐานฟอสซิลเพิ่มเติม
พลังงานหมุนเวียนจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก รายงานใหม่พบว่า พลังงานลมและแสงอาทิตย์สามารถรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโลกได้ทั้งหมด และในครึ่งแรกของปี 2025 พลังงานหมุนเวียนผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าถ่านหินเป็นครั้งแรก ผู้นำเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตในแอฟริกายังร่วมกันวางยุทธศาสตร์เพื่อก้าวสู่การเป็นทวีปแห่งโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศ
ขณะเดียวกัน เมื่อรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ไม่ขยับ รัฐและเมืองต่าง ๆ กลับเพิ่มความทะเยอทะยาน ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซของตนเอง ควบคุมสาธารณูปโภค ขยายระบบขนส่งสาธารณะ และออกมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงาน แม้ปี 2025 จะเป็นปีที่น่าวิตกทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปี 2026 จะไร้ความหวัง