โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ปิดฉาก 5 ปี! ศาลกัมพูชา สั่งยุติสอบสวนคดีอุ้มหาย วันเฉลิม

สยามนิวส์

เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • ทีมข่าวสยามนิวส์
วันที่ 24 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิประสานวัฒนธรรม Cross Cultural Foundation (CrCF) เปิดเผยความคืบหน้าคดีการบังคับสูญหายนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวและผู้ลี้ภัยทางการเมือง หลังศาลแขวงกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มีคำสั่งแจ้งการสิ้นสุดการสอบสวนในคดีดังกล่าว

วันที่ 24 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิประสานวัฒนธรรม Cross Cultural Foundation (CrCF) เปิดเผยความคืบหน้าคดีการบังคับสูญหายนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวและผู้ลี้ภัยทางการเมือง หลังศาลแขวงกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มีคำสั่งแจ้งการสิ้นสุดการสอบสวนในคดีดังกล่าว

มูลนิธิประสานวัฒนธรรม ระบุว่า น.ส. สิตานันท์ สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของนายวันเฉลิม ในฐานะผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้รับการแจ้งจากทนายความชาวกัมพูชาว่า ศาลแขวงกรุงพนมเปญได้ออกหมายแจ้งการสิ้นสุดการสอบสวน ลงวันที่ 17 ธันวาคม โดยมีผู้พิพากษาไต่สวนเป็นผู้ลงนาม เนื้อหาในหมายระบุว่า การไต่สวนในข้อหาการจับกุมและกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการครอบครองอาวุธโดยผิดกฎหมาย ได้สิ้นสุดลงแล้ว

การส่งหมายแจ้งความคืบหน้าดังกล่าว นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งแรกของคดี นับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่ น.ส. สิตานัน ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อให้การด้วยวาจา และยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายวันเฉลิม รวมจำนวน 177 หน้า ต่อศาลกรุงพนมเปญ หลังได้รับหมายเรียกครั้งที่ 2

สำหรับคดีนี้ เป็นคดีอาญาหมายเลข 4832 กรณีที่นายวันเฉลิมถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธบังคับขึ้นรถยนต์และหายตัวไป เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 บริเวณหน้าแม่โขงการ์เดนส์ คอนโดมิเนียม กลางกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของนายวันเฉลิม โดยมีพฤติการณ์ใช้กำลัง ใช้อาวุธ และบังคับให้ขึ้นรถตู้สีดำออกจากพื้นที่ ก่อนจะขาดการติดต่อ และจนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับชะตากรรมของเขา

มูลนิธิประสานวัฒนธรรม ระบุเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวสัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ร่วมกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน รวมถึงองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีของนายวันเฉลิมอย่างรอบด้านและโปร่งใส แม้จะมีหลักฐานสำคัญจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์การอุ้มหาย รวมถึงพยานบุคคลในที่เกิดเหตุ แต่ทางการกัมพูชายังไม่สามารถดำเนินการสอบสวนเพื่อนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ อีกทั้งยังยุติการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของนายวันเฉลิม การดำเนินการดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศกัมพูชาเอง ในฐานะรัฐที่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลภายในอาณาเขต และไม่สามารถรับประกันกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพได้

คำสั่งศาลกัมพูชาในวันนี้แสดงให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชาเลือกที่จะเมินหน้าหนีการแสวงหาความจริงที่เกิดขึ้นอย่างอิสระ โปร่งใส และอำนวยความยุติธรรมต่อทุกคนในรัฐอย่างเท่าเทียมกัน ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราพยายามให้เบาะแส เดินทางไปพนมเปญ และร้องต่อเจ้าหน้าที่ทุกระดับเพื่อให้ตามหาวันเฉลิม การได้รับเอกสารที่ระบุว่าการสอบสวนสิ้นสุดลงแล้ว โดยที่ไม่มีการระบุตัวผู้ต้องสงสัยเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวของกฎหมาย แต่มันคือการดูหมิ่นผู้ถูกบังคับสูญหาย และครอบครัวที่ยังรอคอย สำนวนคดีอาจถูกปิดลงได้ แต่ชีวิตคนหนึ่งคนจะถูกลืมไม่ได้ เราจะเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรมผ่านทุกช่องทางที่มี จนกว่าเราจะทราบชะตากรรมของต้าร์ และผู้กระทำความผิดจะได้รับโทษ การตามหาของพวกเราจะไม่มีวันสิ้นสุดลงเพียงเพราะคำสั่งศาลฉบับเดียว น.ส. สิตานัน กล่าว

ด้าน น.ส. ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข รองผู้อำนวยการมูลนิธิประสานวัฒนธรรม ระบุว่า การยุติการสอบสวนโดยไม่เปิดเผยขั้นตอนกระบวนการต่อครอบครัวหรือทนายความ รวมถึงการไม่ระบุผู้กระทำความผิด และการไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเรื่องการบังคับสูญหาย สะท้อนให้เห็นว่าระบบยุติธรรมของกัมพูชากำลังเอื้อให้ผู้กระทำผิดลอยนวล โดยเฉพาะในกรณีที่เข้าข่ายการปราบปรามข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และทำให้ครอบครัวผู้สูญหายต้องเผชิญกับการรอคอยอย่างไร้คำตอบ

มูลนิธิประสานวัฒนธรรม ระบุอีกว่า ประเทศกัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้สูญหาย (ICPPED) ตั้งแต่ปี 2556 ส่งผลให้มีพันธกรณีตามอนุสัญญาดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 คณะกรรมการว่าด้วยการสูญหายโดยถูกบังคับ (CED) ได้จัดทำข้อสังเกตเชิงสรุป CED/C/KHM/CO/1 ถึงรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งแสดงความกังวลต่อกรอบกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอในการรับประกันว่ากรณีการบังคับสูญหายจะได้รับการสอบสวนโดยอัตโนมัติจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างทันท่วงทีและรอบด้าน แม้ไม่มีการยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการ รวมถึงการคุ้มครองสิทธิของครอบครัวผู้สูญหายให้มีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง ดังที่สะท้อนผ่านกรณีของนายวันเฉลิม ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีที่อยู่ภายใต้กระบวนการเร่งด่วนของคณะกรรมการ CED ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการจึงเสนอให้กัมพูชาเร่งค้นหานายวันเฉลิม และดำเนินการสอบสวนคดีอย่างจริงจัง ทันท่วงที รอบด้าน มีประสิทธิภาพ และเป็นกลาง

ทั้งนี้ การบังคับสูญหายไม่ได้เป็นเพียงการทำให้บุคคลที่เห็นต่างจากรัฐหายไปเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อครอบครัว โดยเฉพาะในด้านจิตใจ จากการไม่อาจรับรู้ชะตากรรมของผู้เป็นที่รัก เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวบุคคลและพฤติการณ์การกระทำถูกลบเลือน โอกาสในการเยียวยาทางจิตใจจากการรับรู้ความจริงและการนำผู้กระทำผิดมารับโทษยิ่งลดน้อยลง นอกจากนี้ การบังคับสูญหายยังถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสังคมในวงกว้าง ผ่านการสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวต่อการวิพากษ์วิจารณ์หรือการตั้งคำถามต่อรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น กรณีการบังคับสูญหายนายวันเฉลิม ยังอาจสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างรัฐในการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง หรือการปราบปรามข้ามชาติ จากข้อเท็จจริงที่ว่านายวันเฉลิมลี้ภัยไปยังประเทศกัมพูชา แต่กลับถูกบังคับสูญหายในประเทศปลายทาง ขณะที่รัฐบาลกัมพูชายังคงนิ่งเฉยและปฏิเสธต่อการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้น จนกระทั่งมีคำสั่งยุติการสอบสวนโดยศาลกัมพูชาในที่สุด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...