โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

SMEs-การเกษตร

แค็กตัส ไม้ประดับจัดสวน ปลูกก็สวย ปลูกขายก็ทำเงิน

เทคโนโลยีชาวบ้าน

อัพเดต 27 พ.ค. 2565 เวลา 07.42 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. 2565 เวลา 21.00 น.

ถึงแม้รูปร่างจะมีหนามแหลมคมอยู่รอบตัว แต่ไม้ดอกไม้ประดับที่เรารู้จักและเรียกขานกันว่า แค็กตัส หรือกระบองเพชร ได้กลายมาเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่มีการเพาะเลี้ยงปลูกจำหน่ายทำเป็นธุรกิจ ยึดทำเป็นอาชีพหลักและเสริม สร้างรายได้ปีละหลายล้านบาท

เอกลักษณ์และความโดดเด่นของทรงต้น บวกกับความแปลกของหนามที่มีลวดลายและลักษณะของสีดอก ขนาดรูปร่าง ทรงต้น ที่แตกต่างกัน ทำให้แค็กตัสกลายเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่ได้รับความนิยมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งบรรดาเหล่านักสะสมต้นไม้ได้รวบรวมเก็บสะสมและปลูกไว้ดูเล่น ตลอดจนนำมาตกแต่งเพิ่มสีสันให้กับสวนในบ้านหรือหน่วยงานต่างๆ

การปลูกเลี้ยงแค็กตัสเป็นสิ่งที่หลายคนต้องกังวล และจะตั้งคำถามว่าจะดูแลอย่างไรไม่ให้รากเน่า ปลูกอย่างไรให้เห็นดอกเร็ว รวมถึงแนวทางหรือคำแนะนำที่จะทำเป็นธุรกิจต้องเริ่มอย่างไร วันนี้เราจะพาผู้อ่านไปไขข้อสงสัยพร้อมกัน กับ อาจารย์วีรวุฒิ มุตโตเพลง อดีตข้าราชการครูเกษตร แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตบางพระ

ยึดหลักเศรษฐศาสตร์ เพื่อการผลิตพืช

อาจารย์วีรวุฒิ อดีตเป็นครูสอนเกษตร คลุกคลีกับอาชีพข้าราชการครูเกษตรมากว่า 45 ปี ตลอดระยะเวลาที่รับบทบาทครูซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้คนได้มีความรู้ในด้านเกษตรนั้น อาจารย์วีรวุฒิก็เป็นคนที่ชอบงานค้าขาย อะไรที่สร้างรายได้ ทำแล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อนและไม่ผิดต่อหน้าที่ข้าราชการ จะทำทุกอย่าง จึงหันมาเพาะปลูกต้นไม้จำหน่ายควบคู่กันไป

“ด้วยความที่ผมก็เป็นครูสอนเศรษฐศาสตร์เกษตร หลักการตลาดจึงเป็นแนวทางที่ทำให้ผมเลือกที่ผลิตต้นไม้ที่ตลาดต้องการ ซึ่งพืชตัวแรกที่จับคือ โป๊ยเซียน เป็นไม้ที่ได้กระแสการตอบรับดีในช่วงนั้น แต่ไม้ดอกไม้ประดับมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา จากโป๊ยเซียนก็เปลี่ยนมาเพาะปลูกโกสน ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แต่ก็ทำมาได้ประมาณ 6 เดือน ไม้ทั้งสองชนิดตลาดเริ่มมีความต้องการน้อยลง จึงได้ทำการปรับเปลี่ยนพืชปลูกอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นไม้ตระกูลว่าน ขึ้นเขาลงห้วยไปหามาเพาะขยายพันธุ์จำหน่าย”

กระแสไม้ดอกไม้ประดับที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง มีไม้ใหม่ออกมาสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบกับไม้ดอกไม้ประดับที่อาจารย์วีรวุฒิผลิตจำหน่าย แต่ด้วยหัวใจที่เป็นพ่อค้า บวกกับความกล้าที่จะเปิดรับและทดลองสิ่งใหม่ๆ ที่มีคนแนะนำมาทดลองและทดลองลงมือทำ

“การได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้กัน เป็นสิ่งที่ผมกับเพื่อนและลูกศิษย์ทำอยู่เป็นประจำ ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งมีลูกศิษย์ที่ปลูกเลี้ยงแค็กตัสมาเที่ยวหา และด้วยความที่เราเป็นคนที่มีความสนใจเกี่ยวกับแค็กตัสอยู่แล้วก็ได้สอบถามเกี่ยวกับการปลูกเลี้ยง กระแสตลาดในช่วงนี้เป็นอย่างไร ซึ่งลูกศิษย์ก็ได้ให้คำแนะนำและชวนไปชมฟาร์มแถวอำเภอดำเนินสะดวก

ก้าวแรกที่ผมเดินลงไป เราไม่ได้มองเพียงความสวยงามของต้นไม้เพียงอย่างเดียว เรามองสิ่งแวดล้อม ลูกค้าที่เข้ามาซื้อแต่ละคนไม่ใช่บุคคลธรรมดาหรือชาวบ้านทั่วไป แต่ละคนมีการแต่งตัวที่ค่อนข้างจะมีกำลังซื้อที่สูง ทำให้เรามองเห็นว่าไม้ดอกไม้ประดับชนิดนี้เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังทรัพย์มากพอ”

หลังจากการไปชมฟาร์มมาในวันนั้น ทุกๆ วันอาจารย์วีรวุฒิก็เริ่มออกไปดูตามฟาร์มต่างๆ ตามคำแนะนำ ซึ่งการได้ไปดูสถานที่จริงทำให้ได้เห็นสภาพฟาร์ม ความสวยงามของต้นไม้แต่ละต้น ทำให้กลายเป็นแรงผลักดันที่จะกลับมาเริ่มศึกษาถึงที่มาที่ไป วิธีการเพาะเลี้ยงอย่างจริงจัง เลือกวัสดุปลูกให้เหมาะสม การดูแลรักษาในแต่ละช่วงอายุ ตลอดจนการเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนที่ทำการเพาะขยายพันธุ์

“ทำการเพาะขยายพันธุ์ครั้งแรกๆ ต้นเน่าตาย ปลูกอย่างไรก็ไม่ขึ้น แต่เราเป็นคนที่ทำอะไรจะจริงจัง ไม่หยุดเมื่อเกิดปัญหา ศึกษาเพิ่มเติม เดินทางไปทั่วประเทศศึกษาอย่างจริงจังอีกครั้ง ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี กว่าจะมาจับทางถูก พูดง่ายๆ ว่า วันนี้หยิบต้นแค็กตัสโยนลงไปที่พื้นดินก็ยังขึ้น”

จับทางถูก ต่อยอดทำธุรกิจ

อาจารย์วีรวุฒิเริ่มเก็บสะสมแค็กตัสจากหลายแหล่งมารวบรวมไว้ และเริ่มทำการเพาะขยายพันธุ์ ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา อาจารย์วีรวุฒิไม่ได้ทำเพียงคนเดียว ได้มีหุ้นส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยตกลงให้อาจารย์วีรวุฒิเป็นคนลงแรง ลงความรู้ ลงมือทำ ได้เงินเดือนเป็นค่าตอบแทน ส่วนหุ้นส่วนเป็นผู้ลงทุน หาพื้นที่ ขายได้มาก็จ่ายเป็นเงินเดือนให้กับอาจารย์วีรวุฒิเป็นค่าตอบแทน

ระยะเวลาเพียง 6 ปี ที่ก่อสร้างธุรกิจเพาะปลูกแค็กตัสกับหุ้นส่วน สามารถขยายการผลิตมีโรงเรือนเพิ่มขึ้น จาก 1 โรง เป็น 5 โรง มีสื่อต่างๆ เข้ามาติดต่อทำข่าวมากมาย ซึ่งเฉลี่ยๆ ทำรายได้ปีละกว่า 10 ล้านบาท แต่ทั้งหมดไม่ได้เป็นของคุณวีรวุฒิเอง

จนกระทั่งหุ้นส่วนเสียชีวิตลง อาจารย์วีรวุฒิก็ตัดสินใจเกษียณอายุตัวเองและนำเงินที่เก็บสะสมมาสร้างธุรกิจเพาะเลี้ยงแค็กตัสอยู่บริเวณบ้านของตัวเอง

“เนื้อที่รอบบ้าน 96 ตารางวา ทุกตารางนิ้วผมใช้พื้นที่ที่มีอยู่น้อยที่สุด ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งจะเห็นว่าพื้นที่ทั้งหมดจะสร้างชั้นวางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยจะยกสูงจากพื้นประมาณ 70-80 เซนติเมตร เพื่อใช้วางต้นแค็กตัสที่แยกลงกระถางรอจำหน่าย

ส่วนด้านบนโรงเรือนจะยกเสาสูงมุงด้วยแผ่นโพลีคาร์บอเนต โปร่งแสง เพื่อให้แสงส่องผ่านถึงและให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก”

ระหว่างที่อาจารย์วีรวุฒิทำการศึกษาและเพาะขยายพันธุ์แค็กตัสอยู่นั้น ก็ได้รับเอาต้นแค็กตัสจากสวนเกษตรกรที่เพาะปลูกจำหน่ายมาขายตามตลาดนัด ทำให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับผู้ซื้อ เป็นการกระตุ้นให้ต้องหาคำตอบมาเพื่อตอบลูกค้า ซึ่งแต่ละวันจะมีคำถามเข้ามาหลากหลายรูปแบบ ในขณะเดียวกัน ต้นแค็กตัสที่ขายออกไม่ได้ มีปริมาณเหลือ ก็จะเก็บสะสมทำการเพาะขยายพันธุ์ โดยยึดลูกค้าที่มาซื้อว่าต้องการสายพันธุ์ไหน ลักษณะอย่างไรที่ลูกค้าต้องการ เพื่อผลิตจำหน่ายควบคู่กับการรับจากสวนอีกทางหนึ่ง

จากประสบการณ์ที่ทำมากว่า 6 ปี และประสบการณ์ที่ได้รับจากลูกค้า ทำให้มีความชำนาญมากพอ ต้นไม้ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องก็นำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ ทำการเพาะขยายพันธุ์ ทำให้ปัจจุบัน ต้นไม้กว่า 10,000 ต้น เป็นต้นไม้ที่ผลิตออกจากสวนตัวเองทั้งหมด

“จากที่เราเคยซื้อเขามา ตอนนี้เขาต้องมาซื้อเราแทน เพราะเนื่องจากเรามีพันธุ์ที่หลากหลายจากหลายแหล่งมารวมอยู่ที่เรา อีกทั้งเรามีวิธีการเพาะขยายพันธุ์ที่รวดเร็วและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการตัดทำลายยอดเพื่อกระตุ้นให้แตกยอดใหม่ขึ้นมา การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การเพาะเมล็ด การนำมาต่อยอดหรือการกราฟติ้ง ซึ่งวิธีการเพาะขยายพันธุ์ด้วยวิธีเหล่านี้ สามารถช่วยเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วและหลากหลาย แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าคนที่ทำการขยายพันธุ์จะต้องมีความชำนาญและความรู้”

เลี้ยงอย่างถูกวิธี มีผลผลิตออกตลาดตลอดปี

สำหรับมือใหม่หัดขับ อาจารย์วีรวุฒิ แนะนำว่า อันดับแรก จะต้องเลือกดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ผสมกับทรายน้ำจืดที่ผ่านการร่อน อัตราส่วน 60 : 40 เพิ่มความโปร่งให้กับวัสดุปลูก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสวยงาม ดึงดูดลูกค้าได้ (แต่หากต้นไหนที่ต้องการทำเป็นพ่อแม่พันธุ์ก็ให้เพิ่มปริมาณเนื้อดินให้เพิ่มขึ้น เพราะพืชต้องอยู่ในกระถางนานกว่าปกติ ส่วนต้นไหนที่ปลูกเพื่อจำหน่ายก็ให้ลดปริมาณดินและเพิ่มเนื้อทรายเข้าไป)

“โดยทั่วไปแค็กตัสเป็นไม้ที่ชอบน้ำ หากเราให้น้ำในปริมาณมาก ต้นก็จะดูดนำไปใช้มาก ซึ่งจะส่งผลทำให้ผนังเซลล์แตก เชื้อโรคที่มีอยู่ก็เข้าทำลายได้ง่าย ดังนั้น ภายในกระถางปลูกจะต้องระบายน้ำได้ดี

ซึ่งภายในกระถางปลูกจะรองก้นกระถางด้วยถ่าน ขุยมะพร้าวสับ อิฐมอญ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) จากนั้นก็ใช้ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มีธาตุอาหารมากผสมกับทรายน้ำจืดกลบทับอีกชั้นหนึ่ง

ส่วนการให้น้ำ ต้องคำนึงถึงวัสดุที่ใช้ปลูก โดยสังเกตจากน้ำหนักกระถาง หากมีน้ำหนักมากอยู่แสดงว่ายังมีปริมาณความชื้น ไม่จำเป็นต้องให้น้ำอีกเพราะเนื่องจากแค็กตัสสามารถดูดซับเอาความชื้นจากอากาศมาใช้หล่อเลี้ยงตัวเองได้ แต่หากกระถางน้ำหนักเบา ก็ให้รด 3 วัน 1 ครั้ง แต่หากจะให้แน่ใจให้ดูว่าดินที่ใช้ปลูกมีส่วนผสมของอะไรอยู่บ้าง ในอัตราส่วนเท่าไร สภาพภูมิอากาศ ฤดูกาล เป็นอย่างไร มีความเหมาะสมที่จะให้น้ำหรือไม่ให้ ซึ่งผู้ปลูกจะต้องมีความชำนาญ”

ปัญหาที่มือใหม่หัดขับเจอและไม่อยากที่จะทำ คือการเปลี่ยนกระถางใหม่ รูปร่างที่มีหนามอยู่รอบตัว การเปลี่ยนกระถางแต่ละครั้งต้องพบกับการบาดเจ็บ เลือดตกยางออก เนื่องจากความที่ไม่รู้เทคนิคการเปลี่ยนที่ไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บตัว วันนี้ ปัญหานั้นจะไม่มีอีกแล้ว ซึ่งอาจารย์วีรวุฒิได้แนะนำเทคนิคการเปลี่ยนกระถางแบบง่ายสำหรับมือใหม่คือ ให้ใช้ผ้าพันที่ต้นหรือส่วนที่มีหนาม ซึ่งจะมีลักษณะรูปทรงอยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ กลมแป้น บอลลูน ทรงสูง จากนั้นยกออกจากกระถาง ล้างรากด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง ตัดแต่งรากให้สวยงาม เพียงเท่านี้ก็นำไปลงในกระถางใหม่ที่เตรียมไว้ เท่านี้แค็กตัสก็จะได้บ้านหลังใหม่โดยที่ไม่บอบช้ำและเราก็ไม่เจ็บตัว

ณ วันนี้ ฟาร์มแค็กตัสของอาจารย์วีรวุฒิ มีแค็กตัสหลากหลายสายพันธุ์ มีทุกขนาด ราคาจำหน่ายตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักหมื่น ทำรายได้ปีละแสนบาท ทุกพื้นที่ที่ว่างบริเวณบ้านถูกดัดแปลงใช้เป็นสถานที่ผลิตเกือบทุกซองทุกมุมบ้าน

“การทำธุรกิจปลูกแค็กตัสเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ต้องดูแลเหมือนไม้อื่นๆ จะไปต่างจังหวัด 3-4 วัน โดยที่ไม่มีคนดูแล ให้น้ำ พวกเขาเหล่านี้ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้ โดยที่ไม่เหี่ยวไม่ตาย”

ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อทำธุรกิจซื้อ-ขายต้นแค็กตัส สามารถติดต่อได้ที่ บ้านเลขที่ 163/190 หมู่บ้านณัฎธรียา อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี อาจารย์วีรวุฒิ มุตโตเพลง โทรศัพท์ 081-868-3688

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกวันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2564

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...