โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

’กสศ‘ เผย รายงานความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในปี 68 พบ เด็กนอกระบบการศึกษามีแนวโน้มลดลง

The Reporters

อัพเดต 06 ก.พ. เวลา 10.54 น. • เผยแพร่ 06 ก.พ. เวลา 10.54 น.

เตรียม เสนอสร้างระบบหลักประกันโอกาสการศึกษา ใช้บัตรประชาชนใบเดียวเรียนได้ไร้รอยต่อ ตั้งแต่ปฐมวัยถึงมีงานทำ

วันนี้ (6 ก.พ. 68) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดโครงการ Equity forum 2025 การสัมมนาทางวิชาการเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาประจำปี 2568 “Sustainable System Change for Equitable Education in Thailand” ประเทศไทยกับการแก้ปัญหาเชิงระบบเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ในหัวข้อ “สถานการณ์ และข้อค้นพบที่ส่งผลต่อการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และมุมมองนโยบายทิศทางความเสมอภาคทางการศึกษาของประเทศไทยในปี 2568”

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ในปีการศึกษา 2567 ประเทศไทยมีนักเรียนยากจนพิเศษระดับอนุบาล-มัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 1,348,735 คน โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุด อันดับหนึ่งคือ จ.แม่ฮ่องสอน อันดับสองคือ จ.นราธิวาส และที่เหลือพบว่าส่วนใหญ่มีการกระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษ ปีการศึกษา 2567 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1,133 บาท/คน/เดือน หรือเฉลี่ยวันละ 37 บาท เมื่อเทียบกับปีการศึกษา 2566 ที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1,039 บาท/คน/เดือน หรือเฉลี่ยวันละ 34 บาท และจากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านโดยครูมากกว่า 400,000 คนทั่วประเทศพบสถานการณ์ความเปราะบางของครัวเรือนยากจนพิเศษในหลายมิติ เช่น มีนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.77% ที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่อพยพย้ายถิ่นไปทำงานในเมือง หรือครอบครัวแหว่งกลาง และยังพบว่าสมาชิกในครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิง อาทิ มีผู้สูงอายุในครัวเรือน 44.43% มีคนว่างงานในครัวเรือน 27.3% มีคนพิการเจ็บป่วยเรื้อรังในครัวเรือน 12.41%

จากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านโดยครูมากกว่า 400,000 คนทั่วประเทศพบสถานการณ์ความเปราะบางของครัวเรือนยากจนพิเศษในหลายมิติ เช่น มีนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.77% ที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่อพยพย้ายถิ่นไปทำงานในเมืองหรือครอบครัวแหว่งกลาง และยังพบว่าสมาชิกในครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิง อาทิ มีผู้สูงอายุในครัวเรือน 44.43% มีคนว่างงานในครัวเรือน 27.3% มีคนพิการเจ็บป่วยเรื้อรังในครัวเรือน 12.41%

อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างสำคัญในเส้นทางการศึกษาของเด็กกลุ่มนี้ เช่น 1.ในปีการศึกษา 2567 มีนักเรียนยากจน และนักเรียนยากจนพิเศษ จำนวนเพียง 22,345 คน จากนักเรียนทั้งหมด 165,585 คน หรือคิดเป็น 13.49% เท่านั้น ที่สามารถคงอยู่ในระบบการศึกษาจนสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาของประชากรไทยกว่า 2 เท่า

2.มีนักเรียนที่ครัวเรือนมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน อีกประมาณ 1.1 ล้านคน ยังไม่ได้รับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่หน่วยงานระดับนโยบาย หน่วยจัดสรรงบประมาณ และหน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษา ควรร่วมกันพัฒนามาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาในช่วงวัยสำคัญ

3.นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือในมิติทางเศรษฐกิจแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการส่งเสริมสภาพความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตที่มีความท้าทายและสนับสนุนการดูแลช่วยเหลือในมิติอื่น ๆ เพื่อไม่ให้ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อการคงอยู่ในระบบการศึกษา

สำหรับสถานการณ์เด็กเยาวชนนอกระบบ ในปี 2567 จากการเชื่อมโยงข้อมูลเด็กและเยาวชนที่อายุ 3-18 ปี ระหว่างระบบสารสนเทศของสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กับ สำนักทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทย พบว่า มีเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 3-18 ปี (เกิดระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2550 - 31 ธันวาคม 2564 ) ที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 982,304 คน ซึ่งลดลงจากปีการศึกษาก่อนหน้าที่มีอยู่จำนวน 1.02 ล้านคน

ดร.ไกรยส กล่าวต่อว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่หน่วยงานต้นสังกัดทางการศึกษาต่างๆ สามารถพาเด็กเยาวชนมากกว่า 304,082 กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีเด็กเยาวชนที่ยังคงไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 590,557 คน และมีเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษากลุ่มใหม่ จำนวน 391,747 คน ในจำนวนนี้อยู่ในช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับ จำนวน 387,591 คน คิดเป็น 39.46% ของเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษาทั้งหมด (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567)

อีกทั้ง จากการปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่หลุดจากระบบซ้ำ พบว่า การสร้างพื้นที่ปลอดภัยต่อการเรียนรู้และเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ เป็นทางออกสำคัญของเรื่องนี้ ทั้งในมิติการป้องกันและช่วยเหลือ การส่งเสริม สนับสนุนให้ท้องถิ่นทุกระดับเห็นความสำคัญ เป็นแกนนำและทำหน้าที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนโดยมีเด็ก เยาวชนเป็นศูนย์กลาง มีข้อบัญญัติของท้องถิ่นที่แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน และจัดสรรงบประมาณ และกำลังคนรับผิดชอบต่อเนื่อง ไร้รอยต่อทางการเมืองจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การป้องกัน และแก้ปัญหาเด็กเยาวชนอกระบบเกิดขึ้นจริงได้

ทั้งนี้ กสศ. ยังได้เสนอนโยบาย 2 ประเด็นสำคัญได้แก่ 1.การสร้างระบบหลักประกันโอกาสการศึกษา ให้เด็กเยาวชนตลอด 20 ปี จากปฐมวัยถึงมีงานทำ ผ่านการบูรณาการข้อมูลรายบุคคลระหว่าง 11 หน่วยงาน 2.ยกระดับบัตรประจำตัวประชาชนของเด็กเยาวชนทุกคนให้เป็น Learning Passport สำหรับการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย โดยรัฐสามารถจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลตรงไปยังเลข 13 หลักของเด็กเยาวชนโดยตรง โดยเฉพาะผู้อาศัยอยู่กับครัวเรือนยากจน และเปราะบาง เพื่อให้เด็กเยาวชนสามารถเลือกศึกษาต่อ และเรียนรู้ผ่านการศึกษาทั้ง 3 ระบบ ผ่านหน่วยจัดการเรียนรู้ทั้งของภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชนได้อย่างยืดหยุ่น และหลากหลายตามความถนัด และศักยภาพของเด็กเยาวชนเป็นรายบุคคล รวมทั้งสามารถถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างการศึกษาทั้ง 3 ระบบเพื่อใช้ในการศึกษาต่อ และการสมัครงานได้ในอนาคตได้

ด้าน รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) และคณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากงานวิจัยที่ร่วมมือกับ กสศ. และ OECD ที่ประเมินสมรรถนะผู้เรียนตามมาตรฐานสากลเพื่อการพัฒนาสถานศึกษา หรือ PISA for Schools โดยสำรวจและประเมินสมรรถนะแบบ PISA ในสถานศึกษา 150 แห่ง จาก 16 จังหวัด มีข้อค้นพบที่สำคัญคือ นักเรียนที่มีระดับคะแนนผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในระดับชั้น ป.6 ที่ดี จะมีแนวโน้มที่จะมีคะแนนสมรรถนะของ PISA สูงเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ความเหลื่อมล้ำในผลลัพธ์การเรียนรู้ที่พบจากผลการทดสอบ PISA ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่แท้จริงแล้ว เป็นเสมือนการขาดทุนที่สะสมมาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาหรือระดับปฐมวัย

ดังนั้น การส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีคะแนน PISA ที่ดีขึ้นในอนาคต จึงควรเริ่มต้นจากมาตรการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เสมอภาคตั้งแต่การศึกษาระดับประถมศึกษา และอาศัยเครื่องมือประเมินผลอย่าง O-NET ในการลดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษาระหว่างสถานศึกษาในระยะยาว

นางจูสตีน ซาส หัวหน้าฝ่ายการศึกษาเพื่อความครอบคลุมและความเท่าเทียมทางเพศ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก ณ กรุงปารีส เผยว่า จากรายงานระดับโลก The Price of Inaction: The global private, fiscal and social costs of children not learning. หรือ ต้นทุนของการเพิกเฉย (The Price of Inaction) : ต้นทุนทางเศรษฐกิจ สังคม และภาครัฐจากการที่เด็กไม่ได้รับการศึกษา โดยระบุว่า หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ภายในปี ค.ศ. 2030 ต้นทุนทางสังคมของเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดและเด็กที่มีทักษะต่ำกว่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ ตัวเลขเหล่านี้คิดเป็นมูลค่ามหาศาล ตัวเลข 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ มีมูลค่ามากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รายปีของฝรั่งเศส และญี่ปุ่นรวมกัน

“การลงทุนในการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าที่สุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเพียงแค่ลดสัดส่วนของเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดรวมถึงลดสัดส่วนของเด็กที่มีทักษะต่ำกว่าพื้นฐานลงเพียง 10% เราจะสามารถเพิ่ม GDP แต่ละปีได้ถึง 1-2%” นางจูสตีน กล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...