โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

นอร์เวย์นำร่องโครงการเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกดักจับและกักเก็บคาร์บอนข้ามพรมแดน

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 25 มิ.ย. เวลา 17.31 น. • เผยแพร่ 24 มิ.ย. เวลา 20.28 น.

สุนิสา กาญจนกุล รายงาน

นอร์ทเธิร์นไพโอเนียร์ คือเรือขนส่งคาร์บอนเหลวเชิงพาณิชย์ลำแรกของโลก มีความยาวประมาณ 130 เมตร และสามารถขนส่งคาร์บอนเหลวได้เที่ยวละ 8,000 ตัน เพื่อนำไปเก็บไว้ใต้ทะเลลึก 2,600 เมตร ที่มาภาพ: https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-02-07/norway-gets-first-ship-to-carry-waste-carbon-to-undersea-storage

อุณหภูมิของโลกกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกฝ่ายจึงระดมสรรพวิธีเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหานี้ หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ

การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) จึงเป็นมาตรการเสริมที่สำคัญในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพื่อช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ล่าสุด โครงการนอร์เทิร์นไลต์ของนอร์เวย์ประกาศความคืบหน้าครั้งสำคัญด้วยการนำเสนอปฏิบัติการเต็มรูปแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลกในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากอุตสาหกรรม ความโดดเด่นคือเป็นบริการแบบข้ามพรมแดนโดยใช้เรือขนส่งคาร์บอนเหลวจากประเทศต่างๆ เพื่อนำไปฝังใต้ทะเล

นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่า ถ้าหากโลกร้อนขึ้นกว่าเดิมจนอุณหภูมิทะลุเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศและชีวิตความเป็นอยู่ทั้งของมนุษย์และสัตว์

น้ำแข็งที่ขั้วโลกและธารน้ำแข็งจะละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งและเกาะต่างๆ แนวปะการังทั่วโลกอาจลดลง 70-90% สภาพอากาศจะแปรปรวน ภัยแล้ง พายุ และคลื่นความร้อน จะมีความถี่และรุนแรงมากขึ้น

ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอาหาร ทำให้เกิดความอดอยากและปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ ก็จะสูญพันธุ์หรือเสียแหล่งที่อยู่อาศัย ทำให้โลกสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

ดักจับและกักเก็บ

แม้ว่าการลดการปล่อยคาร์บอนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่ง จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการชะลอการเพิ่มสูงของอุณหภูมิ แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ อุตสาหกรรมสำคัญที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดได้แบบเต็มร้อย

ปัจจุบันมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 36 พันล้านตันโดยประมาณ โดยในบรรยากาศมีคาร์บอนไดออกไซด์ราวๆ 420 ppm (parts per million) ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนที่สูงสุดในรอบ 3 ล้านปี เพิ่มขึ้นจากปี 1750 ถึง 50% ซึ่งมากเกินกว่าธรรมชาติจะดูดซับได้

การดักจับและกักเก็บคาร์บอนจึงเป็นทางออกสำคัญในการสกัดกั้นไม่ให้มีการรั่วไหลออกสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นอีก และเป็นเทคโนโลยีที่องค์การระหว่างประเทศ เช่น สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) มองว่าจำเป็นอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในกลางศตวรรษนี้

แนวคิดเรื่องการดักจับและกักเก็บคาร์บอนเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ในช่วงแรก เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนจะมุ่งเน้นการดักจับคาร์บอนจากแหล่งกำเนิดขนาดใหญ่ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อัดฉีดลงในแหล่งน้ำมันเพื่อเพิ่มผลผลิต

จากนั้นจึงค่อยๆ พัฒนามาเป็นการดักจับคาร์บอนแล้วนำไปกักเก็บไว้ใต้ดินหรือในแหล่งกักเก็บอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าสู่บรรยากาศ

ขนส่งข้ามประเทศ

ล่าสุด นอร์เวย์ก็พาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการการนำเสนอปฏิบัติการเต็มรูปแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลกในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากอุตสาหกรรม ที่มีชื่อว่า โครงการนอร์เทิร์นไลต์ ซึ่งมีมูลค่าราวๆ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

โครงการนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างสามบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอควินอร์ (Equinor) เชลล์ (Shell) และโททัลเอเนอร์จีส์ (TotalEnergies) และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลองชิป (Longship) ซึ่งเป็นโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนขนาดยักษ์ของนอร์เวย์

ความโดดเด่นของโครงการนอร์เทิร์นไลต์ก็คือ การเสนอบริการแบบข้ามพรมแดนโดยใช้เรือขนส่งคาร์บอนเหลวจากประเทศต่างๆ เพื่อนำไปจัดเก็บถาวรด้วยการฝังใต้พื้นทะเลในบริเวณทะเลเหนือ

โครงการนี้ถือเป็นโครงการเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกที่ครอบคลุมการขนส่งและกักเก็บคาร์บอนแบบข้ามประเทศ โดยระยะที่ 1 ของโครงการจะสามารถจัดการคาร์บอนได้ประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี ด้วยรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับจากแหล่งปล่อยทางอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตซีเมนต์ในนอร์เวย์ ก่อนจะทำการบีบอัดและขนส่งทางเรือไปยังสถานีรับในเขตออยการ์เดน (Øygarden) ทางตะวันตกของนอร์เวย์ จากนั้นจะถูกนำไปฉีดลงในชั้นหินกักเก็บที่อยู่ลึกประมาณ 2,600 เมตร ใต้ทะเลเหนือ

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่อยู่ที่การเปิดทางให้ภาคเอกชนจากยุโรปและทั่วโลกเข้าร่วมใช้บริการขนส่งและกักเก็บคาร์บอน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนตลาดดักจับและกักเก็บคาร์บอนโดยรวม อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ “การลดคาร์บอน” กลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนในอนาคต

โครงการนอร์เทิร์นไลต์นั้นโดดเด่นและแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ อย่างมากในด้านรูปแบบธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน เพราะไม่ได้เน้นที่เทคโนโลยีการดักจับ แต่เน้นที่บริการขนส่งและจัดเก็บ

โดยที่นอร์เทิร์นไลต์จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิดกว้างสำหรับทุกบริษัท และมีสร้างโครงข่ายการขนส่งและจัดเก็บคาร์บอนเชิงพาณิชย์แบบเปิดเป็นโครงการแรกของโลก จากเดิมที่แต่ละบริษัทจะต้องดักจับคาร์บอนจากโรงงานของตนเองแล้วนำไปกักเก็บ

แต่นอร์เทิร์นไลต์เปิดโอกาสให้ทุกโรงงานทำสัญญาเพื่อใช้บริการขนส่งทางเรือและกักเก็บคาร์บอนในคลังใต้ทะเลได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานเอง และการขนส่งทางเรือยังทำให้นอร์เทิร์นไลต์สามารถให้บริการแก่โรงงานที่อยู่ห่างจากแหล่งจัดเก็บใต้ดินได้อีกด้วย

ลำแรกของโลก

ทั้งนี้ นอร์เทิร์นไลต์ได้ลงทุนสร้างเรือขนส่งขนาดใหญ่ เพื่อรับคาร์บอนไดออกไซด์เหลวจากบริษัทลูกค้าและขนส่งไปยังนอร์เวย์เพื่อกักเก็บไว้ใต้ทะเลต่อไป

โดยเรือนอร์เทิร์นไพโอเนียร์ (Northern Pioneer) ซึ่งว่ากันว่าเป็นเรือขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์เหลวเชิงพาณิชย์ลำแรกของโลกพร้อมให้บริการเมื่อปลายปลายปี 2024 ที่ผ่านมา

เรือนอร์เทิร์นไพโอเนียร์มีความยาว 130 เมตร ออกแบบมาเพื่อขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์เหลว 8,000 เมตริกตัน เป็นเรือลำแรกจากทั้งหมด 4 ลำ ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับการขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์เหลวของนอร์เทิร์นไลต์ เรือลำนี้จะจดทะเบียนในนอร์เวย์และบริหารจัดการโดยคาวาซากิ ไคเซน ไคฉะ (Kawasaki Kisen Kaisha หรือK LINE)

นวัตกรรมด้านรูปแบบธุรกิจของนอร์เทิร์นไลต์ถือเป็นการช่วยลดภาระการลงทุนและเทคโนโลยีให้กับโรงงานต่างๆ และเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนในวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิม

อนาคตที่ยังมีอุปสรรค

แต่โดยภาพรวมแล้ว ถึงแม้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจะน่าสนใจในฐานะเครื่องมือสำคัญเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ

ประการแรกคือต้นทุนที่สูงมากในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่โรงงานดักจับ ระบบขนส่ง (ท่อหรือเรือ) ไปจนถึงแหล่งกักเก็บและระบบการตรวจสอบ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำไปใช้งานในวงกว้าง

ประการที่สองคือ กระบวนการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ซึ่งเท่ากับว่าโรงงานอาจต้องเผาเชื้อเพลิงมากขึ้นเพื่อผลิตพลังงานเท่าเดิม หรือต้องมีแหล่งพลังงานเพิ่มเติมสำหรับกระบวนการดักจับ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการลดการปล่อยคาร์บอนต่ำลง

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม แม้ว่าจะมีการเลือกแหล่งกักเก็บทางธรณีวิทยาอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังคงมีข้อกังวลเรื่องการรั่วไหลในระยะยาว การปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดิน หรือแม้แต่การกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางธรณีวิทยาบางอย่าง (เช่น แผ่นดินไหวขนาดเล็ก) สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่สาธารณชนและนักวิทยาศาสตร์บางส่วนตั้งคำถามและควรมีการตรวจสอบที่เข้มงวด

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อติติงอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว อนาคตของการดักจับและกักเก็บคาร์บอนดูเหมือนจะสดใสและมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ

ดีเอ็นวี ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานระดับโลก คาดการณ์ว่าความสามารถในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าภายในปี 2030 และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงกลางศตวรรษ ขณะที่การลงทุนในเทคโนโลยีนี้ก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนต่างๆ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีในสหรัฐฯ และการสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมขึ้นในยุโรป

แต่เพื่อให้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนบรรลุศักยภาพสูงสุด จำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชน กำหนดกรอบปฏิบัติ กฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ชัดเจนและเข้มงวดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและดำเนินการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ควบคู่ไปกับการ สร้างความเข้าใจและการยอมรับจากสังคม เพื่อให้เป้าหมายการลดคาร์บอนในบรรยากาศโลกกลายเป็นจริงได้ก่อนที่จะสายเกินการณ์

ข้อมูลอ้างอิง :

1.https://www.ft.com/content/3c24e938-9eb0-438f-8db4-5c69733af6ec

2.https://www.offshore-mag.com/vessels/news/55267036/norwegian-offshore-directorate-northern-lights-co2-carrier-reaches-stavanger

3.https://cib.bnpparibas/the-future-of-carbon-capture-and-storage-strategies-and-challenges/

4.https://www.dnv.com/news/turning-point-for-ccs-is-now-dnv-report-finds-with-global-capture-and-storage-capacity-expected-to-quadruple-by-2030/

5.[https://carboncredits.com/shell-equinor-and-totalenergies-expand-northern-lights-ccs-with-714-million-investment/](https://carboncredits.com/shell-equinor-and-totalenergies-expand-northern-lights-ccs-with-714-million-investment/](https://carboncredits.com/shell-equinor-and-totalenergies-expand-northern-lights-ccs-with-714-million-investment/](https://carboncredits.com/shell-equinor-and-totalenergies-expand-northern-lights-ccs-with-714-million-investment/)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...