โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“สงครามศาสนา” ในแผ่นดินเขมร ส่วนหนึ่งของ “ยุคมืด” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 14 มี.ค. 2567 เวลา 02.14 น. • เผยแพร่ 13 มี.ค. 2567 เวลา 06.42 น.
ภาพเขียนนครวัด โดย Lucille Sinclair Douglass (จาก Metropolitan Museum of Art)

เมื่อกล่าวถึง “สงครามศาสนา” สงครามครูเสดอาจเป็นภาพจำแรก ๆ ที่หลายคนนึกออก อย่างไรก็ตาม ภูมิภาค “อุษาคเนย์” หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็มีหลักฐานความขัดแย้งทางศาสนาอยู่เช่นกัน นั่นคือระหว่าง พราหมณ์-ฮินดู กับ พุทธศาสนา หากแต่ปรากฏข้อมูลค่อนข้างน้อย เพราะอยู่ในห้วงเวลาที่นักวิชาการนิยามว่าเป็น “ยุคมืด” ทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้

ในความพร่าเลือนดังกล่าว ดินแดนเนื่องในวัฒนธรรมเขมรโบราณมีร่องรอยหลักฐานความขัดแย้งข้างต้นชัดเจนที่สุด โดย ไมเคิล ไรทเล่าถึงประเด็นนี้ไว้ตอนหนึ่งของบทความ “‘ยุคมืด’ หรือช่องว่างในประวัติศาสตร์สยาม ‘A Dark Age’, or Gap in Siamese History” ในหนังสือ ยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทย หลังบายน พุทธเถรวาท การเข้ามาของคนไทย(สนพ. มติชน, พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2559)

ไมเคิล ไรท วิเคราะห์ให้เห็นถึงสงครามศาสนาระหว่างพราหมณ์กับพุทธ จากศูนย์กลางบริเวณดินแดนลุ่มทะเลสาบ ซึ่งเขานิยามว่า “โลกเขมร” เพื่อสื่อถึงวัฒนธรรมหลักของกลุ่มชน แทนที่จะหมายถึงเขตแดนและเชื้อชาติ จากอิทธิพลแนวคิดสมัยใหม่ยุคจักรวรรดินิยมเมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา

สงครามศาสนา เกิดขึ้นตั้งแต่หลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรพระนครเป็นต้นไป โดยสะท้อนผ่านความเชื่อ (ที่แตกต่าง) ของกษัตริย์เขมรแต่ละพระองค์ รวมถึงร่องรอยโบราณสถาน-โบราณวัตถุ และความเปลี่ยนแปลงของบรรดารูปเคารพในปราสาทหลังต่าง ๆ

ไมเคิล ไรท ชี้ให้เห็นว่า สงครามศาสนาในโลกเขมรเป็นส่วนหนึ่งใน “ยุคมืด” ทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคอุษาคเนย์ ห้วงเวลาที่วัฒนธรรมโบราณอย่างทวารวดี ศรีวิชัย ค่อย ๆ เลือนหายไป และนครเอกอย่างเมืองพระนครกับพุกามเสื่อมอำนาจลง ไล่เลี่ยกันนั้น รัฐของกลุ่มชนไทย-ลาว อย่าง อยุธยา สุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนับถือพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์เหมือนกัน ส่วนดินแดนหมู่เกาะ (ปลายคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะของอินโดนีเซีย) หันไปรับอิสลาม

ไทม์ไลน์ของสงครามศาสนาที่เกิดขึ้นใน “โลกเขมร” จากบทความของ ไมเคิล ไรท มีดังนี้ [เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]

สงครามศาสนาในโลกเขมร

ในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 12 (พ.ศ. 1656 / ค.ศ. 1113 – ราว พ.ศ. 1693 / ค.ศ. 1150)พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2ทรงสร้างนครวัดในศาสนาฮินดู (ไวษณพนิกาย) สวรรคตแล้วทรงพระนามว่า “บรมวิษณุโลก” เท่าที่เรามีหลักฐาน “โลกเขมร” สมัยนั้นโดยมากเป็นฮินดูอย่างมั่นคง (แม้ในต่างจังหวัดบางแห่ง เช่น ที่พิมายและศรีจนาศะเป็นพุทธมหายานอยู่แล้ว) อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่ามีความขัดแย้งกันถึงขนาดเกิดศึกสงครามทางศาสนา

ต่อมา พระเจ้ายโศวรมันที่ 2(พ.ศ. 1693-1708? / ค.ศ. 1150-1165?) ยังทรงบำรุงเทวสถานของพระบิดาจึงคงเป็นฮินดู

ต่อมา พระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมัน (พ.ศ. 1708-1720? / ค.ศ. 1165-1177?) มาแทรก เราไม่ทราบว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหนหรือทำอะไร แต่เป็นที่น่าสนใจว่าพระนาม “ภูวนาทิตย์” ไม่เคยปรากฏในจารึกเขมรก่อนหน้านั้น แต่เป็นที่นิยมบ่อยในจารึกและตำนานในโลกมอญ – พม่า ในพุทธศตวรรษที่ 17 – 18 / คริสต์ศตวรรษที่ 12 – 13

ต่อมามีช่องว่างราว 4-5 ปี (พ.ศ. 1720-1724 / ค.ศ. 1177-1181) นักประวัติศาสตร์ตีความจารึกว่าเขมรคงรับศึกชาวจามจากทิศตะวันออกในเวียดนามปัจจุบัน แต่จารึกปราสาทบันทายฉมาร์ (ใกล้ชายแดนอรัญประเทศปัจจุบัน) ระบุว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และโอรสทรงเดินทัพออกไปรับศึกในทิศตะวันตก

ชะรอยชาวจามมีสัมพันธมิตรในทิศตะวันตก (โลกมอญ?) มาคอยจี้เขมรจากด้านหลัง?

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7เสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนครปี พ.ศ. 1724 / ค.ศ. 1181 แล้วทรงแปลงเมืองพระนครเป็นเมืองพุทธมหายาน เราไม่ทราบว่าพระองค์เป็นใคร มาจากไหน แต่อาจจะเป็นทายาทสืบวงศ์จากราชวงศ์ “มหิธรปุระ” ที่เคยครองอยู่เมืองพิมาย

ในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-1763? / ค.ศ. 1181-1220?) พระองค์ทรงแปลงพระนครเป็นเมืองพุทธมหายานโดยสร้างปราสาทบายน (พระนาคปรก/ไภษัชคุรุ/ชยพุทธมหานาถ) ปราสาทพระขรรค์ (อวโลกิเตศวร) และปราสาทตาพรหม (ปรัชญาปารมิตา)

เท่าที่เราทราบ ยังไม่เกิดความขัดแย้งทางพุทธศาสนา ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะแม้ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงนับถือพุทธเป็นหลัก แต่ยังคงรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นพราหมณ์ไว้เหมือนเดิม

พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1763-1786 / ค.ศ. 1220-1243 เชื่อกันว่าเป็นโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และน่าจะนับถือพุทธศาสนาเช่นเดียวกับบิดา จารึกเท่าที่เหลือไม่อ้างถึงกิจการหรือนโยบายของพระองค์ แต่น่าสงสัยว่าท่านอาจจะเล่นงานถอดถอนอภิสิทธิ์ของชนชั้นพราหมณ์ ทั้งนี้น่าเชื่อ เพราะปฏิกิริยารุนแรงที่เกิดขึ้นในรัชกาลต่อไป

พระเจ้าชัยวรมันที่ 8ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1786-1838 / ค.ศ. 1243-1295 ทรงเป็นใครมาจากไหนไม่มีหลักฐาน แต่น่าจะเป็นพราหมณ์ที่นับถือฮินดูไศวนิกาย ในรัชกาลของพระองค์เกิดสงครามทางศาสนา (ฮินดูกับพุทธ) อย่างเห็นได้ชัด

พระพุทธรูปประธานในปราสาทบายนถูกทุบให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วทิ้งลงบ่อ พระพุทธรูปสลักนูนต่ำตามฝาและหน้าบันวัดอื่น ๆ ถูกสกัดออกให้มีแต่ช่องว่างหรือถูกดัดแปลงเป็นศิวลึงค์หรือฤษี จารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถูกทุบแล้วฝังดินหรือถูกขีดเขียนจนเสียความอ่านปะติดปะต่อไม่ได้

ในสมัยหลังนี้ (40 ปีที่ผ่านมา) มีการขุดค้นพบไหขนาดใหญ่ภายในบรรจุพระพุทธรูปสำริดยุคบายนที่ถูกฝังมาแต่โบราณ เช่น ยุคสงครามศาสนาครั้งพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 จุดที่พบมีตั้งแต่สนามบินเมืองเสียมเรียบถึงอำเภอประโคนชัยในอีสานตอนใต้และสถาบันราชภัฏลพบุรี

แสดงว่าสงครามศาสนาไม่ได้เกิดเฉพาะเมืองพระนคร แต่คงแผ่ไปอีกถึงเขตโคราชและลพบุรีอย่างน้อย

เป็นที่น่าเชื่อถือว่าสงครามศาสนาระหว่างพุทธกับพราหมณ์ครั้งนี้มีความรุนแรงมาก และแผ่เกือบไปทั่วอุษาคเนย์แผ่นดินใหญ่ รวมทั้งโลกเขมร โลกมอญ และโลกลาว-ไทย

แต่นั้นมา พระเจ้าศรีนทรวรมันเสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 1838-1850 / ค.ศ. 1295-1307 ตามโดยโอรสชื่อ ศรีนทรชัยวรมัน(พ.ศ. 1850-1870 / ค.ศ. 1307-1327) ทูตจีน โจวต้ากวานบันทึกในปี พ.ศ. 1840 / ค.ศ. 1297 ว่า “กษัตริย์องค์ใหม่เป็นลูกเขยองค์ก่อน พระธิดารักพระสวามีจึงลักพระขรรค์ชัยศรีมอบให้ แล้วพระสวามียึดอำนาจถอดถอนพระยุพราชองค์จริง”

หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี ได้เทียบหลักฐานของโจวต้ากวานกับหลักฐานในจารึกหลักที่ 2 (หน้า 1, บรรทัด 31-35) แล้วเสนอว่า พระเจ้าศรีนทรวรมัน กับ พระยาผาเมือง/ศรีอินทราทิตย์น่าจะเป็นคนเดียวกัน

พระเจ้าศรีนทรวรมันจะเป็นใครก็ตาม พระองค์ทรงส่งเสริมรื้อฟื้นฟูพุทธศาสนา และอาจจะเป็นผู้สร้างวัดป่าเลไลย์ในนิกายเถรวาทติดกำแพงพระราชวัง ในรัชกาลของโอรส (พระเจ้าศรีนทรชัยวรมัน) ปรากฏจารึกภาษาบาลีครั้งแรกในเมืองพระนคร ระบุปี พ.ศ. 1852 / ค.ศ. 1309 แสดงว่าพุทธศาสนาฟื้นขึ้นมาได้แล้วและน่าจะเป็นนิกายเถรวาท-ลังกาวงศ์

พระเจ้ากรุงเขมรองค์สุดท้ายที่ปรากฎพระนามในจารึกคือ พระเจ้าชัยวรมันปรเมศวรจารึกไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชกิจหรือนโยบายของพระองค์ แต่พระนามนั้นน่าสนใจเพราะ “ชัยวรมัน” ทำให้นึกถึงพุทธกษัตริย์ (อย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) ในขณะที่ “ปรเมศวร” สะท้อนความเป็นไศวะ

ชะรอยท่านหมายจะประสานแผลระหว่างพุทธกับพราหมณ์คล้ายกับพระสันตะปาปาจอห์น-ปอลที่ 1 และที่ 2 ที่ประสมชื่อ John ที่ 23 (ฝ่ายปฏิรูป) และ Paul ที่ 6 (ฝ่ายอนุรักษนิยม) เพื่อลดความขัดแย้งอย่างเดือดร้อนสุดขีดภายในศาสนจักรโรมันคาทอลิก

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม 2567

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “สงครามศาสนา” ในแผ่นดินเขมร ส่วนหนึ่งของ “ยุคมืด” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...