โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เรียนรู้จากวิกฤติ ตอนที่ 2: Dot-com Bubble อินเทอร์เน็ตมหัศจรรย์กับเงินนักลงทุนที่หายไป

Finnomena

อัพเดต 20 ม.ค. 2565 เวลา 09.30 น. • เผยแพร่ 20 ม.ค. 2565 เวลา 09.30 น. • BottomLiner

อย่างที่เราได้พูดปิดท้ายไว้ในตอนที่ 1 เรียนรู้จากวิกฤติ ตอนที่ 1: รู้จัก Tronics & Nifty 50 Bubbles ฟองสบู่หุ้นนวัตกรรมและ หุ้น Blue Chip ในยุค 60-70 ฟองสบู่มักจะเกิดขึ้นจาก 2 สิ่ง คือ

  • เทคโนโลยีที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ (เช่น ฟองสบู่ Tronics และ ฟองสบู่ Biotech)
  • โอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆ (เช่น ฟองสบู่ South Sea และ ฟองสบู่ดอกทิวลิป)Internet เป็นทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน มันเป็นทั้งเทคโนโลยีใหม่และโอกาสในการทำธุรกิจแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นการปฏิวัติการสื่อสาร เข้าถึงข้อมูล รวมถึงรูปแบบการซื้อ-ขาย สินค้าและบริการต่าง ๆ Web browser แรกที่เป็นที่นิยมในโลกคือ “Mosaic” ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1993 ก่อนที่ Microsoft จะซื้อ license ของ Mosaic มาพัฒนาเป็น Internet Explorer บน window 95 และปล่อยออกสู่สาธารณะในปี 1995 Internet มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ computer ส่วนบุคคลได้รับความนิยม เพราะมันช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลได้เป็นอย่างดี โดยพบว่าจำนวนของบ้านที่มี computer ส่วนบุคคลในสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 35% ในช่วง 1990-1997 เท่านั้น การเข้ามาของเทคโนโลยี internet ในช่วงแรกดูจะเป็นที่ถกเถียงกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าเป็นแค่กระแสชั่วคราวเท่านั้น แต่กระแสถกเถียงดังกล่าวก็เงียบลงเรื่อย ๆ เมื่อดัชนี NASDAQ ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเทคได้วิ่งขึ้นมากกว่า 3 เท่าในเวลาไม่ถึง 2 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ดัชนี NASDAQ ก็เป็นขาขึ้นมาอย่างยาวนาน และทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ราว ๆ 15% ต่อปี (1974-1998) แต่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับผลตอบแทน 3 เด้งใน 1 ปีนิด ๆ ระหว่างช่วง ต.ค. ปี 1998 - มี.ค. ปี 2000 จริง ๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในยุค “ฟองสบู่ Internet” นี้ ก็เหมือนฉายหนัง “ฟองสบู่ Tronics” ให้เราดูอีกรอบ เพียงแต่รอบนี้ หนังเรื่องนี้ระเบิดตูมตาม อลังการกว่าเดิมมาก เดาได้ไม่ยาก ถ้าฟองสบู่ Tronics ในยุค 60 นั้น มาจากบริษัทจำนวนมากตั้งชื่อเกี่ยวกับ “Tronics” (แม้บริษัทอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอุตสาหกรรม Electronics ก็ตาม) ฟองสบู่ Dot-com ก็มาจากความบ้าคลั่งใน Internet ที่ทุกบริษัทไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้หรือไม่ หันมาเปลี่ยนชื่อให้เข้ากับกระแส เช่นคำว่า Dot-com, Dot-net, Internet, Network แค่ปี 1998 ปีเดียว มีบริษัทในตลาดเปลี่ยนชื่อให้มีนัยยะกับเว็บไซต์ของบริษัทกว่า 63 บริษัท

พอกันที่การประเมินมูลค่า

บริษัทยุค Dot-com ส่วนใหญ่มักใช้กลยุทธ์ยอมขาดทุนต่อเนื่อง เร่งทำการตลาด โฆษณาและโปรโมชั่น เพื่อให้เกิด Network Effect และได้ market share ให้มากและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ใช้การ burn cash จาก VC) สื่อโหมกระหน่ำทำข่าวหุ้นเทค นักวิเคราะห์ขยับเป้าราคาขึ้นรัว ๆ และมีนักลงทุนรายใหม่เข้าสู่ตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องในปี 1999-2000 ทำให้ราคาของหุ้นเทคในยุคนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วมาก ประกอบกับความมั่นใจในเทคโนโลยีว่าสิ่งเหล่านี้จะมา disrupt ธุรกิจแบบเดิม ๆ ทำให้นักลงทุนยอมซื้อหุ้นเทคในทุกราคา ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน ละเลยการประเมินมูลค่า พื้นฐานบริษัท อัตราส่วนวัดความถูกแพงเช่น P/E, P/BV Ratio ไปเลย เพราะมันใช้ไม่ได้ผล บางบริษัทที่แพงมาก ๆ แต่ราคาก็ยังพุ่งสูงต่อไปให้แพงขึ้นไปอีก จนแทบจะรู้สึกว่าการมานั่งประเมินพื้นฐานเหล่านี้ ได้กำไรน้อยกว่าการสุ่มซื้อหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจเสียอีก นักลงทุนกวาดซื้อหุ้นเทคกันอย่างบ้าคลั่งและพา NASDAQ ทะยานสู่จุดที่แพงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดย NASDAQ ในปี 2000 มี P/E ถึง 175 เท่า (ณ ปัจจุบันที่คนบอกหุ้นเทคแพงเกินไป ซื้อไม่ไหว NASDAQ P/E 30 เท่า)

ยุคทองของ VC

แน่นอนบริษัทเทค Dot-com เหล่านี้จะเอาเงินทุนมาจากไหน ที่จะทำให้ขาดทุนได้นาน ๆ หนึ่งตัวละครที่เร่งให้เกิดการเก็งกำไรอย่างรุนแรงก็คือเหล่า VC ที่ให้ทุนบริษัท dot-com ต่าง ๆ และผลักดันเข้า IPO ในตลาดนั้นเอง เมื่อเหล่า VC กลุ่มแรกพาบริษัท dot-com เข้าตลาดและได้กำไรมหาศาล ทำให้ธุรกิจ VC ได้รับความสนใจอย่างมาก และ VC ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นดอกเห็ด ในปี 2000 นั้น VC ในสหรัฐลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ไปกว่า $66.4B เกิดดีลซื้อขายกว่า 4,500 ครั้ง (ถ้าหักเงินเฟ้อไป จะยังมากกว่าปี 2020 ที่ VC ให้ทุนเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์เสียอีก)

End Game

ในเดือน มกราคม ปี 2000 ทุกอย่างดูดีไปหมด เหล่าบริษัท Dot-com จำนวนมาก ยังมีเงินเหลือเฝือถึงขนาดซื้อเวลาโฆษณาใน Super Bowl ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโฆษณาระดับ hi-end สุดตระการตาและมีค่าใช้จ่ายแพงถึง $2m ต่อ 30 วินาที (ประมาณ 100 ล้านบาทในปัจจุบัน) ระเบิดถูกจุดขึ้นในวันที่ 13 มี.ค. เมื่อญี่ปุ่นประกาศว่ากำลังเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเผชิญกับ Lost Decade ตั้งแต่ช่วง 1990 เป็นต้นมา ทำให้เกิดแรงเทขายรุนแรงทั่วโลก และกระทบกับหุ้นเทคเต็ม ๆ วันที่ 14 มี.ค. ตลาด NASDAQ ถล่มกว่า -6% แต่นั้นก็อาจจะเบาไปเลย หากเทียบกับ วันที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวรุนแรงที่สุดในฟองสบู่รอบนี้ อย่าง 4 เม.ย. 2000 ที่ตลาดเคลื่อนไหวแดนลบสูงสุดในวันมากกว่า -15% จากการบริษัท Microsoft โดนตัดสินผิดกฎหมายผูกขาดบนตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใน 2 รัฐ และศาลสั่งให้เหล่าผู้ผลิตและผู้ใช้งานลบแอป Internet Explorer ทิ้ง และสัปดาห์ต่อมาตลาด NASDAQ ลงต่ออีกกว่า -25% ถ้าระเบิดคือ ญี่ปุ่น ตัวจุดระเบิดก็คือการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปีก่อนหน้า โดยขึ้นดอกเบี้ย 6 ครั้ง จาก 4.75% เป็น 6 % ซึ่งแม้การขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวจะไม่ได้กระทบสหรัฐโดยตรง แต่มันส่งผลอย่างมากต่อประเทศที่ค่าเงินเกี่ยวข้องกับ US Dollar โดยเฉพาะญี่ปุ่น นอกจากนี้การขึ้นดอกเบี้ยก็เป็นอีกเหตุผลให้ เหล่า VC ไม่สามารถหาเงินมาให้บริษัท Dot-com ต่าง ๆ Burn Cash ได้อีกต่อไป แม้หลายบริษัทจะยังมีผู้ใช้บริการอยู่ แต่ไม่สามารถทนขาดทุนต่อเนื่องได้ เมื่อขาดสภาพคล่อง จึงยอมแพ้และล้มละลายไปในที่สุด ไม่ใช่แค่บริษัท Dot-com เท่านั้นที่ล้มตาย ยังมีบริษัทที่วางระบบ infrastructure สำหรับ internet และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ขาดทุนมหาศาล เพราะ demand ไม่ได้มาตามนัดและหายไปอย่างฉับพลัน หลังจากฟองสบู่ dot-com แตก เหตุการณ์ฟองสบู่ dot-com ใช้เวลากว่า 940 วัน จากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 02 ตลาด NASDAQ ปรับตัวลงทั้งสิ้นกว่า -78% ซึ่งเป็นมูลค่าตลาดที่หายไปกว่า $2.26T หรือราว ๆ 75 ล้านล้านบาท มีบริษัทเทค IPO ทั้งสิ้น 2,288 บริษัทตั้งแต่ปี1996-2000 แต่มีเพียง 80 บริษัทจากจำนวนดังกล่าวที่ยังอยู่ในตลาดในปี 2001 (คิดเป็น 3.5% ที่รอด) สถานการณ์ปัจจุบันแม้จะไม่ได้เหมือนกับเหตุการณ์ฟองสบู่ Dot-com เป๊ะ ๆ แต่ก็เป็นอะไรที่น่าคิดเหมือนกัน เพราะ Asset ต่าง ๆ ทั่วโลกวิ่ง Rally มาตั้งแต่ มี.ค. ปี 20 แล้วถ้ามันมีอะไรที่เป็นตัวจุดระเบิดลูกต่อไปขึ้นมา ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เราลงทุนจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่? จากสถิติ 3.5% ที่เหลือรอดในฟองสบู่ dot-com ทรัพย์สินของเราจะอยู่ใน 3.5% นั้นหรือเปล่า ? BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/5272621039419654

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...