สาวทรานส์ชาวจีน ชนะคดีฟ้องร้องโรงพยาบาล หลังถูกกักตัวและช็อตไฟฟ้าบำบัดเพื่อแก้ ‘เพศวิถี’
หลังจากเปิดเผยตัวเองว่าเป็นทรานส์ ‘หลิงเอ่อ’ ผู้เกิดและเติบโตในมณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน ก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเรื่อยมา นับตั้งแต่ครอบครัวปฏิเสธเพศวิถีที่เธอเลือก แล้วส่งเธอเข้าโรงพยาบาล เพื่อพยายามเปลี่ยนเพศวิถีของเธอ ซึ่งทำให้หลิงเอ่อต้องถูกกักขังอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนั้นนานกว่า 97 วัน และระหว่างนั้น แม้ว่าเธอเองจะพยายามอ้อนวอนทุกวิถีทางกับโรงพยาบาล ขอให้พวกเขาปล่อยตัวเธอกลับบ้าน เธอกลับถูกช็อตไฟฟ้ามากถึง 7 ครั้ง เพื่อ ‘บำบัด’ หลายต่อหลายครั้ง พร้อมกับได้รับยารักษาอาหารทางจิตเวชไปด้วย
หลังจากหลิงเอ่อ ได้รับการปล่อยตัวจากโรงพยาบาล เธอตัดสินใจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการที่เธอถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำการบำบัด ‘โดยไม่เต็มใจ’ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าการฟ้องร้องครั้งนั้นจะสำเร็จ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นก็เกิดขึ้นจริง เมื่อศาลรับคำร้องของเธอ จนกระทั่งเธอได้รับเงินชดเชยจากโรงพยาบาลในที่สุด และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้นำมาสู่การตั้งคำถามถึง ‘การบำบัดรักษาแก้เพศวิถี’ (Conversion Therapy) ในจีนอีกครั้ง
“สำหรับฉัน นี่ถือว่าเป็นชัยชนะค่ะ” หลิงเอ่อ วัย 28 กล่าวกับ New York Times “ด้วยเงินจำนวนนี้ ช่วยให้ฉันมีชีวิตใหม่ ได้เริ่มธุรกิจของตัวเอง และมีชีวิตเป็นของตัวเองได้เสียที”
กรณีที่เกิดขึ้นกับหลิงเอ่อ ไม่เพียงเป็นหมุดหมายครั้งสำคัญในการต่อสู้เรื่องสิทธิของคนท่ีมีความหลากหลายทางเพศในจีน เมื่อผู้คนมากมายที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเธอ รวมถึง LGBTQ+ คนอื่นๆ ที่ประสบชะตากรรมคล้ายกัน มันยังสามารถเรียกความสนใจจากบรรดาสื่อกระแสหลักในจีนได้อย่างมากด้วย เพราะโดยปกติแล้ว ประเด็นเกี่ยวกับ LGBTQ+ เป็นสิ่งที่สื่อจีนนำเสนอน้อยมาก ความสำเร็จในการฟ้องร้องของหลิงเอ่อ จึงนับว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นน้อยครั้งมากในประวัติศาสตร์จีน ประเทศที่ไม่มีกฎหมายอะไรมาสนับสนุน หรือแม้แต่ปกป้องคุ้มครองของคนที่มีความหลากหลายทางเพศเลย
กรณีของหลิงเอ่อ ยังนับว่าเป็นความโชคดีที่เธอได้รับการสนับสนุนไม่เพียงแค่จากชุมชน LGBTQ+ ในจีน แต่เรื่องราวของเธอยังเเพร่สะพัดไปถึงหูผู้คนอีกมากมายทั่วทุกมุมโลก หนึ่งในนั้นคือ LGBTQ+ คนหนึ่งที่อยู่ในอเมริกาและรับรู้เรื่องของเธอ จนนำมาสู่การช่วยเธอหาทนาย เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย และทำให้เธอดำเนินการฟ้องร้องครั้งนี้ได้สำเร็จ
หลิงเอ่อเล่าว่าเธอรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าชอบอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของผู้หญิงมากกว่า พอเริ่มโตขึ้น เธอก็เทคยาคุมมาตลอด แต่เพิ่งจะมาเปิดเผยกับครอบครัวถึงรสนิยมทางเพศและวิถีเพศของตัวเองก็เมื่อปี 2021 นี่เอง แต่การเปิดเผยเพศวิถีของตัวเอง กลับทำให้พวกเขาบอกว่าเธอทำให้ตระกูล ‘อับอาย’ มากแค่ไหน จนเธอตัดสินใจตอบตกลงพ่อแม่ ยอมเข้ารับการบำบัดแก้วิถีเพศ ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในที่สุด ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจเลย แต่เธอต้องยอมทำไปเพราะหวังว่าจะทำให้ที่บ้านยอมรับในตัวเธอ
ระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล หลิงเอ่อพยายามอธิบายให้หมอฟังว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่าเพศของตัวเองนั้น ‘ผิดปกติ’ แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะครอบครัวของเธอต่างหากที่ไม่ยอมรับมัน ซึ่งในโน้ตของโรงพยาบาลเองก็ยังระบุไว้เลยว่าเธอไม่ได้มีความสับสนอะไร แถมพูดจารู้เรื่องปกติดี ถึงอย่างนั้นโรงพยาบาลก็วินิจฉัยว่าหลิงเอ่อมีภาวะ Ego-dystonic ที่หมายถึงการไม่ยอมรับหรือรู้สึกขัดแย้งในเพศของตัวเอง ซึ่งเป็นคำที่บัญญัติโดยองค์กรอนามัยโลกเมื่อปี 2019 และถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการ ‘วินิจฉัย’ ในการการบำบัดรักษาแก้เพศวิถี
ระหว่างถูกกักตัวอยู่ในโรงพยาบาล พวกเขาตัดผมของเธอ และบังคับให้เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของ ‘ผู้ชาย’ พร้อมกับพยายามกล่อมให้เธอเชื่อว่าเพศวิถีที่เธออยากจะ ‘เป็น’ นั้นเป็นเรื่องที่ผิดมากแค่ไหน หลิงเอ่อตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้าอย่างมาก “พวกเขาไม่ฟังที่ฉันพูดเลย คิดว่าฉันป่วย” หลิงเอ่อ กล่าว
หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากโรงพยาบาล หลิงเอ่อกลับบ้าน แล้วพบว่าพ่อแม่โยนเสื้อผ้ากับเครื่องสำอางของเธอทิ้งไปหมดแล้ว นั่นทำให้เธอตัดสินใจตัดขาดกับที่บ้าน ออกมาหางานทำในเมืองอื่น และใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่พึ่งพาพวกเขาตั้งแต่นั้นมา
การบำบัดเพื่อเปลี่ยนเพศวิถีได้ถูกแบนไปแล้วในหลายๆ ประเทศทั่วโลก อย่าง เยอรมนีที่มีการออกกฎหมายสั่งห้ามการบำบัดแก้เพศวิถีสำหรับผู้เยาว์ รวมถึงคุ้มครองผู้ใหญ่ที่อาจถูกบังคับหรือข่มขู่ให้เข้ารับการบำบัด ในบราซิลเป็นประเทศแรกๆ ที่มีกฎหมายห้ามบำบัดแก้เพศวิถีมาตั้งแต่ปี 1999 หรืออย่างประเทศซามัวที่มีกฎหมายระบุชัดเจนว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิต แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่การบำบัดเพศวิถีแบบนี้ยังมีอยู่และเป็น ‘เรื่องปกติ’ หนึ่งในนั้นคือประเทศจีนนั่นเอง ทั้งที่จริงแล้วสมาคมจิตเวชศาสตร์ของจีนได้ถอด ‘คนรักเพศเดียวกัน’ (Homosexuality) ออกจากลิสต์ของโรคทางจิตเวชไปแล้วเมื่อปี 2001 แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Ego-dystonic หรือความรู้สึกขัดแย้งในเพศวิถีของตัวเองอยู่ ซึ่งนี่เองอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่มีความหลากหลายทางเพศในจีนยังคงหนีไม่พ้นจากการถูกเหมารวมและตีตราว่าเป็นคนป่วยไข้ทางจิตที่ต้องได้รับการ ‘รักษาให้หายขาด’ อยู่ดี
หลิงเอ่อบอกว่า เธอโชคดีที่ได้เจอกับการตัดสินที่ให้ความเป็นธรรม และได้เจอผู้พิพากษาที่เห็นใจในชะตากรรมของเธอ “ผู้พิพากษาบอกฉันว่า ‘ฉันเป็นฉัน และไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนฉันได้’ ซึ่งถ้าพ่อแม่หรือครอบครัวในจีนคิดได้แบบนี้กันเยอะๆ เขามั่นใจว่าปัญหาเหล่านี้จะแก้ได้ง่ายขึ้นกว่านี้อีกเยอะเลย”
ชัยชนะของหลิงเอ่อจะเป็นการสร้างหมุดหมายไปสู่การต่อต้านและแบนการบำบัดเพื่อเปลี่ยนรสนิยมและเพศวิถีเคสต่อๆ ไปในจีนอีกหรือไม่ คงยังไม่มีใครกล้าการันตีได้ขนาดนั้น แต่อย่างน้อย มันก็เป็นชัยชนะครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เธอแอบหวังว่าเคสของเธอจะเป็นแสงนำทางให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจะได้รับการปกป้องคุ้มครองสิทธิเท่าเทียมกับมนุษย์คนอื่นๆ บ้างเสียที พร้อมกับหวังว่าประเทศบ้านเกิดของเธอจะหันมาใส่ใจให้การศึกษาเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศเหล่านี้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ด้วย
อ้างอิง
https://www.nytimes.com/2024/12/08/world/asia/transgender-conversion-china.html
https://themomentum.co/gender-conversion-therapy/
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- สาวทรานส์ชาวจีน ชนะคดีฟ้องร้องโรงพยาบาล หลังถูกกักตัวและช็อตไฟฟ้าบำบัดเพื่อแก้ ‘เพศวิถี’
- Shamsa Araweeloo หญิงโซมาเลียผู้ใช้ดอกกุหลาบและใบมีดโกนมาบอกเล่าถึงการถูก ‘ขลิบ’ เมื่ออายุ 6 ขวบ พร้อมเดินหน้าทวงคืนคลิตอริสของตัวเอง
- คำถามสำคัญของหลายชาติในวันนี้ อายุกี่ปี ถึงควรจะเล่นโซเชียลมีเดียได้? หลังออสเตรเลียผ่านกฏหมายห้ามเด็ก ต่ำกว่า 16 ปี ใช้โซเชียลมีเดีย
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com