โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

อนุช อาภาภิรม : สาธารณสุขโลกในภาวะนำแบบซับซ้อนต่อวิกฤตโรคระบาด

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 24 ก.ย 2563 เวลา 05.04 น. • เผยแพร่ 24 ก.ย 2563 เวลา 04.59 น.

วิกฤตินิเวศ สงครามและการยับยั้งสงคราม (23)

โควิด-19 กับการนำแบบซับซ้อน
และระบบสาธารณสุข

โควิด-19 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดเร็วไม่คาดฝัน ส่งผลกระทบแบบพลิกโลก

มีนักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมและระบาดวิทยาจำนวนไม่น้อยได้กล่าวถึงการระบาดของโรคทำนองนี้ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใดและรุนแรงขนาดไหน

ภัยคุกคามนี้จึงถูกซุกไว้ใต้กองใหญ่ของวิกฤติและปัญหา

จนเมื่อมันอุบัติขึ้นจริง ผู้ปกครองทั้งหลายในช่วงแรกมีแนวโน้มไม่ยอมรับมัน เช่นกรณีเจ้าพนักงานที่จีนที่เมืองอู่ฮั่น รวมทั้งในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ

นอกจากนี้ ยังเกิดมีผู้นำที่คิดว่าตนสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง และนำพาชาติไปสู่ความแข็งแรงไพบูลย์ได้ ก็มีแนวโน้มที่จะแสดงตัวเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ได้ และดูเบาความรุนแรงของโรคด้วยประการต่างๆ

ซึ่งสะท้อนการนำแบบเดิมที่ให้ความสำคัญแก่การบริหาร ไม่ใช่ความซับซ้อนของปัญหา

โควิด-19 ได้ระบาดมาเข้าเดือนที่ 9 แล้ว ยังมีพลังอยู่ไม่หายไปเอง

และการจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ถ้าสามารถสร้างได้จริง ก็จะต้องมีผู้ติดเชื้อ ล้มป่วยและตายไปอีกเป็นจำนวนมาก

ตัวเลขผู้ติดเชื้อในต้นเดือนกันยายน 2020 มีกว่า 26 ล้านคนแล้ว

ขณะนี้หลายประเทศกำลังชิงกันนำวัคซีนต้านโควิด-19 มาใช้กับสาธารณชน ในท่ามกลางอารมณ์ ความรู้สึกที่ผสมกันหลายอย่าง

มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่ทำงานด้านการบริหาร การนำ และงานด้านสาธารณสุข ได้เสนอแนวคิดว่าควรจะปรับใช้การนำแบบซับซ้อนในกรณีโควิด-19

นักวิชาการเหล่านี้มีหลายคน ในที่นี้จะกล่าวถึง ดร.แมรี อุห์ล-เบียน เป็นตัวอย่าง เธอเป็นนักวิชาการแนวหน้าทางด้านการนำแบบซับซ้อนของสหรัฐ สอนที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา-ลินคอล์น มีผลงานด้านนี้ตั้งแต่ปี 2001 เมื่อเกิดเหตุโควิด-19 เธอได้นำทฤษฎีการนำแบบซับซ้อนมาใช้วิเคราะห์ปัญหา

การจัดการปัญหาและข้อเสนอแนะบางประการ จะได้กล่าวเป็นลำดับไป

 

ในทัศนะของ ดร.แมรี อุห์ล-เบียน และคณะ เห็นว่าระบบซับซ้อนเป็นเรื่องที่จะทำความเข้าใจให้ละเอียดลออได้ยาก ถึงทุกวันนี้นักวิชาการก็มีความเห็นต่างกันในรายละเอียด เพื่อที่จะให้เราพอจะเข้าใจเรื่องนี้และใช้งานได้ จำต้องเน้นประเด็นที่ชัดเจนบางประเด็นที่เห็นว่ามีประโยชน์ สรุปได้ว่าระบบซับซ้อนมีอยู่ 2 ด้าน

ดังนี้

ด้านหนึ่ง คือการมีปฏิสัมพันธ์ เป็นปฏิสัมพันธ์ของเอเย่นต์หรือตัวแทนในระบบ เราที่เป็นสมาชิกของสังคมก็เป็นเอเย่นต์หรือของระบบ ปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวแสดงถึงลักษณะขึ้นต่อกันและเชื่อมต่อกันของเอเย่นต์เหล่านี้ เป็นพลวัตและควบคุมได้ยาก ปฏิสัมพันธ์ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่เรียกว่าการอุบัติใหม่

อีกด้านหนึ่ง ได้แก่ ความอุดมสมบูรณ์หรือความเข้มข้นของปฏิสัมพันธ์นี้ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน หรือเปลี่ยนสถานะ เช่น เกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือขบวนการ เพื่อรับมือกับสถานการณ์หรือแก้ไขปัญหา

มีของบางอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างสลับซับซ้อน เข้าใจยาก เช่น เครื่องบินเจ็ต แต่มันก็เป็นเพียงเครื่องจักรที่ซับซ้อน ไม่ใช่ระบบซับซ้อน มันไม่มีการอุบัติใหม่ หรือการเปลี่ยนผ่านไปเป็นอะไรอื่น

ภาวะซับซ้อนนี้ ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อผู้นำและการนำในศตวรรษที่ 21 คือ ก่อแรงกดดันจากความไม่แน่นอนและการจัดการอะไรไม่ได้ บีบให้ต้องติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของกลุ่มตรงข้าม การประพฤติปฏิบัติภายในองค์การ การคาดคะเนแนวโน้ม การเตรียมการรับมือและอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา

อันที่จริง ไม่ว่าผู้นำในศตวรรษไหนก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และการจัดการไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น

แต่แรงกดดันจากความไม่แน่นอนและการจัดการอะไรไม่ได้ในศตวรรษที่ 21 ได้ขึ้นสู่คุณภาพใหม่ ได้แก่ เกิดสิ่งอุบัติใหม่ที่ส่งผลกระทบกว้างไกลและรุนแรง

ถึงขั้นกระทบต่อความอยู่รอดขององค์การ ทั้งยังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ตัวอย่างเช่น โควิด-19 ที่เป็นโรคอุบัติใหม่ หรือกรณีบริษัทหัวเว่ยของจีนที่ถูกทางการสหรัฐขึ้นบัญชีดำ ห้ามบริษัทของตนขายอุปกรณ์มีไมโครชิพเป็นต้นให้ ผู้บริหารบริษัทจีนต้องประกาศแก่พนักงานของตนว่า บริษัทต้องเผชิญสถานการณ์ว่าจะอยู่หรือจะไป

มีเรื่องที่เล่าขานกันทั่วไปว่า สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง นักทฤษฎีฟิสิกส์ก้องนามชาวอังกฤษ เมื่อถูกถามว่า ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษของฟิสิกส์ใช่หรือไม่ เขาตอบว่า เขาคิดว่าศตวรรษที่ 21 เป็น “ศตวรรษแห่งความซับซ้อน”

ส่วนศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษแห่งฟิสิกส์และชีววิทยา

 

สําหรับการบริหารแบบซับซ้อนในทัศนะของ ดร.อุห์ล-เบียน และคณะ อธิบายดังนี้ว่า ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่

ก) การนำเชิงผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Leadership) การนำแบบนี้เน้นในด้านการสร้างนวัตกรรม เป็นการแสวงหาผลิตภัณฑ์ใหม่ วิธีการใหม่ และความรู้ใหม่เพื่อการแข่งขันในตลาดหรือเวทีโลก การนำแบบนี้มีความสำคัญขึ้น เนื่องจากบทบาทของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เกิดเศรษฐกิจฐานความรู้ คนงานความรู้ และเศรษฐกิจ นวัตกรรม เป็นต้น

ข) การนำเชิงบริหารหรือเชิงปฏิบัติการ เน้นในด้านลูกค้า การขายซึ่งทำให้กำไรเป็นจริง และการบริหารต้นทุน-กำไร และการเงิน ไปจนถึงงานบริหารบุคคล ซึ่งมักเป็นไปตามแบบเดิมหรือมีการเปลี่ยนแปลงน้อย พบว่าในองค์การจำนวนไม่น้อย การนำแบบเชิงบริหารตามกรอบลำดับชั้น มักขึ้นมามีอำนาจเหนือการนำเชิงผู้ประกอบการ การทำงานขององค์การนั้นกลายเป็นแบบเช้าชามเย็นชาม ขาดความริเริ่มหรือการกล้าปฏิบัติจากชั้นล่าง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นจากการนำอีกสองส่วน คือการนำเชิงผู้ประกอบการที่กล่าวมาแล้ว

ค) การนำเชิงเพิ่มศักยภาพ (Enabling Leadership) ถือได้ว่ามีความสำคัญสูงในการปรับการนำสองอย่างแรกให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนสถานะใดๆ เป็นการนำที่เน้นการอำนวยความสะดวก และช่วยการปรับตัวขององค์กร รับการอุบัติใหม่ การนำเชิงเพิ่มศักยภาพจำต้องนำมาปฏิบัติมากขึ้น เนื่องจากความกดดันจากความซับซ้อน ซึ่งเป็นการเปิด “พื้นที่แห่งการปรับตัว”

ในพื้นที่แห่งการปรับตัวหรือพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมเกิดผู้แสดงใหม่ วิธีการปฏิบัติใหม่ ช่วยให้ผ่านความซับซ้อนนี้ไป แต่พื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลงมักไม่ถาวรและดำรงอยู่ไม่นาน ผู้นำเชิงเพิ่มศักยภาพจึงจำต้องกด “กำแพงแห่งการต่อต้าน” ซึ่งมักเกิดขึ้นเสมอ ไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการเปลี่ยนแปลง ขยายพื้นที่แห่งการปรับตัวและทำให้มันมั่นคง

เพื่อการเผยแพร่และการยอมรับนวัตกรรมการปฏิบัติใหม่

 

การนำแบบซับซ้อน
ขยายจากการเน้นต้นทุนมนุษย์
สู่ต้นทุนสังคม

ในด้านการวิเคราะห์วิจารณ์การรับมือโควิด-19 ของสหรัฐ และข้อเสนอแนะบางประการ สรุปได้ว่าเมื่อเผชิญกับปัญหาใหญ่คือการระบาดของโควิด-19 สิ่งที่ปฏิบัติกันทั่วไปได้แก่การสร้างแผนปฏิบัติการที่ดีขึ้น

เช่น การตรวจเชื้อ การสนองอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น

แต่ผู้นำแบบเก่าที่ไม่เป็นแบบซับซ้อนมีการตอบโต้ปัญหาซับซ้อนอยู่ชุดหนึ่ง คือ การปฏิเสธว่ามันดำรงอยู่ คิดว่ามันจะยุติหรือหายไปเอง หรือกลับไปเหมือนเดิมได้ คิดว่าระบบที่เป็นอยู่ก็เพียงพอ

ให้การรับมือ คือมีการตอบโต้แบบสั่งการและจัดระเบียบเป็นหลัก

ส่วนผู้นำแบบซับซ้อนหรือแบบปรับตัว จะมีการตอบโต้อีกแบบหนึ่ง ได้แก่ การสร้างยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการที่ดี ผสานกับการตอบโต้จากท้องถิ่นและเชิงผู้ประกอบการ ซึ่งจะทำให้เกิดการโต้ตอบเชิงปรับตัว อาศัยนวัตกรรมและการปรับตัวตั้งแต่ในระดับท้องถิ่น ซึ่งการตอบโต้ในระดับท้องถิ่นนั้น เหมาะกับสถานการณ์ที่เป็นจริงมากกว่า ผู้นำแบบปรับตัวจะฉวยโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลง ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นมั่นคง กระทั่งเป็นสถาบัน เช่น ในการระบาดของโควิด-19 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์และสาธารณสุขหลายประการ ได้แก่ สุขภาพทางไกล ซึ่งแพทย์จำนวนไม่น้อยปฏิเสธ ทำงานจากบ้าน การประชุมเสมือนจริง ผ่านแอพพลิเคชั่น “ซูม” เป็นต้น ควรจะได้แพร่กระจายการปฏิบัตินี้ลงสู่ชุมชน

(ดูปาฐกถาของ ศ. Mary Uhl-Bien ในโปรแกรม The Leadership Lectures 2012-2013 ใน lead.fiu.edu และบทความของ Diane Ketley ชื่อ Covid-19 – A Complexity Leadership Response ใน nhshorizons.passle.net 07/07/2020 เป็นต้น)

 

ทฤษฎีการนำแบบซับซ้อนในทำนองนี้ ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือใหม่สำหรับผู้นำในศตวรรษที่ 21 ในการรับมือกับความซับซ้อนได้ดีขึ้น เกิดความยืดหยุ่นและคงทนแก่ระบบ ลดทอนผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนผ่านและสามารถก้าวเดินต่อไปได้ เป็นการนำที่คนหมู่มากนำคนหมู่มาก ไม่ใช่คนคนเดียวหรือคนกลุ่มเล็กกลุ่มเดียว

อย่างไรก็ตาม ในองค์กรใหญ่โดยเฉพาะในระดับรัฐและระหว่างรัฐ ระบบซับซ้อนกินความกว้างและเกิดโจทย์ใหม่มากกว่านั้น ในหลายด้านด้วยกัน คือ

ข้อแรก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเอเย่นต์หรือตัวแทนในระบบมีความหลากหลาย มีทั้งด้านที่เห็นด้วยกับระบบ และด้านที่เป็นปรปักษ์กับระบบ และในสองด้านใหญ่นี้ก็มีองค์ประกอบย่อยและการแปรเปลี่ยนไปมา เช่น เคยเห็นด้วยกับระบบกลับมาเป็นปรปักษ์และกลับกัน กลุ่มนายทุนทั้งหลายมักสามัคคีกันเพื่อมีอำนาจเหนือแรงงาน แต่ในบาง เงื่อนไขกลับเป็นปรปักษ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ข้อที่สอง ในสังคมชนชั้นที่มีการแบ่งคนเป็นสองกลุ่มใหญ่ได้แก่ ชนชั้นผู้ปกครองกับชนชั้นผู้ถูกปกครอง ทั้งสองกลุ่มนี้มีด้านที่อยู่ด้วยกันแต่ก็มีด้านที่เผชิญหน้าเป็นปรปักษ์กัน ในปัจจุบันเห็นกันว่าความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้การเผชิญหน้าเป็นปรปักษ์กันรุนแรงขึ้น ในขณะนี้ที่ปรากฏความเหลื่อมล้ำขยายตัวทั่วโลก และก็พบว่าเกิดความขัดแย้ง แตกแยกรุนแรงในประเทศต่างๆ มากตามไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้ว ในสหรัฐรุนแรงถึงขั้นกล่าวกันว่าอาจเกิดสงครามกลางเมืองครั้งที่สอง

ข้อที่สาม ระบบซับซ้อนที่ทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพและความคงทน จำต้องมีการไหลเวียนทางข่าวสารและทรัพยากร ได้แก่ พลังงานและวัตถุ ทั่วถึงทั้งระบบ แต่เมื่อเกิดความเหลื่อมล้ำ ความแตกแยกที่เป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนอย่างรุนแรงดังกล่าวแล้ว ระบบซับซ้อนที่ดำรงอยู่นี้ ย่อมอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ยากที่จะแก้ไขวิกฤติและปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นได้

ข้อที่สี่ เทคโนโลยีด้านข่าวสารและการสื่อสารที่คาดหวังว่าจะช่วยให้การแลกเปลี่ยนข่าวสารเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน สามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้เพียงครึ่งเดียวหรือน้อยกว่านั้น ในอีกครึ่งหนึ่ง เกิดการบิดเบือนข่าวสาร การสร้างข่าวปลอม การมีข้อมูลข่าวสารมากเกินไป เทคโนโลยีข่าวสารที่ก้าวหน้ากลายเป็นการเสริมสร้างกลุ่มพวกแบบพวกใครพวกมันมากขึ้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยปลีกตัวไปอยู่กับสมาร์ตโฟนและอินเตอร์เน็ต

สังคมทั้งหลาย/สังคมโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น การสร้างเครื่องมือใหม่อย่างเช่นทฤษฎีการนำแบบซับซ้อน แม้ว่าจะอยู่ในระยะเริ่มต้น ก็นับว่าน่าสนใจ การนำมาใช้กับกรณีโควิด-19 ทำให้เกิดความสำนึกขึ้นว่า การต่อสู้กับไวรัสชนิดนี้ ไม่สามารถกระทำได้โดยลำพังประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่จะสัมฤทธิผลเมื่อเกิดความร่วมมือกันระหว่างชาติ

ฉบับต่อไปจะกล่าวถึงสมรภูมิใหญ่ของการต่อสู้กับโควิด-19

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...