หวั่นภาวะถดถอยซ้ำ
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
คำถามที่ว่า “เศรษฐกิจถดถอยใกล้มาถึงหรือยัง” ดูเหมือนจะได้คำตอบกลาย ๆ แล้วในตอนนี้ อย่างน้อยมาจากการประเมินของเวิลด์แบงก์ที่เห็นว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และกลุ่มยูโรโซน ค่อย ๆ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจดิ่งลง
ผู้คนจะค่อย ๆ รับรู้ถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มรู้สึก “เจ็บ” มากขึ้นในปีหน้า เมื่ออาการถดถอยเริ่มสำแดงในชีวิตประจำวัน ทั้งการกิน การอยู่ การต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆ ซึ่งล้วนต้องมีต้นทุน
เช่นคนจำนวนมากที่ถูกเลย์ออฟจากบริษัทกิจการต่าง ๆ จะหางานใหม่ยากขึ้น รายได้ที่ลดลงหรือหายไป จะทำให้การก่อหนี้ใหม่ทับถมหนี้เก่า ยิ่งมาเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่กดไม่ลง และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์แห่งต่าง ๆ การแสวงหาโอกาสทางการเงินเพื่อสร้างอาชีพยิ่งริบหรี่ลง
ธนาคารโลกยกตัวอย่างช่วงเศรษฐกิจถดถอย เมื่อ 40 ปีก่อน ว่าทำให้เกิดวิกฤตหนี้ไปทั่ว และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูญหายไปในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานานนับสิบปี แม้ว่าสถานการณืปัจจุบันน่าจะไม่เหมือนในอดีต โดยเริ่มมีการฟื้นตัวด้วยการท่องเที่ยว
แต่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงที่ซับซ้อนจากสงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ขณะที่ประเทศไทยเพิ่งประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 13 ระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (2566-2570)
เป้าหมายส่วนหนึ่งของแผน 13 คือการมีรายได้ประชากรต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 300,000 บาทต่อคนต่อปี จากปัจจุบัน 270,000 บาทต่อคนต่อปี พร้อมลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ ความแตกต่างของความเป็นอยู่
รวมถึงลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงตามกติกาโลก โดยจะลดลงไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับปริมาณปกติ การเดินแผน 5 ปีดังกล่าวจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 นี้ ซึ่งน่าวิตกว่า ภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนแผนนี้มากน้อยเพียงใด
ขณะที่ต้องรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจและความเสี่ยงเฉพาะหน้า ทั้งราคาพลังงาน ค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ ไปจนถึงการก่อหนี้ใหม่ ทั้งของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ รวมกันกว่า 1 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการจัดทำงบประมาณขาดดุลปี 2566 อีก 6.95 แสนล้านบาท
ขณะที่ปัจจัยทางการเมือง จะมีการตัดสินวาระผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่มีความขัดแย้งสูงและลากยาวทั้งทางการเมืองและสังคม ตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหารที่ทำให้กลไกประชาธิปไตยถดถอย
จึงน่าวิตกอย่างยิ่งว่า กรณีของไทย การถดถอยทางเศรษฐกิจอาจถูกซ้ำด้วยการถดถอยทางการเมืองอีกหรือไม่