ศึกเขมรโจทย์ใหญ่ “นายกฯหนู”
โดยมีรายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 มีการตรวจพบการเคลื่อนย้ายรถถังของฝ่ายกัมพูชา ที่จ.อุดรมีชัย และในพื้นที่ช่องบก และช่องอานม้า ตรวจพบการเคลื่อนย้ายจรวด RM – 70 ของฝ่ายกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร รวมถึงในพื้นที่ช่องจอม และช่องเสม็ด ตรวจพบการเคลื่อนย้ายจรวด BM.- 21 และ Type – 90 B ของฝ่ายกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ กรุงสำโรง จ.อุดรมีชัย ขณะเดียวกันมีการตรวจพบทหารกัมพูชาสั่งการให้กำหนดเป้าหมายของอาวุธยิงสนับสนุน เล็งมาในพื้นที่ไทย ห่างจากท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ประมาณ 13 กิโลเมตร และบ้านจรูกแขวะ ต.โคกยาง อ.ปราสาท สุรินทร์ ห่างจากชายแดน 31 กิโลเมตร
ขณะที่ “บิ๊กเล็ก”พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ออกมาประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า รู้สึกผิดหวังจากคำแถลงการณ์ รมว.กลาโหมกัมพูชา ที่รับฟังรายงานโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่ายไทยได้เตือนไปหลายครั้งแล้วว่า สิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาในระดับนโยบายได้รับรายงานไม่เป็นความจริง และในความเป็นจริงทหารกัมพูชาที่อยู่แนวหน้ามีการยั่วยุฝ่ายไทยมาโดยตลอด ทําเช่นนี้เสมอ จนกระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทหารไทยได้รับบาดเจ็บถึง 2 นาย แต่ทาง รมว.กลาโหมกัมพูชามาแถลงว่าไม่มีการยิงตอบโต้
งานนี้ “นายกฯหนู“ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เรียกผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าหารือด่วนบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ถกเครียดประเมินสถานการณ์ ภายหลังกัมพูชาใช้ปืนใหญ่ จรวดBM21 และเครื่องยิงลูกกระสุน ยิงใส่ฐานทัพทหารไทย และยิงลงพื้นที่พลเรือนบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ จากเหตุการณ์ส่งผลให้มีทหารไทยเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ พร้อมออกแถลงการณ์มีมติปฏิบัติการทางทหารตอบโต้ในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่น ๆ ที่มีความจำเป็น
ทว่าตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ “อนุทิน”ดำรงตำแหน่งนายกฯ มีปัญหาถาโถมเข้ามาหลายเรื่อง เสร็จจากมรสุมภัยน้ำท่วม มาเจอกับกระแสข่าวภาพหลุด หลังจากร่วมแถลงข่าวยึดทรัพย์สแกมเมอร์ แต่สิ่งที่สังคมคาดหวังไว้มากที่สุด คือการแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุการณ์บานปลายจนเปิดฉากยิงตอบโต้กัน “ผู้นำประเทศ”แสดงภาวะผู้นำใช้ความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว ในการสั่งการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา เดินหน้าลุยให้กองทัพปกป้องอธิปไตยอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่สถานการณ์ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทุกการตัดสินใจของรัฐบาลอยู่บนความปลอดภัยของประชาชน ขณะที่“นายกอนุทิน”เข้ามาทำงานเพียงชั่วคราวในเวลาสั้นๆ แค่ 4 เดือน กับภาระที่ยิ่งใหญ่ และเป็นงานหินในมือที่ต้องจัดการในเวลาจำกัด งานนี้วัดฝีมือผู้นำประเทศจะสามารถรักษาอธิปไตยและนำพาประเทศไทยผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป.