โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

เหล่าทัพแถลงจุดยืน 5 ข้อ ลั่นไทยจะไม่ทนกับการกระทำของกัมพูชาอีกต่อไป

ไทยโพสต์

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

ตัวแทนเหล่าทัพแถลงเหตุปะทะ 7-9 ธันวาคม ยืนยันไทยถูกโจมตีก่อนหลายจุด พร้อมประกาศจุดยืน 5 ข้อว่าไทย “จะไม่อดทนต่อการกระทำของกัมพูชาอีกต่อไป” และเดินหน้าปฏิบัติการปกป้องอธิปไตยตามแผนทุกมิติ

9 ธันวาคม 2568 - พล.อ.ท. จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก พล.ต.ต. ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าวการดำเนินการของเหล่าทัพต่อสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

โดย โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า สถานการณ์การปะทะที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดจากการเปิดฉากยิงโจมตีทหารไทย ในพื้นที่ภูผาเหล็ก - พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา รวมทั้งการปะทะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.68)

นำไปสู่ประเด็นหลัก 5 ประการ ที่ไทยไม่สามารถอดทนอดกลั้นกับการกระทำของกัมพูชาได้อีกต่อไป ได้แก่ การกระทำแบบเดิม ๆ ของฝ่ายกัมพูชา โดยเป็นการรุกรานไทยและปฏิเสธการกระทำดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ เช่น การรอบวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา ถึงแม้ว่ากัมพูชาจะพยายามสร้างภาพในการเรียกร้องสันติภาพและการใช้การยับยั้งชั่งใจ แต่ก็เป็นฝ่ายยุยงยั่วยุและรุกรานก่อนเสมอ

ประเด็นที่ 2 ไทยเองมุ่งมั่นปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเราจำเป็นที่จะต้องดำเนินการทางทหารอย่างถึงที่สุด เพื่อปกป้องบูรณภาพและดินแดนของไทย

ประเด็นที่ 3 คือ ประชาชนคนไทยหมดความอดทนอดกลั้นต่อการดำเนินการของกัมพูชาที่ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศไทย รวมถึงการที่คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อความปลอดภัยครั้งแล้วครั้งเล่า รัฐบาลไทยจึงต้องให้ความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย และประชาชนของเราทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคาม

ประเด็นที่ 4 ท่าทีของไทย และการปฏิบัติการทหารของไทยจะดำเนินไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน เช่น การกลับมาเลือกเดินบนทางเดินสู่สันติภาพที่แท้จริง

และประเด็นสุดท้าย กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงต่างๆ รวมถึงข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วม หรือ joint declaration ที่ได้มีการลงนามที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียที่ผ่านมา

พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงสถานการณ์การปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่รับผิดชอบ ภายหลังเหตุปะทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ซึ่งเกิดจากการที่กำลังทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธโจมตีใส่กำลังพลของฝ่ายไทยก่อน

สำหรับสถานการณ์ในวันที่ 8 ธันวาคมเป็นต้นมา การปะทะได้ขยายวงครอบคลุมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว โดยฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธทุกประเภทในการโจมตี ทั้งอาวุธกล ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง และโดรนทิ้งระเบิด รวมทั้งการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ต่อฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง

ภายใต้สถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียด กองทัพบกได้ปฏิบัติการทางทหารตามแผนเผชิญเหตุอย่างเป็นระบบ เพื่อการป้องกันตนเอง ควบคู่กับการผลักดันพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำอธิปไตย และทำลายศักยภาพการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาไม่ให้สามารถเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทยได้อีก

โดยในห้วงวันที่ 8 ธันวาคมจนถึงปัจจุบัน มีผลการปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ การทำลายตึกคาสิโนร้างเครือข่ายสแกมเมอร์ที่ถูกใช้เป็นฐานทางทหารและจุดปล่อยโดรนในพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี การทำลายเสาสัญญาณระบบ Anti-Drone ในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ การกวาดล้างพื้นที่รุกล้ำบริเวณช่องระยี อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และการผลักดันทหารกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทคนา ซึ่งยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จเนื่องจากมีสนามทุ่นระเบิดโดยรอบ

กองทัพภาคที่ 2 ยังทำลายกระเช้าลำเลียงเสบียงบริเวณเนิน 350 พื้นที่ปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ขณะที่กองทัพภาคที่ 1 รายงานผลการผลักดันพื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง และบ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว โดยเวลา 17.00 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม สามารถควบคุมพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วได้แล้ว ส่วนพื้นที่อื่นยังคงปฏิบัติการต่อเนื่อง

สำหรับการปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม กองทัพบกมีกำลังพลเสียชีวิต 1 นาย คือ จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต และมีผู้บาดเจ็บรวม 29 นาย ซึ่งกองทัพบกยืนยันว่าจะดูแลกำลังพลและครอบครัวของผู้เสียสละอย่างครบถ้วนและรวดเร็ว

กองทัพบกย้ำว่าทุกการปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพดินแดน และความปลอดภัยของประชาชนไทยในพื้นที่ชายแดน ตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรง แต่จำเป็นต้องตอบสนองต่อการล่วงละเมิดอธิปไตยอย่างเหมาะสม

ในส่วนของกองทัพเรือ พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ กล่าวว่า ช่วงเช้าวันนี้กองทัพเรือเปิดปฏิบัติการขับไล่ผู้รุกรานในพื้นที่บ้านหนองรี ตำบลชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด หรือ “บ้าน 3 หลัง” ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทเดิม โดยแม้จะเคยผลักดันทหารกัมพูชาออกไปแล้ว แต่ล่าสุดตรวจพบว่ามีการลอบกลับเข้ายึดครองพื้นที่และเสริมกำลังใหม่

มีการปรับปรุงฐานที่มั่น ขุดคูเลต วางกำลังพลซุ่มยิง ลาดตระเวนบ่อยครั้ง รวมถึงใช้อากาศยานไร้คนขับบินตรวจการณ์ในพื้นที่ไทย ซึ่งจุดที่ถูกยั่วยุคือฐานนาวิกโยธิน

แม้จะเจรจามาโดยตลอด แต่การยั่วยุรุนแรงขึ้น จึงต้องใช้กำลังผลักดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ตั้งแต่เวลา 05.30 น. ของวันนี้ และยังคงมีการปะทะต่อเนื่อง โดยยืนยันว่าใช้อาวุธเท่าที่จำเป็น หลังจากผู้ว่าราชการจังหวัดตราดอพยพประชาชนตั้งแต่เมื่อวาน

ด้านกองทัพอากาศ พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย ชี้แจงว่า ภารกิจตั้งแต่เวลา 07.00 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม เป็นการสนับสนุนกองกำลังสุรนารีในการตอบโต้การโจมตีของกัมพูชา โดยมุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหารที่กระทบความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งกำหนดร่วมกับกองทัพบก

กองทัพอากาศระบุว่าจะโจมตีอย่างต่อเนื่องจนกัมพูชายุติการคุกคาม และจะสนับสนุนกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี–ตาก เพื่อให้ภารกิจสำเร็จ

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 2 และ 3 และตำรวจตระเวนชายแดน ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจเส้นทางอพยพ สนับสนุนการอพยพตามหลักมนุษยธรรม จัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ อำนวยความสะดวกจราจร และดูแลทรัพย์สินไม่ให้ถูกลักขโมย

ตำรวจยังดูแลสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ สุนัข แมว เพื่อให้ประชาชนสบายใจ โดยในพื้นที่ภาค 3 มีศูนย์พักพิง 687 แห่ง ประชาชนกว่า 1 แสนคน ส่วนภาค 2 มี 44 แห่ง ประชาชนกว่า 2 หมื่นคน โดยมีตำรวจ 5 พันนายดูแล พร้อมคำสั่งผบ.ตร. เตรียมกำลังเต็ม 100% สนับสนุนทุกภารกิจเพื่อความปลอดภัยประชาชน.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...