สมช. ออกแถลงการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หากถูกรุกรานไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเอง
31 ธันวาคม 2568 สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เผยแพร่แถลงการณ์ถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ว่า
1.สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ยินดีกับแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ที่เป็นผลลัพธ์จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย - กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/2568 ที่สะท้อนให้เห็นความจริงใจและเจตนารมณ์ของไทย ในการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีผ่านกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคี ที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกัน โดยแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวดำเนินการภายใต้กรอบที่สภาความมั่นคงและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568
2.สมช. ขอยืนยันว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นผลจาก การพิจารณาและตัดสินใจร่วมกันของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการคุ้มครองชีวิตความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของเจ้าหน้าที่และประชาชน
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักการแห่งสันติภาพและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประเทศไทยถูกละเมิดอธิปไตยหรือถูกรุกรานอีกครั้ง ประเทศไทยมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมในการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้กรอบของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวมาโดยตลอดอย่างเคร่งครัดและสมำเสมอ
3. ประเด็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย - กัมพูชา ที่ผ่านมารัฐบาล กองทัพ ภายใต้การสนับสนุนของประชาชน ได้ร่วมกันทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างสุดความสามารถ ซึ่ง สมช. ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์
อย่างไรก็ดี สมช. มีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนอย่างเหมาะสม ครอบคลุม และต่อเนื่อง ตลอดจนดูแลความเป็นอยู่และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่
4.ประเด็นด้านมนุษยธรรม ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชีวิต ศักดิ์ศรี และความปลอดภัยของบุคคลที่ไม่เข้าร่วมการสู้รบเป็นหลัก จึงนำมาซึ่งการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชาจำนวน 18 คนในวันนี้ ตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติครั้งที่ 18/2568
สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ประเทศไทยคาดหวังให้กัมพูชา แสดงท่าที่และบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมในการปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรมในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น การคุ้มครองสวัสดิภาพและอำนวยความสะดวกคนไทยในกัมพูชาให้กลับประเทศได้อย่างปลอดภัย การป้องกันอันตรายจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งนี้ กัมพูชาต้องแสดงความจริงใจในการร่วมมือและเร่งรัดการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยงอย่างจริงจัง
ขอย้ำว่าการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ได้แก่ หลักการแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน (Principle of Distinction) หลักความได้สัดส่วน (Proportionality) และหลักมนุษยธรรม (Humanity) รวมถึงเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิดดังกล่าว (Ottawa Convention)
ซึ่งมุ่งหมายให้รัฐสภางดการใช้และการกระทำใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อพลเรือนดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างเป็นระบบและป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียต่อทุกฝ่ายในอนาคต เห็นว่าการยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมและการปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญาดังกล่าวอย่างจริงใจ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้าง ความไว้วางใจ สันติภาพ และความปลอดภัยอย่างยั่งยืนตามแนวชายแดนและในภูมิภาคโดยรวม
5. ประเด็นการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่17-17ธ.ค.๒๕๖๘ กระทรวงการต่างประเทศของไทย ร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) จัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 60 ประเทศ
ซึ่งไทยถือว่าปัญหา ดังกล่าวเป็นภัยคุกคามร้ายแรงและเป็นปัญหาร่วมของประชาคมระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณนานาประเทศที่สนับสนุนบทบาทของไทยในเวทีดังกล่าว อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียดายที่กัมพูชาไม่ได้เข้าร่วมการประชุมฯ โดยที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติรวมถึงการหลอกลวงทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ร่วมกับกัมพูชาแต่การดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก จึงต้องการเห็นกัมพูชาร่วมมือในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวอย่างเด็ดขาดและเป็นรูปธรรม เพื่อความมั่นคงของภูมิภาค
6. ประเด็นเขตแดน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย - กัมพูชา ซึ่งไทยปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง และยึดถือตาม แผนที่ 1:50,000 เป็นหลัก เนื่องจากมีความชัดเจน ถูกต้องแม่นยำ สอดคล้องกับภูมิประเทศจริงและลากเส้นตามฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในอนาคตจำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขและห้วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลรักษาการ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในอนาคตที่จะพิจารณาการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ซึ่งอาจมีการทบทวน บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 43) จึงต้องคำนึงถึงเงื่อนไขในอนาคตด้วย
7. สุดท้ายนี้ ยืนยันว่าประเทศไทย จะดำรงการปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมฯ ตราบเท่าที่กัมพูชาจะดำเนินการตามแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารจะดำรงความพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ไทยส่งทหารกัมพูชา 18 คน กลับประเทศแล้ว
- ผบ.ทบ. ส่งสารอวยพรปีใหม่ 2569 ขอบคุณกำลังพล เป็นพลังสำคัญปฏิบัติภารกิจเพื่อประเทศชาติ
- กองกำลังบูรพา ยกเลิกประกาศเคอร์ฟิวพื้นที่ 4 อำเภอแนวชายแดนจังหวัดสระแก้ว
- กต. ประณามกัมพูชาทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล-เป็นการละเมิดอธิปไตย
- นายกฯ ขึ้นปราสาทตาควาย-เนิน 350 ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทหารกล้า