โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ขา11เซ่นหยุดยิง ‘ฮุน’ยื่นถกเขตแดน

ไทยโพสต์

อัพเดต 30 ธันวาคม 2568 เวลา 7.03 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“ขาที่ 11” หลังหยุดยิง ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ “เขาสัตตะโสม” เขมรยังส่งโดรน 250 ลำก่อกวน “ฮุน เซน” หวังใช้ JBC แก้เกมไทยเจรจาเขตแดน “สระแก้ว-ตราด” ขณะที่ ทบ.กร้าวทบทวนส่ง 18 เชลยศึก ยันต้องร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดก่อน ส่วนหารือ 3 ฝ่ายจีนพร้อมเป็นตัวกลางช่วยยับยั้งหยุดยิงอย่างยั่งยืน ด้าน “เหล่าทัพ” ปรับแผนรบพัฒนาอาวุธยิงระยะไกล พร้อมตั้ง บก.ไฮเทค “ในหลวง” โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศทหารที่เสียชีวิตในการสู้รบ 5 วัน

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานเหตุการณ์กรณีชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดจากกองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขณะปฏิบัติภารกิจเสริมความมั่นคงในพื้นที่บริเวณเขาสัตตะโสม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ จ.ส.ต.สุจินต์ จิตกรียาน ได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียขาซ้ายและมีบาดแผลบริเวณตาซ้าย ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เร่งปฐมพยาบาลและนำตัวส่งไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลสุรินทร์แล้ว

โฆษกกองทัพบกกล่าวอีกว่า จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่ายังมีทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาติดตั้งไว้ในพื้นที่อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ที่ฝ่ายไทยเข้าควบคุมก่อนมีการประกาศหยุดยิง ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งดำเนินการเก็บกู้ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากสภาพพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอันตรายสูง สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่เกิดเหตุและรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียด ซึ่งกองทัพบกจะส่งมอบข้อมูลทั้งหมดให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน พร้อมทั้งรายงานไปยังคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เพื่อให้ตรวจสอบและพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงตามข้อตกลงหยุดยิง

พล.ต.วินธัยยังระบุว่า ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ถึงสถานการณ์เมื่อคืนวันที่ 28 ธ.ค. 2568 ด้วยว่า ได้มีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) บินจากฝั่งกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยเป็นจำนวนมากกว่า 250 ลำ โดยพบการเคลื่อนไหวอย่างหนาแน่นในพื้นที่ช่องบก ช่องอานม้า เขาสัตตะโสม ซำแต โดนตวล ช่องกร่าง ปราสาทตาเมือนธม และช่องสายตะกู การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการยั่วยุและละเมิดมาตรการลดระดับความตึงเครียด ไม่สอดคล้องกับถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) จากผลการประชุม GBC พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีการกระทำในลักษณะยั่วยุ และมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของกำลังพล รวมถึงประชาชนในพื้นที่แนวชายแดน กองทัพบกอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนการดำเนินการเกี่ยวกับการปล่อยตัวกำลังพลฝ่ายกัมพูชาจำนวน 18 นาย ตามสถานการณ์และพฤติกรรมที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแพร่เนื้อหาการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและผู้แทนระดับสูงทางทหารของจีน กัมพูชา และไทย ณ ริมทะเลสาบฝู่เซียน มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าฝ่ายจีนได้แสดงความยินดีต่อแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สมัยพิเศษ (GBC) ครั้งที่ 3 โดยลำดับความสำคัญเร่งด่วนในขณะนี้ คือการเสริมสร้างความยั่งยืนของการหยุดยิง และทำให้มั่นใจว่าจะมีการปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิผล และวางพื้นฐานสำหรับการฟื้นฟูสันติภาพ

1.ลำดับความสำคัญเร่งด่วนในขณะนี้คือ การเสริมสร้างความยั่งยืนของการหยุดยิง และทำให้มั่นใจว่าจะมีการปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิผล ฝ่ายจีนสนับสนุนความมุ่งมั่นของกัมพูชาและไทยในเรื่องดังกล่าวผ่านความพยายามร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่า การหยุดยิงมีความสมบูรณ์และยั่งยืน และวางพื้นฐานสำหรับการฟื้นฟูสันติภาพเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสามฝ่ายสนับสนุนคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา โดยเป็นไปตามแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปสมัยพิเศษ (GBC) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2568

“ฝ่ายจีนพร้อมที่จะให้การสนับสนุนที่จำเป็นแก่กัมพูชาและไทย ในการเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมผ่านคณะทำงานประสานงานร่วม (Joint Coordinating Task Force) และกรอบความร่วมมือทวิภาคีอื่นๆ รวมทั้งให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมแก่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กองทัพจีนจะยังคงติดต่อประสานงานกับกองทัพกัมพูชาและกองทัพไทย เพื่อให้การสนับสนุนในการเสริมสร้างความยั่งยืนของการหยุดยิง เมื่อจำเป็น และได้รับการร้องขอจากทั้งไทยและกัมพูชา”

2.ขั้นตอนสำคัญถัดไปคือ การดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การฟื้นฟูการติดต่อแลกเปลี่ยนที่เป็นปกติ ฝ่ายจีนยินดีต่อความพยายามของกัมพูชาและไทย ที่พยายามจะฟื้นฟูการแลกเปลี่ยนและการสื่อสารในทุกด้านและทุกระดับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นคืนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือ ตลอดจนความเป็นอยู่ของประชาชนที่พลัดถิ่นในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบ ตามแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปสมัยพิเศษ (GBC) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ฝ่ายจีนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทันที เพื่อตอบสนองความต้องการต่างๆ ต่อการดำรงชีวิตของผู้พลัดถิ่นในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบ

3.กัมพูชาและไทยจะร่วมกันดำเนินการเพื่อฟื้นฟูความไว้วางใจทางการเมือง ซึ่งฝ่ายจีนยินดีต่อความมุ่งมั่นของกัมพูชาและไทย ในการฟื้นฟูการมีปฏิสัมพันธ์ผ่านช่องทางการทูต และการส่งเสริมการติดต่อระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ กัมพูชาและไทยตกลงที่จะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการประชุมผู้นำความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 5 ซึ่งมีแผนจะจัดขึ้นในประเทศไทยในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้การประชุมดังกล่าวประสบความสำเร็จ

4.เป้าหมายระยะยาวคือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทย ฝ่ายจีนสนับสนุนให้กัมพูชาและไทยสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากจำเป็นฝ่ายจีนยินดีที่จะอำนวยพื้นที่ในการหารือ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถสื่อสารระหว่างกันอย่างมีประสิทธิผลและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

5.การธำรงรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งกัมพูชาและไทยเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี และจะร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและความท้าทายร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน และสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งสามประเทศตกลงที่จะดำเนินมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพ ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน อาทิ การหลอกลวงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในภูมิภาค

ด้านสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้เผยแพร่แถลงการณ์จากสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการกิจการชายแดน หรือ SSBA ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีใจความสำคัญในการขอนัดประชุมร่วมกับคณะกรรมการชายแดนร่วม หรือ JBC ของฝ่ายไทย เพื่อเร่งดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนให้ชัดเจน ซึ่งมีกำหนดการจะจัดขึ้นภายในเดือนหน้าที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยย้ำชัดว่ากัมพูชาจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้กำลัง

ในรายละเอียดของแถลงการณ์ระบุว่า คณะกรรมการชายแดนร่วมฝ่ายกัมพูชาได้ส่งบันทึกทางการทูตไปยังคณะกรรมการชายแดนร่วมของฝ่ายไทย เพื่อเสนอให้มีการจัดการประชุมเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม พ.ศ. 2569 ณ เมืองเสียมราฐ เพื่อร่วมกันหารือและดำเนินการสำรวจปักปันเขตแดนให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว

สำหรับวาระสำคัญที่กัมพูชาเสนอในครั้งนี้ เน้นย้ำไปที่การส่งทีมสำรวจร่วมลงพื้นที่จริงในจุดที่เคยเป็นประเด็นขัดแย้งหลายแห่ง ประกอบด้วยพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47 บริเวณบ้านจกเจยและเปรยจัน จังหวัดบันเตียเมียนเจย, พื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52 ถึง 59 บริเวณตำบลบึงเรียง และตำบลกัมเรียง จังหวัดพระตะบอง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ทมอดา จังหวัดโพธิสัตว์ ระหว่างหลักเขตแดนหมายเลข 33 ถึง 37 บริเวณบึงตระกวน รวมถึงจุดผ่านแดนระหว่างประเทศตำบลทมอดา พื้นที่ชายแดนโอพลุกดอมเรย พื้นที่ชายแดนชอร์ 1 และพื้นที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึงบริเวณลำน้ำและแนวเขตที่เป็นเส้นตรง ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ณ กรุงพนมเปญ โดยสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการกิจการชายแดนขอยืนยันว่า คณะกรรมการฝ่ายกัมพูชายังคงยึดมั่นในจุดยืนปกป้องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ ตามที่ได้รับสืบทอดมาจากคณะกรรมการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม และพร้อมเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ คณะกรรมการฝ่ายกัมพูชาพร้อมจะดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนร่วมกับฝ่ายไทยโดยเร็วที่สุด เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน และยืนยันว่าจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนใดๆ ที่เกิดจากการใช้กำลัง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนชาวกัมพูชามอบความไว้วางใจและเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและคณะกรรมการชายแดนร่วมของกัมพูชา ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นมืออาชีพและรับผิดชอบสูงสุด โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ

ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ เดินทางไปพบนายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนว่า จีนจะให้เงินช่วยเหลือกัมพูชาในเรื่องความเสียหายจากสงคราม 20 ล้านหยวน ซึ่งจีนแจ้งมาว่าเราก็ได้ ส่วนเราจะพิจารณาอย่างไรก็ต้องให้นายสีหศักดิ์กลับมาก่อนเพื่อหารืออีกครั้ง

เมื่อถามว่า ในการพูดคุยครั้งนี้มีเงื่อนไขอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า หลักการมาแล้ว เงื่อนไขต้องกลับมาหารือมาพูดคุยกันอีกครั้ง คงเป็นเรื่องของการช่วยเหลือความเสียหายของประชาชนในเรื่องของทรัพย์สิน เมื่อถามย้ำว่า ที่นายสีหศักดิ์คุยกับนายหวัง อี้ จะมีการตกลงเงื่อนไขอะไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ เดี๋ยวรอเขาคุยกันให้เรียบร้อยก่อน ตนรับรายงานมา ไม่ได้เป็นคนไปเจรจา ต้องรอนายสีหศักดิ์กลับมาพูดคุยกันอีกที กับกัมพูชาตอนนี้เราเหลืออยู่ระดับทูตและระดับเจ้าหน้าที่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราเหมือนแค่ให้เจ้าหน้าที่เฝ้าสถานทูตไว้แค่นั้นเอง แต่จะทำอย่างไรต่อไปคงต้องค่อยๆ ขยับ เรื่องการดำเนินการด้านความสัมพันธ์อย่างไร ตรงนี้ยังต้องใช้เวลา ยังมีขั้นตอนอยู่ ตอนนี้เราเน้นในเรื่องของการสร้างความมั่นใจว่าการหยุดยิง 72 ชั่วโมง มันก็จะผ่านไปทีละเฟส

โดยนายอนุทินพร้อมคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่อีสานใต้เยี่ยมฐานปฏิบัติการทหารตาควาย จ.สุรินทร์ เพื่อให้กำลังใจกำลังพลที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดน และได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับกำลังพล จากนั้นได้เดินดูชีวิตความเป็นอยู่ของกำลังพลก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังบริเวณปราสาทตาควาย รวมถึงจุดที่ทหารไทยเสียชีวิตจากการสู้รบ

วันเดียวกัน มีการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) มี พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน โดยกองบัญชาการกองทัพไทยได้แจกเอกสารข่าวเกี่ยวกับผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถด้านอาวุธยิงระยะไกลในทุกเหล่าทัพ เพื่อให้ทุกหน่วยรับทราบและนำไปสู่การพัฒนายุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยกองบัญชาการกองทัพไทยชี้แจงแนวคิดการจัดตั้งหน่วยบัญชาการขีดความสามารถร่วมกองทัพไทย (Joint Capabilities Command: JCC) ซึ่งจะทำหน้าที่บูรณาการการใช้ขีดความสามารถร่วมในการปฏิบัติภารกิจ โดยเฉพาะด้านการปฏิบัติการไซเบอร์ ด้านการปฏิบัติการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ด้านเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติและการป้องกันภัยทางอากาศ คาดว่าจะสามารถเริ่มปฏิบัติงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป

สำหรับแนวทางการพัฒนาอาวุธยิงระยะไกล เป็นไปตามเอกสารยุทธศาสตร์และการพัฒนากองทัพของกระทรวงกลาโหม และเอกสารสมุดปกขาวของกองบัญชาการกองทัพไทย รวมถึงนโยบายของผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่กำหนดยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นกองทัพที่ทันสมัยตามแนวคิด “RTARF 2050” จึงมีแนวคิดในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อน และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาได้ภายในปีงบประมาณ 2570

โดยกองทัพบกนำเสนอ แนวทางการพัฒนาอาวุธยิงระยะไกลของกองทัพบก มุ่งเน้นการพัฒนาทั้งขีดความสามารถและประสิทธิภาพควบคู่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วมในหลายมิติ ซึ่งเครื่องมือทางยุทธศาสตร์และยุทธการที่สำคัญที่สุดในการบรรลุผลสัมฤทธิ์ดังกล่าว คือระบบอาวุธยิงสนับสนุนระยะไกลที่มีความแม่นยำ (Long Range Precision Fires, LRPF) ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวสู่การปฏิบัติการร่วม (Joint Integration) ให้สอดคล้องกับหลักนิยมของหน่วยดำเนินกลยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานยศทหารเป็นกรณีพิเศษ แก่ข้าราชการทหาร สังกัดกองทัพบก ที่เสียชีวิตเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการในเวลาเหตุฉุกเฉิน จำนวน 14 ราย ดังนี้ 1.จ.ส.อ.ธวัชชัย บุสภา เป็นพลตรี ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 2568 2.จ.ส.อ.ธีระยุทธ สีจุ้ยจ้าย เป็นพลตรี 3. จ.ส.อ.อโณทัย ป้องแก้ว เป็นพลตรี 4.จ.ส.อ.อภิรมย์ ทรงพุฒิ เป็นพลตรี ทั้ง 3 ราย ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 2568 5.ส.อ.จิรายุ สิงห์อ้น เป็นพันตรี 6.ส.อ.นพพล บุญเลิศ เป็นพันตรี 7.ส.อ.กฤษฎา น้อยโคตร เป็นพันตรี 8.ส.อ.จิรายุส อินทุมาน เป็นพันตรี ทั้ง 4 ราย ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 2568 9.ส.อ.อัมรินทร์ ผาสุข เป็นพันตรี ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 2568 10.ส.ท.ศราวุฒิ นามสวัสดิ์ เป็นร้อยเอก ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 2568 11.พลทหารวรัญชิต ยวงสุวรรณ เป็นร้อยตรี ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 2568 12.พลทหารญาณพัฒน์ โคตรสาขา เป็นร้อยตรี ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. 2568 13.พลทหารสิรวิชญ์ ภิญโญสุข เป็นร้อยตรี 14.พลทหารธีรยุทธ กระจ่างทอง เป็นร้อยตรี ทั้ง 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 2568 ประกาศ ณ วันที่ 26 ธ.ค. 2568.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...