โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

10 ข่าวเด่นธุรกิจ-เศรษฐกิจปี 2568

The Bangkok Insight

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • The Bangkok Insight

รวม 10 ข่าวเด่นธุรกิจ-เศรษฐกิจปี 2568

ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของดุสิตธานี

เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของกลุ่มดุสิตธานี ทั้งจากความขัดแย้งภายในองค์กร และความโดดเด่นจากการเปิดตัวโครงการยักษ์ใหญ่ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 4.6 ล้านบาท

กลุ่มดุสิตธานี นับเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวไทยที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมหรูมานานกว่า 50 ปี โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ตัั้งแต่ปี 2513 และขยายธุรกิจโรงแรมทั่วประเทศจนถึงต่างประเทศ ต่อมาในปี 2562 ได้ถูกรื้อถอนเพื่อพัฒนาโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โครงการมิกซ์ยูสที่ร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัลมูลค่าโครงการกว่า 4.6 ล้านบาท

ในปี 2568 เกิดประเด็นที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการธุรกิจและตลาดทุนอย่างมาก เมื่อเกิดความขัดแย้งภายในระหว่าง กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่สองกลุ่ม จนนำไปสู่การเสนอถอดถอน ชนินทธ์ โทณวณิก ในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2568 แต่ผลการลงมติ กลับปรากฏว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมากและพันธมิตรทางธุรกิจดั้งเดิมพร้อมใจกันเทคะแนนเสียงสนับสนุนคณะกรรมการชุดเดิม ทำให้ ชนินทธ์ยังคงรักษาตำแหน่งและอำนาจการบริหารไว้ได้

ชนินทธ์ โทณวณิก

หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ชนินทธ์ได้กลับมาควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีอีกครั้ง ต่อจาก ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ลาออกไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและพนักงาน

ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของ ธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการผลตอบแทนที่รวดเร็ว (Short-term gain) ในขณะที่ผู้ก่อตั้งพยายามรักษาเอกลักษณ์และวิสัยทัศน์ระยะยาว (Long-term value)

อีกความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองและเป็นความหวังของกลุ่มดุสิตธานีคือ การเปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ และโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่จะกลายเป็นเรือธงสำคัญในการสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับกลุ่มดุสิตธานีในอนาคต

สมรภูมิอีคอมเมิร์ซเดือดฉุดไม่อยู่ เมื่อโซเชียลโดดลุยชิงตลาด

ในปี 2568 สมรภูมิอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเส้นแบ่งระหว่าง โซเชียลมีเดีย กับ มาร์เก็ตเพลส แทบจะหายไป จากการที่แพลตฟอร์มโซเชียล ปรับตัวจากการให้ความบันเทิงด้านคอนเทนต์ สู่ห้างสรรพสินค้าดิจิทัลเต็มรูปแบบที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากยักษ์ใหญ่อย่าง ช้อปปี้ และ ลาซาด้า อย่างดุเดือด

ทั้งนี้จะเห็นได้จากแพลตฟอร์มโซเชียลยักษ์ใหญ๋อย่าง TikTok Shop ที่ได้ยกระดับจากโซเชียลคอมเมร์ สู่อีมาร์เก็ตเพลสเต็มรูปแบบ จนครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 21% ทะยานขึ้นอันดับ 3 ของตลาดมาร์เก็ตเพลส โดยใช้กลยุทธ์ Shoppertainment หรือความสนุกจากวิดีโอสั้นและ ไลฟ์คอมเมิร์ซดึงดูดผู้ซื้อ เห็นได้จากสถิติที่พบว่า คนไทยชอบดูไลฟ์ ผ่าน TikTok สูงถึง 86%

นอกจากนี้ TikTok ยังมี ระบบนายหน้า (Affiliate) ที่แข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้ครีเอเตอร์นับแสนรายช่วยโปรโมทสินค้าให้แบรนด์ตลอด 24 ชั่วโมง

อีกรายที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือ Meta ที่มีเครือข่ายโซเชียลแข็งแกร่งอย่าง เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ที่กระโดดเข้ามาในสมรภูมินี้อย่างหนักหน่วง โดยเฟซบุ๊กยังคงครองฐานผู้ใช้สูงสุดในไทย กว่า 90% และอินสตาแกรมกลายเป็นพื้นที่หลักสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นที่เน้นความสวยงาม ขณะที่เฟซบุ๊ก ยังคงเป็นช่องทางหลักสำหรับการซื้อขายสินค้ามือสองและการซื้อขายในท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม เทรนด์สำคัญที่ทุกแพลตฟอร์มใช้ชิงตลาดคือการใช้ AI วิเคราะห์ความชอบส่วนบุคคลเพื่อนำเสนอสินค้าที่ผู้ใช้มีโอกาสซื้อมากที่สุดขึ้นมาบนหน้าฟีด รวมถึงการลดขั้นตอนการสั่งซื้อให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้ลูกค้าเปลี่ยนใจระหว่างทาง และการใช้วิดีโอในการขายสินค้ามากกว่ารูปภาพนิ่ง

ปี 2568 AI จากทางเลือกสู่เครื่องมือหลัก

ในปี 2568 AI ไม่ได้เป็นเพียง ทางเลือก อีกต่อไป แต่กลายเป็น เครื่องมือหลักของธุรกิจไทยและทั่วโลก โดยเปลี่ยนผ่านจากแค่การใช้แชทบอทตอบคำถาม ไปสู่การเป็น Agentic AI หรือระบบที่ตัดสินใจและทำงานแทนมนุษย์ได้มากขึ้น

ปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่ง AI Agent หรือพนักงาน AI อัตโนมัติ ที่ธุรกิจในปี 2568 เริ่มนำ AI Agents มาใช้งานจริง ไม่ใช่แค่โต้ตอบ แต่สามารถลงมือทำ ตัวอย่างเช่น งานในฝ่ายขายและการตลาด AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจาก CRM เพื่อร่างอีเมลนำเสนอสินค้าเฉพาะบุคคล (Hyper-personalization) และส่งหาลูกค้าในเวลาที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ, ฝ่ายไอที ที่ AI สามารถแก้ไขปัญหาทางเทคนิคเบื้องต้น ได้ถึง 60% โดยไม่ต้องใช้มนุษย์ ช่วยลดระยะเวลาการรอสายของลูกค้า หรือฝ่ายบุคคล ที่สามารถใช้ AI ช่วยคัดกรองเรซูเม่ จัดตารางสัมภาษณ์ และตอบคำถามสวัสดิการพนักงานผ่านระบบภายใน เป็นต้น

นอกจากนี้ AI ยังสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อแบบ Real-time เพื่อเสนอโปรโมชั่นที่ ตรงใจ รายบุคคล เช่น การปรับราคาสินค้าหรือส่วนลดตามพฤติกรรมการเข้าชมเว็บ ตลอดจนการนำมาใช้ร่วมกับ AR (Augmented Reality) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าลองสินค้าเสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

ที่สำคัญ AI ยังการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการช่วยพยากรณ์ความต้องการสินค้า (Demand Forecasting) ได้แม่นยำขึ้น ลดปัญหาของขาดสต็อกหรือสินค้าค้างคลัง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของ AI นำมาซึ่งความท้าทายที่ธุรกิจไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) เพื่อป้องกันอคติ และความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ AI Literacy (ความเข้าใจในการใช้งาน AI) พุ่งสูงขึ้น องค์กรส่วนใหญ่จึงหันมาลงทุนในการพัฒนาทักษะพนักงานเดิมมากกว่าการจ้างใหม่ทั้งหมด

รถไฟฟ้าปี 2568 ปีแห่งการรวมระบบและลดราคา

ในปี 2568 ถือเป็นปีที่ระบบขนส่งมวลชนทางรางหรือ รถไฟฟ้า ในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองอย่างมาก ทั้งเรื่องการก่อสร้างที่เข้าสู่ช่วงสำคัญ และนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อกระเป๋าเงินของผู้โดยสาร

เริ่มจากนโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ใหญ่ที่สุดในปี 2568 โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ดำเนินการตามที่หาเสียงไว้ เริ่มสายสีแดงและสายสีม่วง ที่จัดเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย

แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ใช้ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายถึง 30 พ.ย. 2568 จากนั้นได้คลอดมาตรการใหม่คือ บัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันสูงสุดไม่เกิน 40 บาทตลอดวัน สำหรับประชาชนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2568-30 พ.ย. 2569 สำหรับสายสีแดงและสายสีม่วงแทน

มาตรการนี้ ยังเป็นก้าวแรกสู่ระบบ ตั๋วร่วม (Common Ticket) ที่รัฐบาลเร่งผลักดัน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบรางทั้งหมดด้วยบัตรใบเดียวในอนาคต ขณะที่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังคงได้รับส่วนลดหรือยกเว้นค่าโดยสารตามสิทธิประโยชน์เดิม

ส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้าในปี 2568 มีความเคลื่อนไหว ดังนี้

  • สายสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี) ก่อสร้างใกล้เสร็จสมบูรณ์ (กว่า 98%) แต่ยังไม่เปิดให้บริการจริง รอการทดสอบระบบและขบวนรถ คาดว่า จะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2570
  • สายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2568 ก่อสร้างคืบหน้า 18.85% มีเป้าหมายเปิดให้บริการเต็มรูปแบบพร้อมกับส่วนตะวันออกในปี 2573
  • สายสีม่วงใต้ (เตาปูน - ราษฎร์บูรณะ) ณ สิ้นเดือนพ.ย. 2568 งานโยธาโดยรวมอยู่ที่ 66.14% คาดว่าจะทยอยเปิดให้บริการนำร่องบางส่วนในปี 2570-2571 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบพร้อมสายสีส้มตะวันตกปี 2573
  • สายสีชมพู ส่วนต่อขยาย (สถานีศรีรัช - เมืองทองธานี): เปิดให้บริการแล้วเมื่อกลางปี 2568
  • สายสีน้ำตาล (แคราย - ลำสาลี) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2569-2570 และเปิดให้บริการได้ราวปี 2572-2573 ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการปรับปรุงรายงานผลการศึกษาและ EIA

จาก "คนละครึ่ง" สู่ "คนละครึ่งพลัส" มาตรการโดนใจกระตุ้นเศรษฐกิจ

โครงการคนละครึ่ง เริ่มต้นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2563 สมัยรัฐบาล "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนจะดำเนินโครงการเพิ่มเติมต่อมาจนถึงเฟสที่ 5 และสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2565 กินระยะเวลาราว 2 ปี ใช้งบประมาณตลอดทั้ง 5 เฟส รวมทั้งสิ้นราว 208,400 ล้านบาท

โครงการคนละครึ่ง มีระยะเวลาดำเนินการราว 2 ปี ตลอดโครงการคนละครึ่งทั้ง 5 เฟส มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวมกันกว่า 4.2 แสนล้านบาท รวมทั้งมีประชาชนกว่า 20-28 ล้านคนที่เข้าร่วมในโครงการนี้

ผ่านไป 3 ปี โครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาอีกครั้งในชื่อ "คนละครึ่งพลัส" โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐต่อยอดจาก "คนละครึ่ง" เดิม โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์และขยายกลุ่มผู้ได้รับสิทธิให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งประชาชนทั่วไป ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้เสียภาษี โครงการนี้มุ่งช่วยลดค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อ และส่งเสริมการเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง โดยภาครัฐแจกเงินช่วยค่าครองชีพปี 2568 รัฐช่วยจ่ายสูงสุด 60% วงเงินรวม 2,000-2,400 บาท ผ่านแอป "เป๋าตัง" ใช้ได้ระหว่าง พ.ย.–ธ.ค. 2568 ครอบคลุมทั้งผู้มีรายได้ทั่วไป ผู้ถือบัตรสวัสดิการ และผู้เสียภาษี

แม้โครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 จะไม่ได้ไปต่อ เพราะ "รัฐบาลอนุทิน" ประกาศยุบสภาก่อน แต่จากยอดการใช้จ่าย "คนละครึ่งพลัส" เฟสแรก ก็สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจได้ไม่น้อย โดยความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส ล่าสุด มียอดใช้จ่ายผ่านโครงการ รวม 80,075.36 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม "อนุทิน" ยืนยันว่า หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง พร้อมสานต่อ "คนละครึ่งพลัสเฟส 2" แน่นอน

เที่ยวดี มีคืน 2568 ลดหย่อนภาษี กระตุ้นเศรษฐกิจ

"เที่ยวดี มีคืน" คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลไทย โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและบริการในประเทศ ให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจริงจากการท่องเที่ยว เช่น ค่าที่พัก และค่าอาหาร มาหักลดหย่อนภาษี ได้ตามจริงตามเงื่อนไขที่กำหนดและมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายปี 2568

มาตรการนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการสิทธิ์และข้อมูลของกรมสรรพากร เพราะถูกออกแบบมาเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารเข้าร่วมในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และพร้อมออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้

บุคคลธรรมดา หรือ ผู้มีเงินได้ สามารถใช้สิทธิ์ "เที่ยวดี มีคืน 2568" เพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท โดยครอบคลุมค่าบริการที่พัก เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ และค่าอาหารจากร้านค้าที่สามารถออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ โดยค่าใช้จ่ายต้องเกิดขึ้นภายในวันที่ 29 ต.ค. ถึง 15 ธ.ค. 2568

มาตรการนี้ รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวสู่ 55 เมืองรองทั่วประเทศ เพื่อกระจายเม็ดเงินสู่พื้นที่ท้องถิ่นที่มีศักยภาพ แต่ยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าเมืองหลัก อาทิ ภาคเหนือ (เชียงราย น่าน ลำปาง แม่ฮ่องสอน ฯลฯ) ภาคอีสาน (เลย สกลนคร บึงกาฬ ร้อยเอ็ด ฯลฯ) ภาคกลาง (ลพบุรี สุพรรณบุรี นครนายก ฯลฯ) และภาคใต้ (ตรัง ระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช ฯลฯ)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...