เลือกตั้ง 2562 : ย้อนรอย 10 นายกฯ จากกองทัพ ใน 87 ปี ประชาธิปไตยไทย
เลือกตั้ง 2562 : ย้อนรอย 10 นายกฯ จากกองทัพ ใน 87 ปีประชาธิปไตยไทย – BBCไทย
นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 24 มิ.ย. 2475 ประเทศไทยมีการรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างน้อย 12 ครั้ง และมีผู้นำทางทหารที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 10 คน เกือบทั้งหมดมาจากการยึดอำนาจ ไม่นับรวมทหารที่ไม่ใช่ผู้นำของกองทัพ แต่ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่น พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ
ผู้นำทหารที่เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
8 ก.พ. 2562 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรัฐประหาร ประกาศตัวขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค. โดยอนุญาตให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้เป็น นายกฯ ในบัญชี ของพรรค
- ประยุทธ์ จันทร์โอชา: 10 วลีทองของหัวหน้าคณะรัฐประหารในปีจอ
- “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ขวดใหม่ของเหล้าเก่า “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ”
พล.อ. ประยุทธ์ คือผู้นำทหารคนที่ 10 ที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ยังไม่มีใครบอกได้ว่าการเสนอตัวเป็นนายกฯ อีกครั้ง ผ่านการเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองจะพัฒนาไปอย่างไรในอนาคต ทว่าการศึกษาเรื่องราวในอดีตของอีก 9 นายกฯ จุดเด่นและจุดดับของแต่ละคน อาจบอกอนาคตได้
1. พล.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา
เดิมชื่อว่า พจน์ พหลโยธิน ถือเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนแรกที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการทำรัฐประหาร โค่นอำนาจรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเมื่อ 20 มิ.ย. 2476 รัฐบาลของพระยาพหลฯ เผชิญกับความพยายามในการยึดอำนาจ 2 ครั้ง คือ กบฏบวรเดช ในเดือน ต.ค. 2476 และกบฏนายสิบ เมื่อ ส.ค. 2478 และแรงกดดันในรัฐสภา จนพระยาพหลฯ ต้องลาออก 2 ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อสภาฯ ไม่อนุมัติสนธิสัญญาจำกัดยางของรัฐบาลในวันที่ 22 ก.ย. 2477
ครั้งที่สองกรณีกระทู้เรื่องขายที่ดินพระคลังข้างที่ในวันที่ 9 ส.ค. 2480
ทั้ง 2 ครั้งพระยาพหลฯ ได้รับการเสนอชื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ ก่อนยุบสภาฯ และพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 16 ธ.ค. 2481 โดยจอมพล ป. พิบูลสงครามขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน
2. จอมพล ป. (แปลก) พิบูลสงคราม
ผู้บัญชาการทหารบกต่อจากพระยาพหลฯ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 16 ธ.ค. 2481 และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุดของไทยคือเป็น 2 ช่วง รวม 5,503 วัน
- การดำรงตำแหน่งช่วงแรกของจอมพล ป. สิ้นสุดในวันที่ 1 ส.ค. 2487 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติร่างพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2487 ทำให้จอมพล ป. ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
- การดำรงตำแหน่งช่วงที่สองตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. 2491 หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 จนกระทั่งถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ยึดอำนาจในวันที่ 16 ก.ย. 2500
จอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทั้งเด่นและดับ เป็นผู้นำที่มีผลงานมากมาย และสามารถกำจัดศัตรูทางการเมืองได้โดยตลอด โดยมีเหตุการณ์ที่สำคัญในระหว่างการดำรงตำแหน่งช่วงแรกคือการถูกลอบสังหารในวันที่ 9 พ.ย. 2491 และความพยายามก่อกบฎในเดือน ม.ค. 2482 ที่เรียกว่ากบฏพระยาทรงสุรเดช แต่ปัญหาการเมืองไทยในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองก็บีบให้จอมพล ป. ต้องลาออก
แต่จอมพล ป. ก็อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร 2490 ซึ่งส่งผลให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในปี 2491 ซึ่งการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งที่สองนี้ ต้องเผชิญกับความพยายามในการยึดอำนาจหลายครั้ง เช่น
- กบฏเสนาธิการ ต.ค. 2491
- กบฏวังหลวง ก.พ. 2492
- กบฏแมนฮัตตัน มิ.ย. 2494 โดนควบคุมตัวลงเรือหลวงศรีอยุธยา ทำให้จอมพล ป. ต้องกระชับอำนาจโดยการทำรัฐประหารตนเองในเดือน พ.ย. 2494 แต่ถึงที่สุดเขาก็โดนลูกน้องคนสนิทอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ จนต้องลี้ภัยไปอสัญกรรมในประเทศญี่ปุ่น
3. จอมพลถนอม กิตติขจร
รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 ช่วง รวม 10 ปี 6 เดือน 29 วัน คือ
ช่วงแรก หลังจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหาร 16 ก.ย. 2500 นั้น เขาไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญและล้มเลิกรัฐสภา แต่ให้นายพจน์ สารสิน ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ ผลการเลือกตั้งปรากฎว่าพรรคของจอมพลสฤษดิ์ คือพรรคชาติสังคมชนะ แต่จอมพลสฤษดิ์ ให้จอมพลถนอม เป็นนายกรัฐมนตรีแทน เมื่อ 1 ม.ค. 2501 แต่ก็ประสบปัญหาทางการบริหารจนต้องขอกราบบังคมทูลลาออกเมื่อ 20 ต.ค. 2501 และในวันเดียวกัน จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจอีกครั้ง โดยมี พล.ท. ถนอม (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคณะปฏิวัติ ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง ให้ พล.ท. ถนอม เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ช่วงที่ 2 วันหลังอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์ เมื่อ 8 ธ.ค. 2506 จอมพล ถนอม ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน จนถึง 14 ต.ค. 2516 เขาบริหารประเทศจนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2512 ซึ่งพรรคของจอมพลถนอม คือ สหประชาไทย ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ภายหลังได้ประสบกับความยุ่งยากในการบริหารซึ่งส่งผลให้ จอมพลถนอม ทำการยึดอำนาจตนเองในเดือน พ.ย. 2514 หลังจากนั้นได้มีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 แล้ว จอมพลถนอม ต้องลาออกจากตำแหน่งแล้วลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
4.*จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ *
อดีตขุนพลคู่ใจ จอมพล ป. ผู้ร่วมกับนายโค่นล้มรัฐบาลอื่นหลายครั้ง ได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาลของ จอมพล ป. เมื่อ 16 ก.ย. 2500 หลังการประท้วงของประชาชนนับหมื่นคน ซึ่งเรียกร้องให้ จอมพล ป. ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากการเลือกตั้งที่มีการโกงทุกรูปแบบส่งผลให้พรรคเสรีมนังคศิลาของ จอมพล ป. ได้รับเสียงข้างมาก จนจัดตั้งรัฐบาลได้
จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 11 เมื่อ 9 ก.พ. 2502 โดยร่วมมือกับ พล.ท. ถนอม กิตติขจร (ยศขณะนั้น) ยึดอำนาจของรัฐบาล พล.ท. ถนอม
จอมพลสฤษดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ 8 ธ.ค. 2506 ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง รวมอายุได้ 55 ปี และเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เสียชีวิตลงในขณะที่ดำรงตำแหน่ง รวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 ปี 9 เดือน 28 วัน
5. *พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ *
ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเลขาธิการคณะรัฐประหาร และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 แล้วมีการเลือกตั้งทั่วไป รัฐธรรมนูญที่ให้สมาชิกวุฒิสภามีหน้าที่ในการเลือกนายกรัฐมนตรีทำให้ พล.อ. เกรียงศักดิ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
แต่สุดท้าย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ก็ต้องประกาศลาออกกลางสภาเมื่อ มี.ค. 2523 จากวิกฤตการณ์น้ำมัน ทำให้วุฒิสมาชิกกลับลำไปหนุน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ หลังจากนั้น พล.อ. เกียงศักดิ์ ไปตั้งพรรคชาติประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
6. พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์
เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีพรรคการเมืองของตนเอง หากแต่ใช้ความเป็นคนกลางที่สามารถประสานอำนาจระหว่างฝ่ายการเมือง กลุ่มทุน กองทัพ เข้าด้วยกัน จนเป็นนายกรัฐมนตรีถึงเกือบ 8 ปีครึ่ง ระหว่างปี 2523 ถึง 2531
พล.อ. เปรม เป็นบุคคลตัวอย่างที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีผู้มาจากการรัฐประหารมักกล่าวยกย่องว่า เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตและการทำงาน นักวิจารณ์การเมืองหลายคนมองว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” สมัยรัฐบาลเปรม ในทศวรรษ 1980 ซึ่งนายกฯ ที่มาจากการแต่งตั้งสั่งการนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง คือแนวทางที่ พล.อ. ประยุทธ์ ประสงค์ใช้สร้างอนาคตประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 ดังที่สื่อไทยหลายสำนักเรียกว่าระบอบ “เปรมาธิปไตย”
ตัวเขาต้องเผชิญกับความพยายามในการทำรัฐประหารจากอดีตนายทหาร จปร. 7 ถึง 2 ครั้ง คือในปี 2524 และ 2528 ตลอดจนถูกผู้นำกองทัพรุ่นหลังอย่าง พล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก กดดันในปี 2527 แต่ก็สามารถผ่านวิกฤติการณ์ต่าง ๆ มาได้ พร้อมกับการลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม
หลังเหตุการณ์ยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 พล.อ. เปรม กล่าวยกย่อง พล.อ. ประยุทธ์ ขณะนำคณะรัฐมนตรีมาอวยพรปีใหม่เมื่อปลายปี 2557 ว่า “ในวันที่ 22 พฤษภาคม ถือเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ เป็นการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง แสดงความจงรักภักดีที่ยิ่งใหญ่มาก คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่เขาจะเห็นด้วย และพอใจ ภูมิใจในการกระทำของนายกฯ ลุงตู่”
- 97 ปี เปรม ติณสูลานนท์ จากนายกรัฐมนตรี สู่ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”
- เปรมเชื่อมั่นนายกฯนำความสุขคืนมาให้คนไทย
7. *พล.อ. สุจินดา คราประยูร *
เป็นผู้นำทางทหารคนที่ 7 ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า โดยเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 47 วัน พล.อ. สุจินดา เป็นทั้งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาก่อน แม้พรรคสามัคคีธรรมที่ทหารสนับสนุนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่การเผชิญหน้ากับชนชั้นกลางในเมืองที่ออกมาต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ส่งผลให้ พล.อ. สุจินดา ต้องลาออกพร้อมกับทิ้งรอยแผลของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬไว้กับสังคมไทย
8. พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ
ลุกออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อ 27 มี.ค. 2533 เพราะเคยประกาศไว้แล้วว่า จะลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ ออกมาสู่สนามการเมือง ด้วยการเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก่อน แต่เนื่องจากไม่มีฐานทางพรรคการเมือง และเกิดความขัดแย้งกับนักการเมืองในรัฐบาล พล.อ. ชวลิต จึงลาออกจากทั้งสองตำแหน่งเมื่อ 11 มิ.ย. 2533 แล้วมาก่อตั้งพรรคความหวังใหม่ขึ้นในปี 2535 และได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2540
แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ก็ทำให้ พล.อ. ชวลิต ต้องลงจากตำแหน่งโดยหมดความสง่างาม จนในที่สุดต้องยุบพรรคความหวังใหม่รวมกับพรรคไทยรักไทยในที่สุด
9. พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์
อดีตผู้บัญชาการทหารบก ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในปี 2549 และดำรงตำแหน่งจนถึง 29 ม.ค. 2551 รวมระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง 1 ปี 4 เดือน
หลังพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ. สุรยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ. เปรม ประกาศรับรองความเป็นคนดีของ พล.อ. สุรยุทธ์ ว่า “เป็นบุคคลที่ดีที่สุดแล้ว”
คณะรัฐมนตรีของ พล.อ. สุรยุทธ์ ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่าเป็น “รัฐบาลขิงแก่” เนื่องจากรัฐมนตรีที่ร่วมในคณะรัฐมนตรีนั้น ล้วนแล้วแต่มีอายุมากทั้งสิ้น สื่อบางสำนักตั้งฉายาให้ว่า “ยุทธ ยายเที่ยง” เนื่องจากมีข้อครหาเกี่ยวกับการถือครองที่ดินบริเวณเขายายเที่ยง
นอกจากนี้ นายธีรยุทธ บุญมี อดีตอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งฉายาให้กับรัฐบาลชุดนี้ว่า “ฤๅษีเลี้ยงเต่า” เนื่องจากรัฐบาลของเขา มีภาพลักษณ์เป็นคนดีมีศีลธรรมเสมือนฤๅษี แต่รัฐมนตรีที่ร่วมในคณะรัฐมนตรีมีลักษณะการทำงานที่เชื่องช้าเสมือนเต่า
ภายหลังการพ้นจากตำแหน่ง พล.อ. สุรยุทธ์ได้กลับไปดำรงตำแหน่งองคมนตรี