ขยายขอบเขตจักรวาลแห่ง “สมุนไพรไทย”
ก่อนหน้านี้ตลาดสมุนไพรไทยอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นอยู่แล้ว แต่ปัจจัยที่ผลักให้ตลาดนี้โตแบบก้าวกระโดด หนีไม่พ้นโควิด-19 สรรพคุณทางยาที่ช่วยบรรเทาอาการหลังติดของ “ฟ้าทะลายโจร” และ “กระชายขาว” ทำให้พืชสมุนไพรสองชนิดนี้ถึงกับขาดตลาด ตามด้วยกระแสการนำมาแปรรูปในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น เช่น น้ำกระชายไปจนถึงยาสีฟันผสมฟ้าทะลายโจร แม้แต่ “ขิง” ก็เกิดกระแสการบริโภคสูงขึ้น เพราะเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย สังเกตได้ว่าในตลาดสดหรือตลาดนัดเกิดมีร้านขายน้ำขิงต้มหน้าใหม่มากมายที่รีบขานรับธุรกิจในช่วงขาขึ้นแบบนี้
ระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 ผลิตภัณฑ์หลักที่ผู้บริโภคต้องการมักเป็น “ยา” ในรูปผงบดบรรจุแคปซูล เพราะต้องการนำมาใช้รักษาเร่งด่วน แต่ที่จริงแล้วในตลาดสมุนไพร อุตสาหกรรมที่นำสมุนไพรไทยไปใช้มากที่สุดกลับไม่ใช่ยา โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์เมื่อปี 2562 ระบุว่า สมุนไพรไทยถูกนำไปใช้เป็นยาในสัดส่วนเพียง 4-5% ตามมาด้วยใช้เป็นอาหารเสริม 18-20% แต่ที่มากที่สุดคือนำไปใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่สูงถึง 79-80%
ตลาดสมุนไพรไทยถูกจุดประกายขึ้นแล้วจากโควิด-19 คนไทยหันมาสนใจสรรพคุณทางยาจากองค์ความรู้แพทย์แผนไทยสูงขึ้น แต่การจะต่อยอดให้มีความยั่งยืนหลังวิกฤตโรคระบาดผ่านพ้นได้ สมุนไพรไทยต้องแทรกตัวเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยให้ได้ ไม่เฉพาะเป็นยารักษาโรค แต่ยังต้องมีอีกหลากหลายนวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้สมุนไพรกลายเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าทั้งในตลาดของประเทศไทยและเพื่อการส่งออก
สมุนไพรใช้ทำอะไรได้บ้าง
มองในระดับตลาดโลก Market Study Report รายงานการคาดการณ์ว่า ตลาดสมุนไพรทั่วโลกน่าจะมีมูลค่าถึง 4.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.37 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2569 การเติบโตที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการที่ผู้บริโภคยอมรับสมุนไพรมากขึ้น และรัฐบาลแต่ละประเทศมีการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นจากการพัฒนาของตัวอุตสาหกรรมเอง
รายงานฉบับนี้ยังระบุด้วยว่า เทรนด์ดาวรุ่งที่กำลังพุ่งทะยานมากกว่าการนำสมุนไพรมาใช้ทำยา คือการใช้เป็นส่วนผสมในกลุ่มเครื่องสำอาง และภูมิภาคที่น่าจะเติบโตมากที่สุดก็คือ “เอเชียแปซิฟิก” เพราะรัฐบาลจีนกับอินเดียมีการลงทุนอย่างหนักเพื่อวิจัยและพัฒนาสมุนไพรของตนเอง ทั้งนี้ จีนและอินเดียคือเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ของโลกในฐานะผู้ผลิตและส่งออกสมุนไพรมากที่สุด โดยทั้งสองประเทศมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันถึง 70%
Lisa Hobbs / Unsplash
แล้วจักรวาลนวัตกรรมสมุนไพรใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใดได้บ้าง ขอแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ พร้อมตัวอย่างสินค้าในตลาดที่จะช่วยทำให้เห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจสมุนไพรมากขึ้น
อาหารและเครื่องดื่ม
ทั่วโลกมีการนำสมุนไพรไปแปรรูปเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มโดยตรงโดยที่ยังคงสรรพคุณทางยาอยู่ โดยเครื่องดื่มประเภทหนึ่งที่นิยมผสมสมุนไพรกันมากคือ “ชา” เพราะวัฒนธรรมการดื่มชาพบได้ในทุกทวีป ตัวอย่างชาสมุนไพรที่แพร่หลาย เช่น ชาเก๊กฮวย ชารอยบอส ชาตะไคร้ ชาเปปเปอร์มินต์ ชาโรสฮิป บางครั้งมีการผสมสมุนไพรหลายชนิดรวมในชาถุงเดียว
ส่วนการแปรรูปเป็นอาหาร มักจะมีการนำเอาสมุนไพรไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหารในครัวเรือนกันเป็นส่วนใหญ่ หรือบดเป็นผงอาหารเสริมสำหรับนำไปเจือปนในอาหาร โดยสมุนไพรที่พบการขายลักษณะนี้ก็เช่น เก๋ากี้ ขมิ้นชัน มะระขี้นก ใบเลมอนบาล์ม ผักมิเครื่องสำอาง-สกินแคร์
อีกหนึ่งหมวดผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าให้สมุนไพรได้มากก็คือ “เครื่องสำอาง-สกินแคร์” โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ เคยนำเสนอข้อมูลเมื่อปี 2561 ยกตัวอย่าง “ขมิ้นชัน” หากขายเป็นของสดจะมีราคาเพียง 20 บาทต่อกิโลกรัม แต่ถ้าหากนำสารสกัดมาผสมในเครื่องสำอาง จะทำให้ราคาขึ้นไปถึง 200,000 บาทต่อกิโลกรัม และถ้าสามารถผลิตเครื่องสำอางที่มีแบรนด์ติดตลาด มูลค่าอาจไปถึง 1 ล้านบาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีความต้องการเสาะหาส่วนผสมที่มีสรรพคุณเพื่อความงาม เช่น ปรับผิวขาวกระจ่างใส ชะลอวัย ลบริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้น ทำให้สมุนไพรที่มีผลวิจัยได้รับการรับรองสรรพคุณ มักจะถูกนำมาใช้อยู่เสมอ ตัวอย่างที่พบในตลาด เช่น โสมแดง ชะเอมเทศ ใบบัวบก กัญชง ว่านหางจระเข้ ฯลฯ สมุนไพรเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในแบรนด์ดังระดับโลก สะท้อนโอกาสที่เป็นไปได้ของไทยผลิตภัณฑ์นวด สปา เครื่องหอม
คล้ายคลึงกับกลุ่มเครื่องสำอาง นั่นคืออุตสาหกรรมกลุ่มสปาที่ต้องการสรรพคุณช่วยด้านความงาม แต่นอกเหนือจากนั้น กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ยังมักจะต้องการความโดดเด่นในเรื่องกลิ่นและการผ่อนคลายอารมณ์ควบคู่ไปด้วย โดยผลิตภัณฑ์ที่พบบ่อย เช่น น้ำมันนวด เทียนหอม ลูกประคบ ตัวอย่างสมุนไพรที่ใช้ในกลุ่มนวด สปา เครื่องหอม เช่น ขิง ตะไคร้ ดอกบัว ดอกโบตั๋น ดอกดาวเรือง โรสแมรี และลาเวนเดอร์เครื่องอุปโภคอื่น ๆ
เครื่องอุปโภคที่มักจะนำสมุนไพรมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน เช่น แชมพู สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก กลุ่มสมุนไพรไทยถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่นสมุนไพรอย่างอัญชัน มะกรูด ฟ้าทะลายโจร กานพลู มะขามป้อม ขณะที่ในต่างประเทศก็มีสมุนไพรขาประจำในวงการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันผลอาร์แกน ดอกอะคาเชีย น้ำมันต้นทีทรี และดอกเสาวรส
นอกจากเครื่องอุปโภคเหล่านี้แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นที่ตอบโจทย์ในการช่วยแก้ปัญหาบางอย่างให้ผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการไทยพัฒนาขึ้นและมีความน่าสนใจ เช่น สินค้าที่ใช้เพื่อกันยุง ลูกอมสมุนไพรลดการสูบบุหรี่ แผ่นสติกเกอร์ลดกลิ่นเท้า แผ่นประคบลดปวดส้นเท้า เป็นต้น
เห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหลาย ๆ ชนิด มีจุดตั้งต้นจากการผสมสมุนไพรลงไป ซึ่งส่วนที่สำคัญก็คือการผลิต “สารสกัด” และ “น้ำมันหอมระเหย” ที่มีมาตรฐานออกจำหน่าย โดยประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาโรงงานผลิตสารสกัดที่มีมาตรฐาน เพราะสารสกัดสมุนไพรแต่ละชนิดต้องมีระดับสารสำคัญที่มีสรรพคุณทางยาเหมาะสม ดูดซึมได้ดี ที่สำคัญคือจะต้องมีห้องทดลองและวิจัยที่เป็นที่ยอมรับให้การรับรองคุณสมบัติและความปลอดภัย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่ไทยจะสามารถเป็นต้นทางในการส่งออกสมุนไพรไทยด้วยมูลค่าที่มากขึ้น หรือเมื่อถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็จะได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ
Katherine Hanlon / Unsplash
ตลาดสมุนไพรไทยกำลังแตกกิ่งก้าน
สมุนไพรไทยอยู่ตรงไหนหากเทียบกับเวทีโลก ข้อดีของประเทศไทยคือเรามีศาสตร์การแพทย์แผนไทยที่ยังสืบสานกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ขณะที่ในประเทศไทยเองก็ยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสนใจผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจำนวนไม่น้อย และที่สำคัญคือการที่เราเป็นประเทศที่มีชนิดสมุนไพรหลากหลาย แต่ที่ต้องไปต่อก็คือ การสร้างมาตรฐานการผลิต สร้างนวัตกรรมด้านสินค้าและผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสร้างแบรนด์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการตลาดที่ทันสมัย ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายก็ได้เริ่มกรุยทางธุรกิจกันบ้างแล้ว
ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า เมื่อปี 2562 ไทยมีมูลค่าตลาดสมุนไพรถึง 1.8 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นยอดขายจากการส่งออก 1 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มอาหารเสริม 80,000 ล้านบาท กลุ่มสปาและผลิตภัณฑ์ 10,000 ล้านบาท และกลุ่มยาแผนโบราณ 10,000 ล้านบาท มีตลาดรับซื้อรายใหญ่ คือ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม เมียนมา สหรัฐอเมริกา ซึ่งมักจะนำสมุนไพรไปเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องสำอาง
ประเทศไทยให้การส่งเสริมตลาดสมุนไพรอย่างจริงจัง โดยมี “แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564” มีเป้าหมายคือส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย ต้องการให้ไทยเป็นผู้นำอาเซียนด้านการส่งออกสมุนไพร ทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 เท่าตัว (เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี) และทำให้มีการใช้ยาสมุนไพรในสถานบริการการแพทย์แผนปัจจุบันเพิ่มขึ้น
จากแผ่นแม่บทนี้ทำให้ไทยมีการออก พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ซึ่งไฮไลต์สำคัญคือการปลดล็อกให้แพทย์แผนไทยปรุงยาและจ่ายยาแก่ผู้ป่วยของตนได้โดยไม่ต้องขออนุญาต รวมถึงให้ผู้มีตำรับยานำมาขึ้นทะเบียนก่อนได้โดยยังไม่ต้องหาสถานที่ผลิต ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติที่จะส่งเสริมให้ได้ตามเป้าหมายที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างได้ดังนี้
ส่งเสริมการปลูกและผลิตระดับชุมชน - ส่งเสริมพื้นที่ปลูกสมุนไพรให้ได้มาตรฐาน 43,000 ไร่ และส่งเสริมแหล่งเก็บเกี่ยว พร้อมผลิตสารสกัดอย่างง่ายในชุมชน 50 แห่ง
ส่งเสริมการวิจัย - มีงานวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชและเทคโนโลยีเกี่ยวกับสมุนไพรอย่างน้อย 30 เรื่องต่อปี โดยจะใช้งบประมาณสนับสนุนเพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาทในรอบ 5 ปี รวมถึงมีการดึงเอกชนร่วมลงทุนในการวิจัย
ส่งเสริมการผลิต - ตั้งข้อกำหนดมาตรฐาน GAP/GACP ของการผลิตสมุนไพรอย่างน้อย 30 ชนิด และส่งเสริมให้มีห้องปฏิบัติการ “แล็บ” รับตรวจสอบรับรองคุณภาพวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน ISO 17025 เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 15 แห่ง
ส่งเสริมการขาย - วางระบบตลาดกลาง 4 แห่ง และระบบตลาดออนไลน์ 1 แห่ง
หลังจากเริ่มเพาะเมล็ดกันไประยะหนึ่ง รศ. ภก. สุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลไว้เมื่อปี 2563 ว่า ความพยายามเริ่มเห็นผล โดยเกิดจากทั้งการส่งเสริมของรัฐ และอานิสงส์ของโควิด-19 ที่ทำให้ประชาชนรักสุขภาพมากขึ้น หันมาสนใจสมุนไพรไทยสูงขึ้น จึงเกิดผู้ประกอบการมากขึ้นกว่าเดิมถึง 200-300 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง
แล้วโอกาสในตลาดโลกเป็นอย่างไร รศ. ดร. สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสหประชาชาติ และอาจารย์ประจำวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุถึงเทรนด์ในตลาดโลกว่า ต้องการสมุนไพรเพิ่มขึ้นทั้งในแง่การเป็นยารักษาและบำรุงป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เพราะปกติการวิจัยและพัฒนาจนถึงตั้งโรงงานผลิตยาเคมีต้องใช้เวลานาน ใช้ต้นทุนสูง ทำให้มีราคาแพง เข้าถึงยาก กลุ่มประเทศเหล่านี้จึงสนใจใช้ยาสมุนไพรทดแทน
Dan Smedley / Unsplash
ส่วนดีมานด์การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ขอยกข้อมูลจาก“ศูนย์ส่งเสริมการนำเข้าสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา” (CBI) กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ทำงานในฐานะประตูการค้าเข้าสู่สหภาพยุโรปด้วย หน่วยงานนี้ให้ข้อมูลเทรนด์ผู้บริโภคในยุโรปไว้อย่างน่าสนใจว่า ในปี 2563 ตลาดเครื่องเทศมีการเติบโต 4% แต่สำหรับเครื่องเทศที่มีฤทธิ์ “เสริมภูมิคุ้มกัน” เติบโตได้แข็งแกร่งกว่านั้น ด้วยอานิสงส์ของโควิด-19 และการตลาดบนโซเชียลมีเดียที่ยิงตรงถึงผู้ซื้อ
โดยเครื่องเทศหลักที่คนยุโรปนิยมเพราะมองว่าป้องกันโควิด-19 ได้ คือ “ขิง” ที่มีความนิยมทั้งแบบสดและแห้ง และมีดาวรุ่งเป็นน้ำเชื่อมขิง “ขมิ้น” ก็เติบโตถึง 20% นิยมนำมาผสมในอาหาร รวมถึง “กระเทียม” ที่ก็ได้รับความนิยมสูงขึ้น ส่วนใหญ่เน้นรับประทานสด และยังมีน้ำมันกระเทียมที่ก็เริ่มเป็นที่นิยม (อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์สมุนไพรหลายตัวหากยังไม่มีการรับรองว่าช่วยป้องกันหรือรักษาโรคได้จริง ต้องระมัดระวังการโฆษณาและข้อความบนฉลาก ซึ่งอาจผิดกฎหมาย EU ได้)
สมุนไพรไทย 12 ชนิด ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น Product Champion
ประเทศไทยมีสมุนไพรถึง 1,800 ชนิดที่ปรากฏสรรพคุณและมีการนำมาใช้ประโยชน์ แต่ “แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564” ได้คัดเลือกสมุนไพรที่มีศักยภาพเป็น Product Champion มา 12 ชนิด ซึ่งจะได้รับการส่งเสริมในฐานะสมุนไพรเรือธงของประเทศ ดังนี้
“เก๋ากี้” จากยาจีนสู่ “ซูเปอร์ฟู้ด”
ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่พยายามผลักดันสมุนไพรสู่คนทั่วโลก ผู้นำตลาดส่งออกอย่าง “จีน” เริ่มต้นแผนผลักดันธุรกิจนี้อยู่ก่อนแล้ว โดยก่อนหน้านี้ ตลาดหลักในการส่งออกสมุนไพรจีนพึ่งพิงดีมานด์ของชาวจีนโพ้นทะเลที่ไปตั้งรกรากตามประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้เอง แต่แนวทางธุรกิจใหม่ของจีนคือการแนะนำให้ชาวตะวันตกทราบถึงประโยชน์ของสมุนไพรจีน และนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นนอกจากยาด้วย
หนึ่งในสมุนไพรที่จีนส่งออกเป็นจำนวนมากและมีการผลักดันเต็มที่คือ “เก๋ากี้” หรือที่ชาวตะวันตกเรียกว่า Goji berry หรือ Wolfberry เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดของเก๋ากี้คือสรรพคุณด้านการ “ชะลอวัย” เนื่องจากอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ วิตามินซี แร่ธาตุ ช่วยบำรุงสายตา ตับ และไต โดยให้ประวัติว่าเป็นผลไม้ที่คนเอเชียรับประทานกันมานับพันปี และเป็นเคล็ดลับความหน้าเด็กของคนเอเชียที่สืบทอดกันมา
เก๋ากี้ยังถูกนำไปผูกโยงกับกระแส “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่ตะวันตกกำลังนิยม ด้วยความที่มีแร่ธาตุสารอาหารสูง สีสวย และรับประทานง่าย รสชาติออกหวานเล็กน้อยทำให้ใส่ลงในอาหารและเครื่องดื่มใด ๆ ก็ได้ เช่น ซุป ชา ข้าวต้ม จากกระแสนี้ BBC รายงานว่า ตลาดโลกยินดีจ่ายเพื่อซื้อเก๋ากี้อบแห้งแพ็กละ 10 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 300 บาท) ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าที่ขายในจีนถึง 3 เท่า
สรรพคุณด้านชะลอวัยยังทำให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางสนใจเก๋ากี้ โดยMintel Cosmetic Research ระบุว่า เก๋ากี้เคยถูกนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ระดับโลก เช่น Estee Lauder และ Elizabeth Arden รวมถึงบล็อกเกอร์และเว็บไซต์ตะวันตกเริ่มแนะนำสูตรการรับประทานหรือใช้เก๋ากี้บำรุงผิวหน้าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
กระแสเก๋ากี้ที่กำลังปรากฏตัวบนเวทีโลก พื้นฐานนั้นเริ่มจากนโยบายภาพใหญ่ของจีน โดยสุวัชชัย ทรงวานิชผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ (ประเทศจีน) ให้ข้อมูลผ่าน Bangkok Post ไว้เมื่อปี 2562 ว่า “การแพทย์แผนจีน” (TCM : Traditional Chinese Medicine) คือตลาดที่จีนต้องการผลักดันมูลค่าทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่ระบบไม่เป็นทางการ ให้กลายเป็นระบบที่ทันสมัยและเติบโตได้เร็ว สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่กำลังนิยมการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมและเวชศาสตร์เชิงป้องกัน เน้นการมีไลฟ์สไตล์ใหม่ที่ช่วยป้องกันโรคและทำให้อายุยืนยาว
แน่นอนว่าเมื่อจะทำให้ทันสมัย ย่อมต้องมีงานวิจัยและเครื่องมือรองรับมาตรฐานภายในประเทศ ซึ่งจีนลงทุนกับเทคโนโลยีเหล่านี้เต็มที่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสมุนไพรและการแพทย์แบบจีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จีนลุยสร้างศูนย์การแพทย์แผนจีนไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ศาสตร์ของตนเอง สาขาของศูนย์ดังกล่าวนี้มีทุกทวีป เช่น สาธารณรัฐเช็ก รัสเซีย คิวบา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังให้แพทย์แผนจีนลดการใช้ส่วนประกอบจาก ‘สัตว์ป่า’ ในตำรับยาด้วย เพราะนับเป็นข้อกังวลสำคัญที่ชาวตะวันตกเล็งเห็น
จากภาพใหญ่ที่รัฐบาลจีนผลักดัน สู่สมุนไพรเป็นรายชนิดอย่าง “เก๋ากี้” ผลไม้ที่ถูกปลูกมากในตอนเหนือของจีน ไล่ตั้งแต่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน เขตปกครองตนเองหนิงเซียหุย และมณฑลกานซู่ โดยไร่เก๋ากี้หลายแห่งปรับตนเองเป็นไร่ออร์แกนิกแล้ว บางแห่งปรับมานานเกือบสิบปี เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตะวันตกซึ่งใส่ใจเรื่องพืชปลอดสารพิษเป็นพิเศษ
ล่าสุดปี 2564 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลเปิด “สถาบันวิจัยเก๋ากี้” แห่งแรกของจีนที่เมืองยินฉวน เมืองหลวงของเขตหนิงเซียหุย มีเป้าประสงค์เพื่อวิจัยสรรพคุณทางยาและเทคโนโลยีการสกัดเพื่อนำมาผลิตยาและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า
เห็นได้ว่าจีนมีการปรับทุกองคาพยพเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ตั้งแต่ต้นน้ำอย่างการปลูกแบบออร์แกนิกที่สอดคล้องกับเทรนด์ตลาดโลก การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี จนถึงปลายน้ำอย่างเรื่องของการตลาด ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างดีมานด์ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยและมีความยั่งยืนคุ้มค่ากับการลงทุน
สมุนไพรไทยยังต้องการการรดน้ำพรวนดิน
งานวิจัยนำโดย ศศพร มุ่งวิชา และคณะ จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศึกษาโอกาสของผลิตภัณฑ์ SME กลุ่มสมุนไพรไทยเพื่อผิวพรรณไว้เมื่อปี 2560 พบว่า จุดอ่อนของสมุนไพรไทยยังขาดแคลนเทคโนโลยีในหลายแง่ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการผลิตให้มีสารสำคัญคงที่ การวิจัยและพัฒนาสมุนไพร ปัญหาขาดแคลนแหล่งวิเคราะห์ทดสอบ จนถึงการทำแพ็กเกจจิงให้ได้มาตรฐานสากล
รายงานวิจัยฉบับนี้ยังพบด้วยว่า ตลาดเครื่องสำอางแบรนด์ไทยที่ใช้สมุนไพรมีจำนวนน้อยมากที่สามารถเข้าไปจำหน่ายในโซนบิวตี้ระดับไฮเอ็นด์ตามห้างสรรพสินค้าซึ่งมี B.A. (Beauty Advisor) แนะนำ และโดยส่วนใหญ่กลุ่มเครื่องสำอางสมุนไพรไทยมักจะขายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปหรือผ่านระบบขายตรง หากยกระดับให้เป็นแบรนด์พรีเมียมได้มากกว่านั้น หรือมีร้านเฉพาะของแบรนด์ ย่อมช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ของเครื่องสำอางผสมสมุนไพรไทยได้ดีขึ้น
ด้านรศ. ภก. สุรกิจ แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นกับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจไว้เมื่อปี 2563 ยังคงชี้เป้าจุดอ่อนของสมุนไพรไทยคล้ายกัน คือประเทศไทยขาดการวิจัยให้เห็นแน่ชัดถึงสรรพคุณและความปลอดภัยของตัวยา และยังขาดการรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมา แถมบางครั้งผู้ประกอบการเองยังโฆษณาสรรพคุณเกินจริงจนไปลดทอนความน่าเชื่อถือ ดังนั้น เมื่อลูกค้าไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพ การขายย่อมเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้ รศ.ภก.สุรกิจ ยังเอ่ยถึงเรื่อง “การตลาด” ที่ประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการวิจัยตลาดเพื่อหาความต้องการของผู้บริโภคระดับสากล เพื่อจะได้ผลิตสินค้าให้ตรงเป้า และสื่อสารได้ตรงตามพฤติกรรมผู้บริโภคประเทศนั้น ๆ
สมุนไพรไทยนั้นหยั่งรากอยู่ในสังคมไทยได้มั่นคงพอสมควร มีตลาดภายในประเทศ มีจำนวนชนิดสมุนไพรหลากหลาย แต่จะผลิบานมากกว่านี้ได้ อาจต้องลองดูโมเดลของ “เก๋ากี้” เป็นตัวอย่าง โดยเลือกหยิบชูสมุนไพรที่มีมุมเจาะตลาดต่างประเทศได้ และสื่อสารการตลาดในแบบที่ชาวต่างชาติเข้าใจ รวมถึงเร่งสนับสนุนการปลูก การวิจัยสรรพคุณ และการรับรองสินค้าที่มีมาตรฐาน สมุนไพรไทยอาจจะไปไกลสู่ตลาดโลกสำเร็จในยุคที่ “สุขภาพ” ต้องมาก่อน
ที่มา :
บทความ “แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-64” โดย กระทรวงสาธารณสุข จาก dmsic.moph.go.th
บทความ “ “ตลาดสมุนไพร” เศรษฐกิจหลักของไทย” จาก bangkokbiznews.com
บทความ “พ.ร.บ. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 62 ดันตลาดสมุนไพรโต” จาก bangkokbiznews.com
บทความ “Global Herbal Medicine Market Size to Exceed USD 411 Billion by 2026” จาก globenewswire.com
บทความ “วิสัชนา “สมุนไพรไทย” ทำไมยังไปไม่ถึงตลาดโลก…” โดย สยามรัฐออนไลน์ จาก today.line.me
บทความ “Which Trends Offer Opportunities Or Pose Threats on the European Spices and Herbs Market?” จาก cbi.eu
บทความ “The Berry That Keeps Asia Looking Young” โดย Claire Turrell จาก bbc.com
บทความ “Goji Berry and Wolfberry—Living a Double Life in Innovation?” โดย Katie Schaefer จาก cosmeticsandtoiletries.com
เรื่อง : พัฐรัศมิ์ ว่องไชยกุล