รุ่ง-วิทัยชิงธปท. 1.15แสนล.ฉลุย ดันจีดีพีโต0.4%
นายกฯ ชี้สถานการณ์อิหร่าน-อิสราเอล กระทบเจรจาภาษีทรัมป์ "ครม." ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้าน เน้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน 8.5 หมื่นล้าน คาดเม็ดเงินช่วยให้ ศก.ขยายตัวเพิ่มร้อยละ 0.4 เคาะ 2 รายชื่อชิงดำเก้าอี้ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ จับตา “รุ่ง-วิทัย” ผ่านตัดเชือก ชง “พิชัย” พิจารณา
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 24 มิ.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สถานการณ์ต่างๆ ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ย่อมมีผลขยายวงกว้างออกไป ส่งผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และยังไม่มีกรอบระยะเวลาที่แน่นอนว่าจะจบเมื่อไหร่ อย่างไร ส่งผลต่อการเจรจากับหลายๆ ประเทศต่อนโยบายภาษีศุลกากรสหรัฐอเมริกา ซึ่งกรอบระยะเวลาการเจรจาตอนแรกกำหนดไว้ 90 วัน ในช่วงต้นเดือน ก.ค. ซึ่งฝ่ายไทยเริ่มเจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา (USTR) แล้วหนึ่งรอบ
ขณะที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงกรอบการเจรจาการค้าและภาษีกับสหรัฐอเมริกาว่า สหรัฐฯคงดูอยู่ว่า ข้อเสนอมีความน่าสนใจหรือไม่ และถ้าหากพิจารณาว่า ให้ขยายเวลา ก็คงเสนอกลับมา ซึ่งคงต้องรอดู เพราะเราเพิ่งส่งรายละเอียดให้สหรัฐฯไม่กี่วัน ส่วนกำหนดในการเจรจาที่ชัดเจนที่นั้น ขณะนี้ยังไม่มีประเทศไหน บอกได้เลย และยังไม่มีประเทศใดจบจริงๆ จังๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการผ่อนผันมาตรการภาษีตอบโต้ซึ่งมีกำหนด 90 วันนั้น จะครบกำหนดในวันที่ 8 ก.ค. 68
นายพิชัย กล่าวว่า ในครม.มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (ข้อเสนอโครงการฯ) ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ จำนวน 481 โครงการ (8,939 รายการ) ภายในกรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว นอกจากจะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงผ่านการสร้างงานแล้ว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทยในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวนด้วย
นายพิชัยกล่าวว่า แผนการขับเคลื่อนฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยเม็ดเงิน 115,375 ล้านบาท จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว
วันเดียวกัน นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันอังคารที่ 24 มิ.ย.2568 ได้ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยให้ผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ เริ่มตั้งแต่เวลา 14.00 น. และเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 18.30 น. หลังจบการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้พิจารณาสรุปบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน 2 รายชื่อ เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เป็นการเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคัดเลือกฯ
ทั้งนี้ รมว.การคลังจะพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกฯ ยืนยันว่าคุณสมบัติผู้เข้าสมัครทุกคนใกล้เคียงกันมาก ถือเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทั้งหมด ส่วนการพิจารณาคัดเลือกฯ นั้น เป็นการลงคะแนนลับ ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกฯ มีอิสระในการพิจารณา
“ประเด็นทางการเมืองต่างๆ นั้น ยืนยันว่าคณะกรรมการคัดเลือกฯ มีความเป็นอิสระ และการพิจารณาไม่ได้มีการคำนึงถึงเรื่องการเมือง ดังนั้นก็ต้องให้เกียรติคณะกรรมการคัดเลือกฯ ทุกคนด้วย” นายสถิตย์กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า 2 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ คาดว่าเป็นนางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน นำข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน เรื่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเป็นอีกแนวทางในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งของผู้บริโภคและของประเทศในภาพรวม โดยที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ซึ่งประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.การส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี และ 2.การส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 200,000 บาท นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังเตรียมนำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เข้าสู่การประชุมของ ครม.ภายใน 1-2 สัปดาห์หน้าด้วย.