ฮุ่ยฟางเซียน
ข้อมูลเบื้องต้น
ลลิตา คงสวัสดิ์ เด็กกำพร้าที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ทำงานหาเงินเองเพื่อส่งตัวเองเรียน หญิงสาววัยสามสิบห้าปี ทำงานเป็นสัตวแพทย์ ลลิตามีความสนใจในเรื่องของหนังจีนกำลังภายใน และการอ่านนิยายเกี่ยวกับการทะลุมิติ หรือแม้แต่แนวฆาตกรรมเธอก็ชอบอ่าน ลลิตาก็พอจะรู้บ้างว่าการที่จะทำให้ตายช้าหรือเร็วต้องลงมีดตัดส่วนไหน และเธอก็มีเพื่อนที่เป็นหมอไว้คอยให้ถามอีกด้วย
ลลิตาเองก็มีทักษะในการในการต่อสู้อยู่บ้าง เพราะตัวคนเดียวเลยต้องฝึกเอาไว้ป้องกันตัว แต่ดูเหมือนจะเพลินไปเสียหน่อยเพราะลลิตาเล่นฝึกทั้งยูโด คาราเต้ มวยไทย ฟันดาบ และการใช้อาวุธอย่างมีดสั้นหรือปืนที่ลลิตาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะไปฝึกทำไม ลลิตาเป็นหมอไม่ใช่ตำรวจเสียหน่อย
การเป็นหมอของลลิตาจะทำให้ไม่ค่อยมีเวลาว่างเสียเท่าไร แต่เธอก็หาเวลาไปฝึกจะบรรลุขั้นสูงของทุกสายเลยก็ว่าได้
แม้จะบอกว่าเธอเป็นสัตวแพทย์แต่เธอก็รักษาคนได้เช่นกัน เพราะเธอไปหาเรียนเสริมเกี่ยวกับแพทย์แผนจีน เรียนเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ ที่ให้พิษและรักษา ที่เรียนเพราะเธออยากรู้และชื่นชอบหนังจีน (เหตุผลหลักน่าจะเป็นอย่างหลัง)
ลลิตาชอบการออกมารับลมที่ริมสะพานข้างแม่น้ำสายใหญ่ ชอบที่ลมมันกระทบกับใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยของเธอ เพราะมันทำให้ผ่อนคลายของเรื่องเครียด ๆ ในแต่ละวัน กลัวแต่ว่าตัวเองจะทำมันได้ไม่ดีพอ
ลลิตาเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวายหรืออะไรที่เสียงดัง ๆ เช่นผับ ซึ่งวันนี้เพื่อนร่วมงานของเธอชวนเธอไป แต่เธอก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว นั่นก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนสาวของเธอโกรธหรือไม่พอใจเธอแต่อย่างใด
ลลิตาคิดว่าตอนนี้น่าจะได้เวลากลับบ้านของเธอแล้ว และตอนนี้เธอก็สบายใจและผ่อนคลายมากกว่าตอนแรก
แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอที่กำลังหันหลังกลับเพื่อที่จะกลับบ้าน แต่ดันเจอกับกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังไล่ตีกัน พวกนั้นพากันวิ่งมาทางที่เดินยืนอยู่ แต่ดูเหมือนคนพวกนั้นจะไม่สนใจเธอเท่าไร
“หลบไป!” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งวิ่งมาแล้วผลักเธอให้พ้นทาง แต่ทางที่เด็กคนนั้นผลักดันเป็นขอบสะพาน
ลลิตาที่ตั้งตัวไม่ทันก็ได้แต่หงายหลังลงจากสะพานสู่แม่น้ำใหญ่ด้านล่าง
ตู้ม!!!!
.
.
ระดับพลังวิญญาณ (ขั้น1-10)
ก่อเกิด (แดง)
หลอมรวม (ส้ม)
สามัญ (เหลือง)
พิภพ (เขียว)
นภา (น้ำเงิน)
ปรมาจารย์ (คราม)
เทวะ (ม่วง)
เซียน (เงิน) สูงสุด
บรรพกาล (ทอง) บรรลุยากมากต้องผ่านด่านเคราะห์จากทัณฑ์สวรรค์เก้าสาย
ธาตุ (ขั้น 1-10)
ดิน
น้ำ
ลม
ไฟ
ธาตุพิเศษ
สายฟ้า
พฤกษา
มิติ
น้ำแข็ง
ผลึกธาตุ (ก้อน)
ดิน น้ำตาล
น้ำ ฟ้า
ลม เหลือง
ไฟ แดง
สายฟ้า น้ำเงิน
พฤกษา เขียว
มิติ ม่วง
น้ำแข็ง ฟ้าอ่อนให้ความรู้สึกเย็น
ระดับของนักหลอมโอสถ (ขั้นต้น กลาง สูง)
กำเนิด
แพทย์โอสถ
จอมโอสถ
ปราชญ์โอสถ
เทพโอสถ
เซียนโอสถ
ระดับโอสถ (ขั้นต้น กลาง สูง / ระดับโอสถเต็ม10ส่วน) (1-5 ขายทั่วไป / 6-8 ราคาสูง / 9-10 ในโรงประมูล)
โอสถกำเนิด
โอสถสามัญ
โอสถพิภพ
โอสถนภา
โอสถปรมาจารย์
โอสถเทพ
โอสถเซียน
ระดับผู้ใช้อักขระ (ขั้นต้น กลาง สูง)
สีแดง
สีส้ม
สีเหลือง
สีเขียว
สีน้ำเงิน
สีม่วง
สีดำ
สีทอง
แก่นและผลึก (ขั้นต้น กลาง สูง ดูจากความเข้มของสี)
ผลึกอสูร (เกิดจากสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับบรรพ)
ผลึกวิญญาณ (เกิดจากการหลอมรวมของแก่นวิญญาณ)
ผลึกธาตุ (เกิดจากการหลอมรวมของแก่นธาตุ)
แก่นอสูร (เกิดจากการสังหารสัตว์อสูร สีตามสีธาตุสัตว์อสูรตัวนั้น)
แก่นวิญญาณ (เกิดจากที่ที่มีพลังวิญญาณเข้มข้น หรือพื้นที่ลึกลับ สีขาว)
แก่นธาตุ (เกิดจากที่ที่มีพลังธาตุเข็มข้น เช่นธาตุไฟก็จะเกิดตามภูเขาไฟเป็นต้น สีตามธาตุ)
ตอนที่ 01
นางรู้สึกปวดหัวและเวียนหัวเป็นอย่างมาก
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไร ฉันยังไม่ได้กลับไปดูซีรีส์ที่ดูค้างไว้เลย ไหนจะน้องไวท์ลูกรัก (งูบอลไพธอน) ของฉันจะอยู่อย่างไร พรุ่งนี้ยังไปตกลงกับเพื่อนสาวว่าจะไปกินหม้อไฟกันอีกล่ะ’
เฮ้ออออ
“เลิกบ่นสักทีนังหนู เจ้าบ่นตั้งนานแล้ว ข้ารำคาญ” เสียงชายชราพูดขึ้น นางหันมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่พบ เห็นมีแต่ทุ่งกว้าง ๆ ที่มองยังไงก็ไม่เห็นทางสิ้นสุดของมัน
“ข้าอยู่ข้างหลัง” เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็หันกลับไปมอง
“คุณตาเป็นใครคะ”
“ข้ารึ เป็นคนที่จะพาเจ้าไปยังอีกร่างหนึ่งอย่างไรเล่า” นางได้แต่มึนงงกับคำพูดของชายชรา
“หมายความว่าไงคะคุณตา”
“ก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ตาย แค่ไปอยู่ร่างใหม่เท่านั้น ถามมากจริงไปกันได้แล้ว เดี๋ยวก็ได้ตายจริง ๆ หรอก”
ถึงแม้จะงงเล็กน้อยแต่นางก็ทำได้แค่พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
แสงสว่างวาบปรากฏในสายตาของนางทำให้ต้องหลับตาลง แต่เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็พบกับเพดานที่จะว่าคุ้นตามันก็คุ้น จะว่าไม่คุ้นมันก็ไม่คุ้น ที่คุ้นเพราะนางดูจากทีวี แต่ที่ไม่คุ้นเพราะนางคิดว่าน่าจะตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลมากกว่า
นางพยายามที่จะลุกแต่ร่างกายของนางนั้นมันไม่ทำตาม
‘อะไรทำไมอ่อนแรงแบบนี้’ นางได้แต่คิดในใจ แม้อยากพูดแต่เสียงมันดันไม่ยอมออกมา
นางมองหาคนเพื่อที่จะช่วยเอาน้ำมาให้ แต่ห้องที่นางอยู่แม้มันจะตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ก็ยังรู้สึกขัด ๆ กับสิ่งที่ตาเห็นเพราะนางไม่ชอบการตกแต่งแบบนี้ ห้องที่มีผ้าม่านกั้นระหว่างเตียงกับโต๊ะกลางห้องเป็นสีชมพูอ่อน ไหนจะชุดเครื่องนอนสีเข้มกว่าเล็กน้อยนี่อีก
นางชอบสีทึบ ๆ มากกว่า หรือไม่ก็ขาวไปเลย
นางลองยกแขนขึ้นลงช้าเพื่อให้แขนของนางมีกำลังขึ้นมาบ้าง เมื่อได้แรงตามที่ต้องการนางจึงคว้าหมอนหนุนหัวแสนแข็ง ที่นางคิดว่าจะไม่ยอมหนุนมันอีก นางค่อย ๆ แหวกม่านแล้วคว้างหมอนไปยังโต๊ะกลางห้องที่มีชุดชาวางอยู่
เพล้ง!
ตึกๆๆๆ
“คุณหนู!” เสียงวิ่งดังมาก่อนที่จะมีเสียงเรียก หญิงสาวน่าจะอายุสิบสามถึงสิบสี่ปี วิ่งเข้ามาหานางทันทีที่เห็นว่านางลืมตาอยู่
“นะ น้ำ” เสียงที่พยายามเปล่งออกแต่ก็ได้เพียงเท่านี้
“นี่เจ้าค่ะ คุณหนูค่อย ๆ ดื่มนะเจ้าคะ ฮึก คุณหนูหลับไปนานมากเลย บ่าว ฮึก บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะไม่ตื่นมาอีกแล้ว” เด็กสาวที่เรียกเธอว่าคุณหนูและแทนตัวว่าบ่าว และไหนจะสภาพห้องหลังจากที่นางลุกนั่งได้คงไม่ต้องพูดหรือคิดอะไรเยอะเนื่องจากประสบการณ์ในการอ่านนิยาย กับการดูซีรีส์แนวนี้เยอะ (มากกกก) นางคงจะย้อนมาในยุคไหนสักยุค แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางเท่าไร เพราะปัญหาของนางตอนนี้คือ…
“เจ้าชื่ออะไรและข้าเป็นใคร”
ความทรงจำของร่างที่นางอยู่ไม่มีเหลือเลยสักนิด
ทำไมหลายเรื่องที่นางอ่านมามันมี!
สาวใช้ตัวน้อยเมื่อเห็นนายของตนถามแบบนั้นน้ำตาที่กำลังแห้ง ก็แตกออกมาอีกครั้ง
เฮ้อ แล้ววันนี้นางจะได้ข้อมูลอะไรไหม
“เจ้าหยุดร้องก่อน เล่าให้ข้าฟังเสียที” สาวใช้ตัวน้อยพยักหน้าแล้วตั้งสติสักพัก (ใหญ่) ก่อนที่จะเล่าให้นางได้ฟังสักที
ร่างที่นางอยู่มีนามว่าฮุ่ยฟางเซียน เป็นบุตรีของฮูหยินเอกกับนายท่านผู้เป็นราชครู อายุได้เพียงสิบสามหนาวย่างสิบสี่ มีพี่ชายร่วมมารดาสองคน คนโตนามฮุ่ยเฟิงอวิ๋นเป็นแม่ทัพทิศอุดร ส่วนพี่ชายคนรองนามฮุ่ยเฟิงหมิ่นเป็นรองเสนาบดีฝ่ายขวา และยังมีฮูหยินรองกับลูกชายและลูกสาวอย่างละคน ซึ่งจับจากการพูดถึงบรรดาครอบครัวของฮูหยินรองน้ำเสียงของเสี่ยวชิงสาวใช้ของนางก็เปลี่ยนไป
เสี่ยวชิงเล่าว่ามารดาของฮุ่ยฟางเซียนหรือก็คือนางในตอนนี้นั้นเสียชีวิตตอนที่นางอายุได้เพียงสามหนาวเท่านั้น ฮูหยินเอกนั้นเสียชีวิตด้วยโรคประหลาด เพราะแม้แต่หมอหลวงที่ว่าเก่งก็รักษานางให้หายไม่ได้ และดูเหมือนโรคประหลาดนั้นจะมีอยู่ในตัวนางด้วยเหมือนกัน
งั้นแสดงว่าท่านแม่เป็นตอนที่ท้องนางอยู่ นางเลยได้โรคนั้นมาด้วย
แต่จากที่ฟังจากเสี่ยงชิงแล้วมันไม่ใช่โรคประหลาดอะไรขนาดนั้น แค่โดนวางยาพิษแล้วพิษตัวนี้กว่าจะค่อย ๆ ออกฤทธิ์ ก็กินเวลาไปเกือบสองปีแล้ว ไหนจะระยะเวลาที่อาการกำเริบอีกปีหนึ่งหรือถ้าทนได้มากกว่านี้ก็อาจจะนานหน่อย คนที่วางยานี่คงใจเย็นน่าดู
และดูเหมือนว่าลูกของคนวางยาจะรอไม่ไหว เพราะนางที่ได้รับพิษมาเพียงเล็กน้อยนั้นยังไม่ตายเสียที เลยร่วมมือกันเพื่อนต่างสกุลนั้นสร้างสถานการณ์ให้ฮุ่ยฟางเซียนพลัดตกน้ำในจวน
“จากที่ตอนแรกหมอหลวงบอกว่าคุณหนูไม่รอดแล้วเพราะชีพจรของคุณหนูนั้นดับไป คุณหนูใหญ่ดูดีใจมากเลยเจ้าค่ะ แต่พอหนึ่งก้านธูปหมอหลวงลองตรวจอีกทีพบว่าชีพจรคุณหนูนั้นอ่อนแรงและค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ตอนนั้นบ่าวเห็นหน้าคุณหนูใหญ่ผิดหวังมากเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเล่าไปพร้อมกับใส่อารมณ์อย่างมากในบางประโยคที่เล่าถึงตัวต้นเหตุ
“ปล่อยพวกนางไปเถิด แต่ถ้าหากยังไม่หยุด…” ฮุ่ยฟางเซียนทำท่าปาดคอตัวเองให้เสี่ยวชิงดู
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“พี่ชายของข้าจะกลับเมื่อใด”
“คุณชายรองน่าจะกลับยามอิ่ว (17.00-18.59) ยามนี้ยามเฉิน (07.00-08.59) เองคุณหนูหิวหรือไม่เจ้าคะ” ฮุ่ยฟางเซียนพยักหน้ารับเพราะตอนนี้ก็รู้สึกหิวนิด ๆ เพราะตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดีจนตอนนี้แสงเริ่มเข้ามาแล้ว
เสี่ยวชิงที่เห็นว่านายตัวเองหิวก็รีบออกไปหาอะไรมาให้ทาน
เมื่อเสี่ยวชิงออกไปแล้วฮุ่ยฟางเซียนก็ค่อย ๆ ขยับแขนขาเพื่อที่จะลุกเดิน แต่เมื่อจะได้ลุกเดินจริง ๆ เสี่ยวชิงกับสาวใช้อีกคนก็เดินเข้ามา
“คุณหนูท่านจะลุกไปที่ใดเจ้าคะ” เสี่ยวชิงรีบส่งถาดอาหารให้สาวใช้ด้านข้างแล้ววิ่งมาหาฮุ่ยฟางเซียน
“ข้าจะไปหยิบกระจก”
“คุณหนูนั่งรอเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวไปหยิบมาให้” เสี่ยวชิงลุกเดินไปหยิบกระจกที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะเตี้ยอีกมุมห้อง
“เจ้าเป็นผู้ใด” ฮุ่ยฟางเซียนนางถามสาวใช้อีกคนที่มาพร้อมกับเสี่ยวชิง แต่ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะเป็นสาวใช้รับใช้ในเรือนเสียเท่าไร
“เรียนคุณหนูข้าน้อยอิงอิงเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นเอ่ยแต่ไม่มองหน้านางเอาแต่ก้มหน้าลงพื้น
“พูดกับข้าให้มองหน้า อย่าหลบตาแล้วแทนตัวด้วยชื่อของเจ้า เจ้าด้วยเสี่ยวชิง” ฮุ่ยฟางเซียนบอกอิงอิงด้วยน้ำเสียงกดดัน ไม่นานอิงอิงก็เงยหน้ามองนาง
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าว เอ่อ เสี่ยวชิงเห็นอิงอิงกำลังโดนพวกบ่าวของเรือนฮูหยินรองกลั่นแกล้ง เลยเข้าไปช่วยไว้เจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงพูดบอกขณะส่งกระจกให้ฮุ่ยฟางเซียน
นางมองตัวเองในกระจกก็พบใบหน้าน่ารัก แต่ติดที่ซีดไปหน่อย มิน่าพี่สาวกับเพื่อนของพี่สาวถึงได้ลงมือกัน ถึงนางจะยังไม่เคยเห็นพี่สาวแต่เสี่ยวชิงบอกว่านางน่ารักกว่า ก็คงต้องเชื่อเสี่ยวชิงล่ะนะ
“ยกสำรับมาให้ข้าที่เตียง อ้อ โต๊ะเตี้ยนั่นด้วย” นางชี้ไปยังโต๊ะเตี้ยที่วางบรรดาปิ่นปักผมข้างโต๊ะที่วางกระจก เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว “เจ้าพานางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย เอาชุดของเจ้าให้นางใส่ก่อนก็ได้”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงรับคำก็พาอิงอิงออกไป ส่วนนางก็นั่งกินข้าวต้มจืด ๆ ที่เตียง นางตักขึ้นมาเป่าให้เย็น แต่พอได้กลิ่นเท่านั้นก็รู้ได้ทันที แม้กลิ่นจะอ่อนแต่จมูกของคนที่อยู่กับสิ่งนี้มานานแบบนางมีหรือจะไม่ได้กลิ่น
ยังคงไม่ยอมวางมือกันใช่หรือไม่
ได้!!!
นางจะรับคำท้าทายนั้น ตอนแรกคิดว่าจะใช้ชีวิตแบบสงบไปเป็นหมอสักที่ให้สมกับที่ดูซีรีส์ แค่ก ๆ ให้สมกับที่เรียนรู้มา แต่ดูเหมือนบรรดาเรือนฮูหยินรองนั่นจะไม่ชอบการอยู่อย่างสบายเสียเท่าไร
ตอนที่ 02
แผนที่วางไว้ในหัวตอนนี้เริ่มเปลี่ยนใหม่หมด อืม เอาเรื่องไหนดี บรรดาเนื้อเรื่องที่เคยอ่านและเคยดูมาต่างหลั่งไหลเข้ามาในสมอง
ยุคนี้มีสัตว์อสูรไหมนะ วรยุทธ์มีแน่ เพราะพี่ชายคนโตเป็นแม่ทัพและเสี่ยวชิงก็บอกว่าวรยุทธ์นั้นเก่งกาจมาก แต่มีเป็นขั้นเป็นสีหรือเปล่านะ ถ้ามีแบบนี้ก็คงต้องเรียนการหลอมโอสถสินะ
เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน มาเริ่มที่หาจุดตันเถียนก่อน ทุกเรื่องที่อ่านมันมี ยุคนี้ต้องมีเช่นกัน
นางเลื่อนโต๊ะเตี้ยไปไว้ปลายเตียงแล้วนั่งทำสมาธิ หลักการต่าง ๆ รวมถึงขั้นตอนในการหาจุดตันเถียนเริ่มไหลมาเป็นสายน้ำ
เมื่อนางหาจุดตันเถียนครบแล้ว ต่อไปก็ลองปล่อยพลังปราณเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ไล่ไปตามจุดชีพจรจุดต่าง ๆ จุดแรกผ่านไปด้วยดีจนไปถึงจุดที่ซึ่งอยู่บริเวณกลางอก ตรงจุดนี้ถือว่าใกล้หัวใจ นางพยายามที่จะผ่านจุดนี้ไปแต่ดูเหมือนว่านางจะพยายามมากไป จนกลายเป็นการบังคับมัน
พรวด แค่ก ๆ
นางกระอักเลือดออกมา เลือดนั้นเป็นสีดำ แน่สิก็นางโดนพิษจะไม่เป็นสีดำได้อย่างไร
“คุณหนู!” เสียงสองสาวใช้เรียกนางเสียงดังคงตกใจกับสิ่งที่เห็น
“ไม่เป็นอันใด ข้าอยากอาบน้ำ” นางบอกกับเสี่ยวชิงที่มองนางด้วยแววตาที่เศร้า น้ำตายังคลออยู่ที่ดวงตาของเสี่ยวชิง เสี่ยวชิงก็ได้แต่พยักหน้าแล้วเดินไปยังห้องอาบน้ำหลังฉากกัน เพื่อเติมน้ำให้ฮุ่ยฟางเซียนอาบ
“ข้าลืมบอกว่าเอาน้ำเย็นไม่ต้องต้ม อิงอิงเจ้าไปบอกนางที” อิงอิงพยักหน้าแล้วเดินไปหาเสี่ยวชิง แม้นางจะไม่เข้าใจคุณหนูแต่นางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ก็คงต้องทำตามเท่านั้น
“ออกมาเถิด” นางเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ แต่นางคงคิดว่าคนผู้นั้นได้ยินเป็นแน่
“คุณหนู” ชายผู้นั้นออกมาคำนับข้างเตียงของนาง แถมยังลอบมองไปยังกองเลือดนั้นเล็กน้อย
“เจ้าเป็นคนของผู้ใด” นางถามด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนโยน
“ข้าน้อยเฮยฮวนเป็นองครักษ์ของท่านแม่ทัพขอรับ”
“พี่ใหญ่?” นางถามออกไป
“ขอรับ”
“มีเจ้าผู้เดียวหรือไม่”
“ไม่ขอรับ ยังมีอีกสองคน คนหนึ่งไปแจ้งข่าวว่าคุณหนูฟื้นแล้วให้กับท่านแม่ทัพ ส่วนอีกคนไปแจ้งกับท่านรองเสนาขอรับ”
“งั้นเรื่องที่เห็นเมื่อครู่เจ้าเห็นผู้เดียวใช่หรือไม่” นางยังคงถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่แววตาของนางที่มองไปยังเฮยฮวนกลับไร้ความรู้สึก
“ขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยลืมมันไปได้หรือไม่”
“เหตุใดหรือขอรับ มัน…” เฮยฮวนที่รู้ว่าตัวเองเสียมารยาทพูดแทรกนาย ถึงแม้ว่าคุณหนูจะไม่ใช่นายจริง ๆ แต่ก็เป็นน้องสาวของผู้เป็นนาย ซึ่งท่านแม่ทัพรักยิ่งกว่าอะไรดี รวมถึงท่านรองเสนาผู้น้องอีกคน
“ข้าจัดการได้ ไม่อันตรายหรอกแค่พิษฆ่าเวลาเล่นของใครบางคนเท่านั้นเอง” นางยังคงค่อย ๆ พูดโดยที่ไม่แสดงท่าทีอะไรเลย จนเฮยฮวนรู้สึกถึงความสงบนิ่งที่เด็กสิบสามหนาวแสดงออกมานั้น มันเกินกว่าอายุของนาง “ข้าต้องการโสมดำกับหญ้าธาราขอต้นที่เป็นสีเหลือง เจ้าหามาให้ข้าได้หรือไม่”
“ได้ขอรับคุณหนู แต่โสมดำข้าเกรงว่าที่ร้านขายสมุนไพรจะไม่มี”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะโสมดำเป็นของหายากคงมีแค่ในวังหลวงเท่านั้นขอรับ” ทำไมยุคนี้มันหายากกันจัง ทีตอนนางเรียนอาจารย์ยังหอบมาตั้งเยอะ เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของคุณหนูเฮยฮวนก็รีบพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพเป็นสหายกับองค์ชายรอง ถ้าบอกเรื่องนี้ท่านแม่ทัพอาจจะ…”
นางว่านางพอเข้าใจบ้างแล้ว แต่นางก็ไม่ต้องการให้พี่ชายของนางเป็นกังวล ทำยังไงดี คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้น
“แค่หญ้าธาราอย่างเดียวก็พอ เอาต้นที่เหลือง ๆ หน่อย กับต้นอ่อนมาก็พอ” นางว่าจะสั่งเฮยฮวนอีกสักสองอย่างแต่เสียงก้าวเดินของสาวใช้กำลังใกล้เข้ามา “เจ้ารีบไปเถิด”
พูดจบเฮยฮวนก็หายไปต่อหน้านาง
“คุณหนูเจ้าคะน้ำเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ทำไมถึงใช้ทำเย็นล่ะเจ้าคะ ท่านป่วยอยู่นะเจ้าคะ”
“ข้าก็กำลังรักษาอาการป่วยของตัวเองอยู่นี่ไง มาพยุงข้าได้แล้ว” เสี่ยวชิงกับอิงอิงเดินเข้ามาช่วยพยุงนางกันคนละข้าง เสี่ยวชิงที่เห็นว่าชามข้าวต้มยังเหลือเยอะอยู่ก็ถามความกับนายของตน
“คุณหนูท่านไม่ได้ทานหรือเจ้าคะ ไหนท่านบอกว่าหิว” เสี่ยงชิงถามไปมือก็ช่วยอิงอิงถอดเสื้อผ้าของนางออก
“มันมียาพิษผสมอยู่ข้าเลยไม่กิน” นางพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาขณะก้าวลงอ่างน้ำเย็น แต่สองสาวใช้กับตาเบิกกว้าง เมื่อกี้คุณหนูของพวกนางพูดว่าอะไรนะ ยาพิษ? ในชามข้าวที่เสี่ยวชิงเพิ่งไปเอามาจากเรือนใหญ่ “มาอาบน้ำให้ข้าได้แล้ว เลิกตกใจกันเสียที ข้าจะไปทำธุระต่ออีก”
“ธุระอันใดกันเจ้าคะ คุณหนูป่วยอยู่เสี่ยวชิงไม่ให้ออกไปนะเจ้าคะ” เสี่ยวชิงอาบน้ำให้นางพร้อมกับพูดไปด้วย
“อิงอิงเห็นด้วยกับเสี่ยวชิงนะเจ้าคะ” อิงอิงเห็นว่าคุณหนูที่เพิ่งจะรับตนเข้ามารับใช้ยังไม่หายดีเท่าไร ไหนจะกองเลือดที่ยังไม่ได้เก็บนั้นอีก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ “อิงอิงไปทำความสะอาดก่อนนะเจ้าคะ”
อิงอิงพูดจบก็เดินหลบฉากออกไป
“ข้าจะไปหายาถอนพิษ” นางพูดไปแบบนั้นก็จริง แต่มันเป็นความจริงแค่เสี้ยวเดียว นางจะไปหาแนวทางการใช้ชีวิตที่นี่ต่างหาก
“เช่นนั้นเสี่ยวชิงไปด้วย”
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าข้าจะไปคนเดียวเสียหน่อย พอแล้วเลิกขัดข้าจะแช่น้ำสักก้านธูป เจ้าออกไปเตรียมเสื้อผ้ากับเอาข้าวชามนั้นไปทำให้เหมือนว่าข้ากินไปแล้ว แต่กินไม่หมด แล้วค่อยเอาไปเก็บที่โรงครัว เข้าใจหรือไม่” นางสั่งงานเสี่ยวชิง เสี่ยวชิงก็รับคำสั่งอย่างดี เสี่ยวชิงนางคงออกไปพร้อมกับอิงอิง เพราะฟังจากเสียงเดินออกไป
‘ข้าว่าข้าคงเหมาะกับสิ่งที่ข้าจะทำแน่ๆ หูดีขนาดนี้’
ฮุ่ยฟางเซียนคิดในใจหวังว่าสิ่งที่นางคิดจะสมหวัง และผ่านไปอย่างราบรื่น เมื่ออารมณ์ดีแล้วนางก็นั่งสมาธิต่อจากเมื่อกี้ เพื่อจัดการกับจุดที่คาไว้อยู่ รอบนี้ผ่านไปได้ด้วยดี คงเป็นเพราะร่างกายเริ่มปรับตัวบวกกับน้ำเย็นที่นางแช่อยู่
เฮยฮวนที่กลับมาพร้อมกับสิ่งที่คุณหนูสั่ง แถมด้วยกับบุคคลที่เขาไม่ควรเจอขณะที่กำลังกลับเข้าจวน
“คุณชายรอง”
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ มิใช่ว่าเจ้าต้องเฝ้าเซียนเอ๋อร์หรอกรึ” คุณชายรองผู้เป็นรองเสนาบดี แต่เหตุใดถึงมาอยู่แถวตลาดได้เล่า “แล้วเจ้าถืออันใดอยู่”
“อะ เอ่อ ข้าน้อยไปหาสมุนไพร หะ ให้กับคุณหนูขอรับ” เฮยฮวนผู้ซึ่งไม่เคยเจอเหตุการณ์ความกดดันของท่านรองเสนาบดี ซึ่งไม่ต่างจากท่านแม่ทัพตอนกำลังโกรธเลยสักนิด
“เซียนเอ๋อร์เห็นเจ้าได้อย่างไรกัน” คำถามที่ท่านรองเสนาถามนั้นเขาก็อยากจะรู้เช่นกัน
“ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบขอรับ อยู่ๆคุณหนูนางก็หันหน้ามาทางที่ข้าน้อยหลบซ่อนอยู่แล้วบอกให้ข้าน้อยออกไป” ท่านรองเสนาผู้แสนฉลาดยังคงไม่หายข้องใจกับสิ่งที่องครักษ์ของพี่ชายบอกเสียเท่าไร
ทั้งสองเดินถามกันกลับจวน(แถมเข้าหลังจวน) ซึ่งทางที่ทั้งสองใช้นั้นไม่ใช่ประตู แต่เป็นหน้าต่างที่เฮยฮวนใช้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือท่านรองเสนาจะมาใช้กับเขาทำไม
“กลับมาแล้วรึเฮยฮวน เจ้าพาผู้ใดมา หรือว่าจะเป็นหนึ่งในสองที่เจ้าเคยกล่าวถึง” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากฉากกั้นระหว่างห้องอาบน้ำกับห้องนอน
ตอนที่ 03
“กลับมาแล้วรึเฮยฮวน เจ้าพาผู้ใดมา หรือว่าจะเป็นหนึ่งในสองที่เจ้าเคยกล่าวถึง” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากฉากกั้นระหว่างห้องอาบน้ำกับห้องนอน
ท่านรองเสนาถึงกับหันไปมองเฮยฮวนทันที เขาพอจะเข้าใจแล้ว ขนาดองครักษ์ฝีมือดีหรือแม้แต่เขาเองที่วรยุทธ์นั้นก็ไม่เป็นรองผู้ใดนอกจากพี่ชายของเขา นางยังจับสัมผัสได้
“เซียนเอ๋อร์พี่เอง”
“พี่ใหญ่หรือพี่รองเจ้าคะ” เมื่อได้ยินน้องสาวตัวเองถามแบบนั้นก็เกิดความสงสัย เพราะเป็นเมื่อก่อนนางต้องจำเสียงเขาได้ แต่ทำไมตอนนี้นางกลับจำไม่ได้
“พี่รอง” เสียงเขาดูอ่อนแรงมากจากปกติจนเขาเองยังสัมผัสได้
“พี่รองเป็นอันใดไปเจ้าคะ รอน้องแช่น้ำให้ครบเวลาก่อนนะเจ้าคะ อีกสักพัก…”
พรวด แค่กๆ
“เซียนเอ๋อร์!” ผู้เป็นพี่ชายที่ได้ยินเสียงเหมือนนางพ่นอะไรออกมา และด้วยความเป็นห่วงเขาจึงพุ่งเข้าไป สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าที่เคยดูน่ารักสดใสแต่บัดนี้กลับซีดไร้ชีวิตชีวา มุมปากของนางมีเลือดติดอยู่เล็กน้อยข้างอ่างอาบน้ำมีกองเลือดอยู่สองสามกอง แต่ละกองสีต่างกันออกไป จากดำไปจนถึงแดงเข้มให้พอดูว่านี่คือเลือด
“อ่า พี่รองเห็นจนได้” นางยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก
“เจ้าเป็นอันใดไปน้องพี่ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” พี่ชายผู้รักน้องสุดหัวใจยกมือขึ้นลูบแก้มที่ควรจะแดงระรื่นอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าน้องสาวคนเดียวจะเจ็บ
“น้องแค่กำลังถอนพิษ รบกวนพี่รองช่วยไปนำของที่เฮยฮวนนำมาให้น้องได้หรือไม่เจ้าคะ” นางหลับตาเอียงแก้มเข้าหามือมากขึ้นเพื่อจะเก็บความอบอุ่นนี้ไว้ เพราะนางไม่เคยได้รับมันเลย นางหลับตาพร้อมกับเอ่ยพูดบอกพี่ชาย
“ได้สิ รอพี่ครู่เดียว” พี่ชายคนดียกมือลูบหัวก่อนจะออกจากฉากกั้นเดินไปหาเฮยฮวนทันที
เมื่อได้ของมาแล้วเขาก็เดินกลับไปหาน้องสาวที่ยังคงหลับตาแช่น้ำอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อเข้าใกล้กับอ่างมากขึ้นนางก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ
“น้องใช้แค่ต้นที่เหลืองส่วนต้นอ่อนน้องจะเอาไว้ปลูก” ได้ยินนางบอกแบบนั้นเขาก็หยิบต้นที่มีสีเหลืองเหมือนมันใกล้ตายส่งให้นาง
“มันเหมือนจะตายยังไงไม่รู้”
“สีเขียวช่วยรักษาโรค สีเหลืองก็ใช้แก้พิษได้บางชนิด หากศึกษาดี ๆ หนึ่งต้นนั้นทำได้หลายอย่างเชียวเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปรู้มาได้เยี่ยงไร” เขาถามเพราะน้องสาวเขาแปลกไปมากจากเมื่อก่อน นางเคยน่ารัก ไม่ใช่ตอนนี้ที่ดูสงบนิ่งราวกับผู้ใหญ่ แถมความรู้ที่นางมีนั้นเขาไม่เคยรู้มาก่อน และไม่เคยรู้ว่านางรู้เรื่องพวกนี้ด้วย เพราะวัน ๆ นางเอาแต่ดีดกู่ฉิน วาดภาพ หรือไม่ก็นั่งคัดรายมืออยู่ในเรือนเท่านั้น
ฮุ่ยฟางเซียนที่ไม่รู้จะตอบอย่างไรกับคำตามก็ได้แต่เงียบก่อนจะตอบออกไป
“น้องพร้อมแล้วน้องจะบอกพี่รองนะเจ้าคะ” นางเลือกคำตอบที่พอให้เขารู้ว่านางจะบอกแต่ไม่ใช่ตอนนี้ “น้องแช่น้ำครบแล้ว แต่เสี่ยวชิงยังไม่มาเลย”
“เดี๋ยวให้เฮยฮวนไปตามไม่นานก็มา” พี่ชายนางพูดแค่นั้นแต่ไม่ได้ขยับไปไหนนอกจากเสียงของเฮยฮวนที่เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็หายไป
“คารวะคุณชายรองเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงกับอิงอิงเคารพผู้เป็นนายอีกคน
“พวกเจ้ารีบไปแต่งตัวให้เซียนเอ๋อร์เถิด” สองสาวใช้ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วเดินไปทางฉากกั้น
ชุดที่เสี่ยวชิงเตรียมให้เป็นสีชมพูอ่อนดูเรียบร้อย สีชมพูอีกแล้ว ใส่ไปก่อนแล้วกัน เมื่อแต่งกายเสร็จนางก็ออกมานั่งหน้ากระจกเพื่อให้เสี่ยวชิงทำผมให้
“หาแค่ผ้าผูกก็พอ ข้าไม่อยากปักปิ่น หนักหัว” นางบอกเสี่ยวชิงที่กำลังหวีผมให้นางอยู่
“แต่คุณหนูจะออกไปข้างนอกมิใช่หรือเจ้าคะ” เสี่ยวชิงพูดออกไปแบบนั้น ฮุ่ยเฟิงหมิ่นผู้ได้ยินคำสนทนาถึงกับขมวดคิ้ว
“เจ้าจะออกไปที่ใด”
“ออกไปหาอะไรกินเจ้าค่ะ ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยหิวมาก”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่กินที่จวน จะออกไปทำไม”
“เรียนคุณชายรองบ่าวไปเอามาให้คุณหนูแล้วเจ้าค่ะ แต่คุณหนูบอกว่ามันมีพิษเลยไม่รับสำรับเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงที่รับรู้ถึงความเย็น ๆ ที่หลังจึงรีบกล่าว ในขณะที่นางกำลังผูกผ้าให้กับคุณหนูของนาง
“พี่รองท่านกำลังทำให้เสี่ยวชิงของน้องกลัว” เมื่อได้ทรงผมอย่างที่ต้องการนางก็เดินมาหาพี่ชาย “เสี่ยวชิงหาผ้าปิดหน้าให้ข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ออกไปแล้วนางก็หันมาทางพี่ชายที่นั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่
“ไม่คิ้วผูกกันสิเจ้าคะ หมดความสง่ากันพอดี” นางเอื้อมมือไปเตะระหว่างคิ้วของพี่ชาย “ท่านจะพาน้องไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นางเปลี่ยนเรื่องให้แนบเนียนเพราะไม่อยากให้หน้าหล่อ ๆ ของพี่ชายต้องยับจากความเครียด
“พี่จะพาเจ้าไป เจ้าอยากได้อะไรพี่ก็จะตามใจเจ้า” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยออกไปเพื่อไม่ให้น้องสาวไม่สบายใจ เรื่องที่นางโดนวางยาเขาจะแจ้งพี่ใหญ่ทันที ถ้าเขารู้ว่าเป็นผู้ใดเขาจะฆ่ามันทิ้งเสีย
นางสังเกตอาการของพี่ชายถึงปากจะบอกเหมือนไม่คิด แต่ในหัวนี่คงคิดไปต่าง ๆ นา ๆ แน่ ปล่อยไปก่อนแล้วกัน หากไม่กระทบนางมากก็ไม่เป็นอะไร
รอไม่นานเสี่ยวชิงก็กลับมาพร้อมกับผ้าสีเดียวกับชุดที่นางสวม
“เฮ้อ ชมพูอีกแล้ว” นางพึมพำเบา ๆ แต่มีหรือพี่ชายผู้ฝึกวรยุทธ์จะไม่ได้ยิน
“เมื่อก่อนเจ้าชอบมิใช่หรือเซียนเอ๋อร์”
“น้องจำไม่เห็นได้”
“เรียนคุณชายรองคุณหนูของบ่าวความทรงจำหายไปหมดเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงรีบบอกเพราะเหมือนนางจะลืมเรื่องนี้ไป
“พอกันทั้งคู่เจ้าค่ะ แค่ความจำหายแต่ชีวิตของข้ายังอยู่ พวกท่านจะคิดมากกันไปทำไม ไปกันเถิดเจ้าค่ะแดดกำลังอุ่นเลย” นางห้ามพี่ชายที่กำลังจะถามโดยการลุกไปเกาะแขนออดอ้อน แล้วยกมือมาลูบที่ท้องให้เห็นว่านางหิวแล้ว
“อืมไปกันเถิด เจ้าคงหิวมากแล้ว” พี่ชายพานางออกมาทางประตูหน้า นางเห็นสาวใช้คนหนึ่งพอเห็นนางสาวใช้คนนั้นก็รีบวิ่งไปทันที
“คนของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” อิงอิงพูดบอกนาง สงสัยคงเห็นว่านางมอง นางพยักหน้ารับแล้วเดินควงแขนพี่ชายตัวเองไปจนถึงตลาด
ซึ่งระยะทางก็ไม่ได้ห่างจากจวนมาก นางมองบรรดาร้านค้าที่เป็นข้างทางและสิ่งปลูกสร้าง แล้วมองหาทำเลพื้นที่ว่างเปล่าดี ๆ เพื่อที่จะสร้างร้านขึ้นมาหากยังไม่เจอสิ่งถูกใจ
นางศึกษามาบ้างเพราะความฝันอยากจะมีร้านกาแฟและเบเกอรี่เล็ก ๆ ไว้ทำแก้เบื่อจากงาน ถึงขนาดไปลงทุนเรียนการชงกาแฟและการทำขนม
เมื่อมองหาไปทั่วก็เจอมุมที่สนใจ แม้มันจะไกลจากตลาดเล็กน้อย แต่มันเป็นพื้นที่ว่างเปล่าติดแม่น้ำกับติดป่า
“พี่รองเจ้าคะที่ตรงนั้นเป็นของผู้ใดกัน” นางหยุดเดินแล้วเรียกให้พี่ชายหยุดด้วย นางชี้ไปยังพื้นที่ที่ต้องการ
“เป็นของหลวงทำไมรึ”
“น้องอยากได้” นางตอบพี่ชายโดยการออดอ้อน
“ไปโรงเตี้ยมหาอะไรกินก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่” เขาก็ไม่รู้ว่านางจะอยากได้พื้นที่เปล่า ๆ นั้นไปทำไม แถมเขาดูแล้วทำเลมันไม่น่าทำอะไรเลยสักนิด แต่เมื่อน้องอยากได้เขาคงขัดอะไรไม่ได้เพราะเขาเอ่ยปากออกไปแล้วว่าหากอยากได้อะไรเขาจะซื้อให้