เลือกตั้งผูกปมใหม่ 2 พรรคจุดพลุ ‘2 เงื่อนไข’
คอลัมน์ : สู่สนามเลือกตั้ง 2569
เพิ่งจะหวานชื่น ทำ MOA ตกลงสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปหมาด ๆ สุดท้ายสายสัมพันธ์หวานชื่น ระหว่าง พรรคประชาชน กับภูมิใจไทย กลายเป็นหนังบู๊ไปแล้ว
แต่ทั้งหลายทั้งปวง มีที่มาที่ไป
เริ่มจากการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่พรรคภูมิใจไทยพลิกข้อตกลงกับพรรคประชาชน ไม่ลงมติสนับสนุนให้แก้กรณีเสียงเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่ต้องมีเสียง สว.เห็นชอบด้วย 1 ใน 3 แก้ใหม่เป็นเสียงข้างมากของรัฐสภา
ผลการลงมติ ไม่เป็นไปตามที่ตกลง นำไปสู่การยุบสภา ในวันที่ 12 ธ.ค. ส่วน MOA ยุติไป
เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวบนเวทีดีเบต 23 ธ.ค.ว่า จะไม่ขานชื่อหนุนนายอนุทินเป็นนายกฯอีกแล้ว
ย้ำคำหนักแน่น ส่วนนายกฯอนุทินสวนกลับว่า พรรคภูมิใจไทย มีจุดยืนชัดเจน ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่แก้ไข ป.อาญา มาตรา 112 และถ้าพรรคประชาชนยังหมกมุ่นกับเรื่องนี้ พรรคภูมิใจไทยไม่ร่วมด้วยแน่นอน
ต่อมา 25 ธ.ค. หัวหน้าเท้ง ณัฐพงษ์ ย้ำทางเฟซบุ๊กอีกว่า ในเมื่อคุณอนุทินประกาศชัดแบบนี้แล้ว ก็ขอย้ำอีกครั้งว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลแข่งกันระหว่างรัฐบาลประชาชนกับรัฐบาลภูมิใจไทย
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่อง 112 ตามที่คุณอนุทินอ้างทั้งสิ้น พอได้แล้วกับนิทานหลอกลวงประชาชนเพื่อกักขังประเทศให้อยู่กับอดีต
พรรคประชาชนจะพยายามชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงของประชาชน ชนะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคอันดับ 2 ได้จัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคอันดับ 1 อีก
เรียกว่า “ยกระดับ” ความตึงเครียดของ 2 พรรคขึ้นไปอีกจุด
เป็นการแยกทางเดินของ 2 พรรค ที่มีห้วงเวลาหวานชื่นระหว่างกันอยู่ประมาณ 2 เดือน
ที่น่าคิดคือ จะมีผลอย่างไรต่อการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อพรรคใหญ่ 2 พรรค ประกาศลั่นว่ายังไง ๆ ก็ไม่จับมือกัน
อีกคู่ที่แลกหมัดร้อนแรง คือ พรรคกล้าธรรมกับพรรคประชาธิปัตย์
ปชป.กลับมารอบนี้ ถือว่าไม่ธรรมดา
หลังเลือกตั้ง 2566 ปชป.เกิดข้อขัดแย้งภายใน จน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากพรรคไป
ปชป.ในยุคที่มี นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย อยู่ได้ระยะหนึ่ง มีนายกรัฐมนตรี มาดำรงตำแหน่ง 2 คน ก่อนจะยุติไป
พรรคภูมิใจไทยเข้ามาแล้วยุบสภา
เป็นโอกาสฟื้นฟู จัดทัพใหม่ ของ ปชป.ที่เพิ่งผ่านสภาพแพแตก สส.แตกตัวไปเข้าพรรคต่าง ๆ
โดยนำเอา หัวหน้ามาร์คอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค และเป็นแคนดิเดตนายกฯด้วย
บนเวทีดีเบต 23 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหัวหน้าพรรค
ก่อนที่ ผู้กองธรรมนัสออกมาตอบโต้ทันที ผ่านทีวีช่อง 3 โดยมีคำว่า “กระแดะ” ในคำตอบโต้ด้วย
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวต่อ ๆ มาด้วยว่า ไม่ได้เป็นวาทกรรม เป็นความตั้งใจที่ประกาศออกมา และทำจริง
ยืนยันท่าทีของพรรค ซึ่งจะมีผลต่อการเมืองในข้างหน้าอยู่ไม่น้อย
กลายเป็น “เงื่อนไข” สำคัญ อีกข้อของสมการการเมืองไทย โดยเฉพาะในการจัดตั้งรัฐบาล
เป็นอันว่า การเมืองจากนี้ไป จะแบ่งเป็นอย่างน้อย 2 ขั้ว
ภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างไป
ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องคาดหมายได้ แต่การเมืองไทยไม่ค่อยพูดกันแบบตรงไปตรงมา
เที่ยวหน้าเปิดหน้าพูดกันแบบไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว
พรรคอื่น ๆ จะต้องไปตัดสินใจ ว่าจะร่วมเส้นทางไปกับใคร
ที่จริง ก็พอจะคาดการณ์ได้ ว่าพรรคไหนจะตัดสินใจอย่างไร จะเลือกเดินทางไหนไปกับใคร
แต่ก็นั่นแหละ การเลือกตั้ง เรื่องสำคัญคือ ต้องฟังเสียงประชาชนด้วยว่าเลือกพรรคไหนมากที่สุด
พรรคไหนรองลงมา และลำดับถัด ๆ ไป
พรรคต่าง ๆ จะมีคะแนนเสียงสนับสนุนเท่าไหร่
จะเป็นปัจจัยสำคัญ กำหนดว่า พรรคการเมืองไหนจะได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาล
ถ้าตั้งไม่สำเร็จหรือตั้งไม่ได้ จะต้องส่งไม้ต่อให้พรรคลำดับถัดไป
สภาพเช่นนี้เคยเกิดมาแล้วในการเลือกตั้งก่อนหน้านี้
การเมืองไทยจะมาแบบ “ซ้ำรอยเดิม” หรือพลิกโฉมไปจากเดิม ๆ
ต้องไปลุ้นกันใน 1 เดือนก่อนเลือกตั้ง และวันเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เลือกตั้งผูกปมใหม่ 2 พรรคจุดพลุ ‘2 เงื่อนไข’
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net