โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

‘หมานคร’ หนังประหลาด ที่ต้องรอถึง 20 ปีกว่าจะเข้าใจ บันทึกแรงงานในเมืองทุนนิยม

The Momentum

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • THE MOMENTUM

‘กรุงเทพฯ เมืองแห่งความฝัน’

‘กรุงเทพฯ พื้นที่ของโอกาส’

ประโยคสุดแสนจะจำเจที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดบ่อยครั้ง อาจเพราะด้วยกรุงเทพมหานคร คือเมืองหลวงของประเทศไทยที่สามารถมอบโอกาสทุกด้าน ให้กับทุกคนได้มากกว่าจังหวัดอื่นจริงๆ

ทว่าในอีกแง่หนึ่ง กรุงเทพฯ เปรียบได้กับภาพแทนของเมืองทุนนิยม ที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม และภาพการกัดฟันสู้ชีวิตของชนชั้นแรงงาน เพื่อต้องเอาชีวิตรอดภายใต้ระบบนี้ให้ได้

หมานคร’ (2547) เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายเมื่อ 21 ปีที่แล้ว และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่สะท้อนภาพของเมืองทุนนิยมได้ดี

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง ‘ฟ้าทะลายโจร’ (2544) หนังไทยเรื่องแรกที่ถูกฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์, ‘เปนชู้กับผี’ (2549) หรือ ‘เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ’ (2566)

วิศิษฏ์ให้นิยามภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น ‘หนังรักรื่นรมย์ อารมณ์ดี ประหลาดโลก’ ด้วยพล็อตที่เต็มไปด้วยความ ‘เซอร์เรียล’ (Surreal) ประกอบกับการเลือกสาดโทนสีฉูดฉาดตลอดทั้งเรื่อง จึงไม่แปลกที่ ‘หมานคร’ ถูกมองว่าเป็นหนังที่ ‘ประหลาด’ สำหรับสังคมไทยเมื่อ 20 ปีก่อน ทว่าในอีกด้านหนึ่ง แก่นของเรื่องกลับช่วยให้ผู้ชมเข้าใจภาพความเป็นกรุงเทพฯ ได้อย่างชัดเจน

หมานครเริ่มต้นด้วยเรื่องราวของ ‘ป๊อด’ (มหาสมุทร บุณยรักษ์) ชายหนุ่มผู้ไร้ความฝัน เดินทางจากต่างจังหวัดเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ซึ่งก็คงไม่ต่างกับคนต่างจังหวัดอีกหลายๆ คน เพียงเพราะว่า กรุงเทพฯ คือเมืองใหญ่ที่สามารถแสวงหา ‘โอกาส’ ได้มากกว่า

ก่อนจากบ้านมา ยายของป๊อดได้ทิ้งคำเตือนให้กับเขาไว้ว่า “เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ระวังจะมีหางงอกจากก้น” ซึ่งเป็นประโยคยอดฮิตของเรื่องที่ถูกนำมาตีความไว้อย่างหลากหลาย

ป๊อดเริ่มต้นชีวิตในเมืองกรุงด้วยการเป็นพนักงานโรงงานปลากระป๋อง เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับผู้คนมากหน้าหลายตา และหนึ่งในนั้นคือ ‘จิน’ (แสงทอง เกตุอู่ทอง) หญิงสาวผู้มีเป้าหมายและความฝันซึ่งเดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ด้วยความหวังที่ว่า สักวันเธอจะมีโอกาสได้เข้าใจความหมายของหนังสือปกขาวที่ตกลงมาจากท้องฟ้า

ทั้งคู่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน จนในที่สุดป๊อดก็ไม่อาจห้ามใจให้ไม่เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อจินได้ ทว่าเรื่องราวของป๊อดและจินเกิดขึ้นพร้อมกับเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ ซึ่งได้ซ่อนนัยของโครงสร้างระบบทุนนิยมและเสียดสีวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองกรุงไว้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง

เรื่องราวการต่อสู้ของมนุษย์ในโลกทุนนิยม

จริงๆ แล้วชีวิตของทุกตัวละครในภาพยนตร์หมานคร ต่างเป็นภาพสะท้อนของแรงงานที่ต้องอดทน ต่อสู้ และดิ้นรนเอาตัวรอดในโลกทุนนิยม

ชีวิตในเมืองกรุงเทพฯ ไม่ได้สวยหรูสำหรับทุกคน จะเห็นว่าเรื่องราวของทุกตัวละครต่างซ่อนเร้นความโหดร้ายของชีวิตเอาไว้ ผ่านเหตุการณ์และเรื่องราวที่ประหลาดและดูเหนือธรรมชาติ

ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของป๊อดในฐานะพนักงานโรงงานปลากระป๋อง ซึ่งต้องทำงานอย่างหนักภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย จนเผลอตัดนิ้วของตนเองลงไปในปลากระป๋อง

“…วันๆ หนึ่งมีคนเผลอตัดนิ้วของตัวเองยัดใส่ปลากระป๋องทุกวัน”แต่เหตุการณ์ดังกล่าวกลับกลายเป็นเรื่องปกติในสายตาของเพื่อนร่วมงาน

ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงความรับผิดชอบของนายทุน หรือบทบาทของกฎหมายคุ้มครองแรงงานให้กับป๊อดและแรงงานคนอื่นๆ

อุบัติเหตุจากการทำงานหนักถูกทำให้หายไปและกลายเป็นเรื่องที่ปัจเจกต้องรับผิดชอบตนเอง

หรือแม้กระทั่งชีวิตของ ‘คง’ (ณัฎฐา วัฒนะไพบูลย์) วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขับรถรับส่งผู้โดยสารในกรุงเทพฯ จนกระทั่งวันหนึ่งคงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุฝนหมวกกันน็อกตกลงมาจากฟ้า สะท้อนภาพความเปราะบางของแรงงานหาเช้ากินค่ำในเมืองหลวงได้อย่างชัดเจน

ไม่อยากจะคิดเลยว่าเรื่องจริงนอกภาพยนตร์ จะมีแรงงานอีกกี่ชีวิตที่ทำงานหนัก เพื่อขับเคลื่อนสังคมทุนนิยมจนต้องสูญเสียอวัยวะหรือแม้กระทั่งชีวิต โดยไม่ได้มีการกล่าวถึง ไม่มีผู้รับผิดชอบ หรือการเยียวยา

ยังไม่รวมเรื่องราวของ ‘ยอด’ (สวัสดิ์วงศ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) และ ‘หมวย’ (พาชื่น มาไลยพันธุ์) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ บนรถเมล์ที่เต็มไปด้วยความเบียดเสียดแออัด

เรื่องราวความรักของยอดกับหมวยสามารถเสียดสีระบบขนส่งสาธารณะของเมืองหลวงประเทศไทย ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางของแรงงานที่ไม่มีกำลังเพียงพอสำหรับยานพาหนะส่วนตัวได้เป็นอย่างดี

งานคืออะไรและเราคือใคร: ความรู้สึกแปลกแยกกับงานที่ทำ

“ข้าไม่กล้ากินปลากระป๋องอีกเลยว่ะ…” คือคำพูดของยอดเพื่อนร่วมงานที่โรงงานปลากระป๋องของป๊อด

ทั้งคู่ได้รู้จักและพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันหลังเลิกงาน คำพูดข้างต้นนี่เองที่ทำให้วันถัดมาทั้งยอดและป๊อดตัดสินใจยื่นลาออกจากงานพร้อมกัน

แม้จะใช้ชีวิตอยู่ภายในโรงงานมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน และแต่งกายด้วยยูนิฟอร์มโรงงานปลากระป๋องในทุกๆ วัน แต่พนักงานหนุ่ม 2 คนกลับตัดสินใจยื่นซองขาวภายในชั่วข้ามคืน เหตุผลหนึ่งคงหนีไม่พ้นการที่ทั้งคู่กำลังตกอยู่ใน ‘สภาวะแปลกแยก’ (Alienation) จากผลผลิตที่เกิดจากแรงงานของพวกเขาเอง

เหมือนที่ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เจ้าพ่อสังคมนิยมได้อธิบายไว้ว่า ระบบทุนนิยมเป็นกลไกที่ค่อยๆ เข้ามาลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ (Dehumanization) ของแรงงาน จนกระทั่งแรงงานทุกคนตกอยู่ในสภาวะรู้สึกแปลกแยก

ไม่ว่าจะแปลกแยกทั้งกับผลผลิตที่ลงแรงสร้างมันขึ้นมา แต่พวกเขาไม่ได้ผลิตมันขึ้นมาเพื่อตัวเอง อีกทั้งยังไม่สามารถครอบครองหรืออ้างความเป็นเจ้าของได้ สิ่งเดียวที่ได้กลับคืนมาเป็นเพียงแค่ค่าจ้างอันน้อยนิดเท่านั้น

ไม่ต่างกับยอดและป๊อดที่ไม่มีวันจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าของโรงงาน หรือเขียนชื่อของตนเองบนฝาปลากระป๋องได้ แม้ว่าพวกเขาจะทุ่มแรงให้กับมันมาก จนถึงขั้นเผลอตัดนิ้วของตนเองลงไปในปลากระป๋องก็ตาม

นอกจากนี้ ระบบทุนนิยมยังทำให้มนุษย์ตกอยู่ในสภาวะความแปลกแยกจากกระบวนการทำงานของตนเอง ผ่านรูปแบบการทำงานที่ซ้ำซากจำเจ วนเวียนเช่นเดิมในทุกๆ วัน งานจึงไม่อาจเติมเต็มคุณค่าหรือความหมายให้กับชีวิตได้ กลับกลายเป็นเพียงสิ่งที่จำใจต้องทำ เพื่อแลกกับค่าแรงและความอยู่รอด

ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ มนุษย์จะค่อยๆ สูญเสียศักยภาพและความสามารถของตนเองในฐานะมนุษย์ จนในที่สุดก็เริ่มรู้สึกแปลกแยกจากตัวตนที่แท้จริงของตนเอง

ยังไม่รวม สภาวะแปลกแยกทางสังคมกับเพื่อนร่วมงาน อันเป็นผลมาจากการแข่งขันกันเพื่อดิ้นรนเอาตัวรอดในฐานะปัจเจกบุคคล จนท้ายที่สุด อาจนำไปสู่การดำรงอยู่ภายใต้สังคมทุนนิยมอย่างโดดเดี่ยว

อย่างไรก็ตาม โชคดีของป๊อดที่สุดท้ายแล้วเขายังคงความเป็นเพื่อนกับยอดต่อไปได้ แม้ว่าในตอนแรกทั้งสองจะทะเลาะกันจากการแย่งชิงนิ้วที่ถูกตัดลงปลากระป๋องก็ตาม

ความรักในสังคมทุนนิยม ไม่เจ็บปวดจริงหรือ

“คนจนอย่างป๊อดกับจิน ถ้าแต่งงานกัน นอกจากลูกๆ ของเราที่เกิดมาจะไม่มีหางแล้ว จะยังไม่มีความฝันอีก

“…จินไม่อยากให้ลูกๆ มาตราหน้าว่า จินทำให้พวกเขาไม่มีแม้แต่ความฝัน…ป๊อดรู้ไหมนี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าการไม่มีหางเสียอีก”

‘ความรักเป็นสิ่งสวยงาม’

แต่อาจเป็นไปได้ยากสำหรับสังคมทุนนิยม-สังคมที่มีการลงทุนสำหรับทุกเรื่อง

เมื่อทุนนิยมไม่ใช่เพียงแค่ระบบเศรษฐกิจ แต่กลายเป็นสิ่งที่ครอบงำหยั่งลึกลงไปถึงจิตใจมนุษย์ แม้กระทั่งทำให้ความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกที่เรียกว่า ‘ความรัก’ กลายเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มมีการลงทุน แข่งขัน เปรียบเทียบ แม้กระทั่งตัดสินคุณค่าของอีกฝ่ายในความสัมพันธ์ผ่านระบบชนชั้นและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ

แม้จะมีคำโต้แย้งว่า ‘ความรักชนะทุกสิ่ง’ แล้วเหตุใดจินถึงเลือกปฏิเสธป๊อด ทั้งที่เขายอมลาออกจากอาชีพพนักงานโรงงานปลากระป๋องมาเช่ารถขับแท็กซี่เพื่อรับส่งจินไปทำงาน

หรือหากลองจินตนาการในทางกลับกันว่า จินตัดสินใจสร้างชีวิตคู่กับป๊อด สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คงเลี่ยงไม่พ้นภาระทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเงินค่าสินสอด ค่าใช้จ่ายในพิธีแต่งงาน ทรัพย์สินร่วมอย่างที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ค่าเลี้ยงดูลูกที่จะเกิดมาในอนาคต ตั้งแต่ลืมตาดูโลกไปจนถึงการลงทุนเพื่อมอบความฝันให้กับลูกตามความปรารถนาของจิน

หรือแม้กระทั่งเวลาที่ต้องสละจากการทำงานหาเลี้ยงชีพมาใช้ร่วมกัน เพื่อประคองให้ความรักของทั้งคู่ยังคงสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นต้นทุนและมูลค่าที่ต้องจ่ายภายใต้เงื่อนไขของระบบทุนนิยม

แม้ว่า ตอนจบของเรื่องนี้ ป๊อดกับจินตกลงที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แต่คำถามสำคัญของโลกความเป็นจริงคือ ความรักยังสวยงามโดยเนื้อแท้ภายใต้สังคมทุนนิยมจริงหรือ

งานสร้างเงิน แล้วสิ่งใดสร้างคน

ในช่วงที่ป๊อดประกอบอาชีพคนขับแท็กซี่ เขาได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ ‘น้องแหม่ม’ (ภัทรียา สนิทธิเวทย์) เด็กสาววัย 8 ปี เจ้าของใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจัดจ้านราวกับผู้ใหญ่ สวมใส่เสื้อผ้าวาบหวิวเกินวัย มือข้างหนึ่งถือบุหรี่ ขณะที่อีกข้างกอดขวดนม มีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลคู่ใจข้างตัวชื่อว่า ‘ธงชัย’

ธงชัยเล่าให้ป๊อดฟังว่า เขารู้จักกับน้องแหม่มมานาน และทราบว่าดีว่าน้องแหม่มชอบเล่นเกมยิงปืนที่ห้างสรรพสินค้า โดยตุ๊กตาหมีแสนน่ารักตัวนี้ตั้งข้อสังเกตว่า คงเป็นเพราะบ้านของน้องแหม่มเงียบเหงาเกินไป

งานสร้างเงิน

ในโลกของทุนนิยม เรามักคุ้นชินกับคำว่า ‘งานสร้างเงิน’ หรืองานที่เปลี่ยนแรงของตนเองให้กลายเป็นมูลค่าในรูปแบบของเม็ดเงิน ผ่านการผลิตสินค้าและบริการที่จับต้องได้ งานในลักษณะนี้จึงถูกยอมรับว่าเป็นงานที่มีคุณค่า และเป็นรูปแบบการทำงานที่ผู้คนจำนวนมากกำลังทำอยู่

ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ‘งานสร้างคน’ หรือ การผลิตซ้ำทางสังคม (Social Reproduction) ซึ่งเป็นงานที่ดูแลมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ตั้งแต่การเลี้ยงดู อบรม ไปจนถึงการประคับประคองทางอารมณ์ เพื่อให้มนุษย์สามารถเติบโตและออกไปทำงานหล่อเลี้ยงระบบทุนนิยมต่อไป กลับถูกลดทอนความสำคัญลงอย่างต่อเนื่อง

งานสร้างคนมักอยู่ในรูปแบบของการเลี้ยงดู การทำงานบ้าน และการดูแลความรู้สึกของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งล้วนเป็นงานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยตรง และไม่ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของชาติ งานเหล่านี้จึงมักถูกมองว่าไม่มีมูลค่าภายใต้ระบบทุนนิยม

นอกจากนี้ งานสร้างคนยังถูกผลักให้เป็นหน้าที่ของ ‘แม่’ และ ‘ภรรยา’ ที่ดี โดยสังคมทุนนิยมคาดหวังให้ผู้หญิงแบกรับภาระดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องได้รับผลตอบแทนใดๆ ทำให้งานลักษณะนี้กลายเป็นกลไกหนึ่งในการสืบทอดความเหลื่อมล้ำทางเพศได้อย่างแนบเนียน

เมื่อการดูแลมนุษย์ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกทุ่มเทเวลาและพลังทั้งหมดให้กับงานสร้างเงิน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับการพักฟื้นในฐานะมนุษย์อีกต่อไป

งานสร้างเงินและงานสร้างคนดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ในความเป็นจริง ทั้ง 2 งานกลับต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างแยกไม่ออก กล่าวคือ หากแรงงานไม่ได้รับการดูแลและฟื้นฟูในฐานะมนุษย์ ย่อมไม่อาจออกไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้

สภาพนี้คงไม่ต่างจากครอบครัวของน้องแหม่ม ซึ่งทั้งพ่อและแม่ต่างต้องออกจากบ้านไปทำงานหาเงิน จนไม่เหลือเวลาเพียงพอสำหรับการดูแลและหลอมสร้างน้องแหม่ม

เด็กหญิงวัย 8 ปีคนนี้ จึงเติบโตในลักษณะที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกัน และมีเพียงเพื่อนที่เข้าใจเธอมากที่สุดคือตุ๊กตาหมีที่รู้จักเธอดีกว่าพ่อแม่เสียอีก

“….ทุกวันนี้ไม่มีใครคุยกับน้องแหม่มเลย” ธงชัยพูดกับป๊อดภายในรถแท็กซี่

เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งใน ‘หมานคร’ ที่ช่วยให้เราได้เห็นภาพความจริงของชีวิตแรงงานในกรุงเทพฯ และเผยให้เห็นโครงสร้างและองค์ประกอบต่างๆ ของทุนนิยมที่ได้เข้ามาแทรกซึมชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ ตั้งแต่เบื้องลึกของจิตใจไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน และตั้งแต่เป็นเด็กจนเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นแรงงาน

20 ปีผ่านไป ความเป็นทุนนิยมในกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรแล้วบ้าง มีสิ่งใดบ้างที่เอื้อประโยชน์ต่อแรงงานได้อย่างแท้จริง หรือจริงๆ โครงสร้างทุนนิยมกลับได้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น จนกระทั่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธมันไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่กับภายใต้โครงสร้างนี้ต่อไปได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...