โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สะท้อนคุณภาพการศึกษาจากคะแนน O-NET: ใช่ว่าจะแค่ทุ่มงบประมาณไปในด้านการศึกษาเพียงอย่างเดียว

ไทยโพสต์

อัพเดต 25 ธันวาคม 2568 เวลา 1.26 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นายเนลสัน เมนเดลลา (Nelson Mandel) อดีตผู้นำต่อต้างการแบ่งแยกสีผิวซึ่งกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศอัฟริการใต้ ได้กล่าวไว้ว่า การทำลายล้างประเทศหนึ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ขีปนาวุธ แค่ทำลายระบบการศึกษาเท่านั้น ภายใน 10 – 20 ปี ประเทศนั้นก็จะล่มสลายไปเอง สำหรับประเทศไทย รัฐบาลทุกรัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 4 ถึง 5 แสนล้านบาทต่อปี และคิดเป็นประมาณ 3.9% ถึง 5% ของ GDP ในช่วงเวลาดังกล่าว แม้มีการลงทุนเม็ดเงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ระดับมัธยมศึกษา เพื่อส่งต่อไปยังระดับอุดมศึกษา ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องแก้ไข โดยนักวิจัยหลายฝ่ายชี้ให้เห็นถึงปัญหาด้านการจัดสรรงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ ความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลกับโรงเรียนเมือง และการเน้นเป้าหมายเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ ข้อเขียนวันนี้ ต้องการสะท้อนให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาระบบการศึกษา อาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่นๆนอกเหนือจากปัจจัยภายในระบบการศึกษาอย่างเดียว

ศาสตราจารย์ ดร. อากิโอะ เอกาวะ (Professor Dr. Akio Egawa) จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโมโมยามะ กากูอิน ประเทศญี่ปุ่น และศาสตราจารย์พิเศษ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้นำเสนอรายงานการวิจัยในการประชุมวิชาการระหว่างประเทศ 4 มหาวิทยาลัยจากญี่ปุ่น จีน เกาหลี และไทย ณ. สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เรื่อง “ความเสี่ยงในการประเมินความพยายามระดับจังหวัดเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้คะแนน O-NET ในประเทศไทย (Risks of Assessing Provincial-Level Efforts for Educational Quality Based on the O-NET Scores in Thailand)” โดยใช้ข้อมูลค่าคะแนน O-NET ระหว่างปี 2015 – 2023 ของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ จาก Human Achievement Index Report (HAI) ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาวิเคราะห์การกระจายและความคาดเคลื่อนของคะแนน O-NET ตามจังหวัด และทดสอบความสัมพันธ์ของคะแนน O-NET กับปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกจากตัวชี้วัดใน HAI โดยใช้ตัวแบบทางเศรษฐมิติ ผลการศึกษาแสดงการกระจายคะแนนสูงและต่ำ (รูปที่ 1) และค่าความคาดเคลื่อนจากค่ามาตรฐาน (รูปที่ 2) ไปตามจังหวัด

การกระจายค่าคะแนน O-NET ในระดับจังหวัด (รูปที่ 1) แสดงจังหวัดที่มีคะแนน O-NET สูงตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครและพื้นที่โดยรอบ และในภาคเหนือ รวมทั้งในบางจังหวัดภาคใต้ ในทางกลับกัน จังหวัดที่มีคะแนนต่ำจะกระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือที่ติดกับประเทศเมียนมาร์ รวมทั้งในบางจังหวัดภาคกลางและภาคใต้ และสามจังหวัดภาคใต้

การทดสอบด้วยตัวแบบทางเศรษฐมิติ Multiple regression analysis พบว่าปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก 5 ปัจจัย มีความสัมพันธ์กับคะแนน O-NET อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในทางบวก ได้แก่ (1) อัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา (2) การเข้าถึงถนนสายหลัก (3) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต สำหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในทางลบ ได้แก่ (4) สัดส่วนของครัวเรือนที่มีหนี้สิน และ (5) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ (ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสมดุลระหว่างการเรียนและกิจกรรมสาธารณะ)

จากการวิเคราะห์ผลความแตกต่างระหว่างคะแนน O-NET จริงและคะแนน O-NET ประมาณการจากค่าสัมประสิทธิ์ของตัวแบบของแต่ละจังหวัด ในรูปที่ 2 มี 10 จังหวัดที่มีความแตกต่างกัน ±3 คะแนนขึ้นไป (โดยใช้สีเทาเข้ม) และจังหวัดที่มีความแตกต่างกัน ±1.5 ถึง 3 คะแนน (โดยใช้สีเทาอ่อน) สิ่งที่น่าสนใจจากรูปที่ 2 คือ จังหวัดชายแดนหลายจังหวัดที่ติดกับประเทศเมียนมา ที่มีคะแนน O-NET ต่ำ (ในรูปที่ 1) มีการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในระดับหนึ่งด้วยความคิดริเริ่มของจังหวัดเองจากงบประมาณด้านการศึกษาที่ได้รับ คะแนนที่ต่ำเหล่านี้จึงน่าจะเป็นผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ต่ำ เช่นเดียวกับในจังหวัดชายแดนที่ติดกับกัมพูชาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้วิจัยได้สรุปว่าคะแนน O-NET ที่สูง (ต่ำ) ไม่ได้หมายความว่าจังหวัดที่เกี่ยวข้องได้ละเลย หรือไม่ได้มีความพยายามในการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่การเพิ่ม “การลงทุนด้านทรัพยากรทางการศึกษา” อย่างเดียวแก่จังหวัดที่มีคะแนน O-NET ต่ำแบบที่เคยดำเนินการมา ไม่เพียงพอ จังหวัดเหล่านี้ ควรได้รับงบประมาณเพิ่มหรือลงทุนเพิ่มในด้านการปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายนอก น่าจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงคะแนน O-NET หรือคุณภาพการศึกษาในจังหวัด ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (ถนนและสภาพแวดล้อมด้าน ICT) จะเป็นการดำเนินการในระยะยาว เพราะไม่สามารถทำได้สำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่การสนับสนุนจากภาครัฐในการลดหนี้สินครัวเรือน และการส่งเสริมวิธีการสร้างสมดุลให้กับกิจกรรมชุมชนโดยไม่กีดกันหรือเป็นอุปสรรคต่อเวลาเรียนของเด็กๆ มากเกินไป เป็นมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาสั้นโดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก

ผู้วิจัยยังได้ศึกษาวิเคราะห์ต่อเนื่องไปในส่วนที่เกี่ยวข้องของการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับจังหวัด สำหรับจังหวัดที่มีค่าความคลาดเคลื่อนลดลง (Downward deviation) ในรูปที่ 2 ที่กระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกและภาคกลางใกล้กรุงเทพมหานคร รวมถึงหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและหลายจังหวัดในภาคใต้ คะแนน O-NET ที่สูงในภูมิภาคเหล่านี้ เป็นผลจากปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวย ซึ่งในทางตรงกันข้าม อาจส่งผลเสียต่อหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดทำให้ขาดความตระหนักถึงความพยายามในการพัฒนาคุณภาพด้านการศึกษาได้ ส่วนสาเหตุของคะแนน O-NET ที่ต่ำในภูมิภาคเหล่านี้ มาจากการที่จังหวัดให้ความสำคัญกับแรงงานราคาถูกไร้ฝีมือ และสัดส่วนแรงงานภาคการผลิตสูง (เกิน 10%) อาจส่งผลให้คะแนน O-NET ต่ำลง ดังนั้น ในจังหวัดที่มีสัดส่วนแรงงานภาคการผลิตสูง การพัฒนาโครงสร้างอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับโครงสร้างที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมในจังหวัดนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยดำเนินการผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ ที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษาในจังหวัด (โครงการริเริ่มที่มุ่งเน้นการสร้างทุนมนุษย์) นอกจากนี้ จังหวัดที่มีแรงงานอพยพจำนวนมาก (ซึ่งตัวแปรนี้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับสัดส่วนแรงงานภาคการผลิต) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำของเด็กต่างชาติที่มีความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับระบบการศึกษาของไทย ล้วนส่งผลกระทบต่อคะแนน O-NET ของจังหวัด ดังนั้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการศึกษาที่เพียงพอสำหรับเด็กๆ ผู้อพยพก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน

บทสรุปจากผลการศึกษาของนักวิชาการญี่ปุ่นท่านนี้ ได้แสดงให้เห็นความสำคัญของการยกระดับคุณภาพการศึกษาในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระบบมัธยมปลายที่เชื่อมต่อไปยังระบบอุดมศึกษา ว่าจะต้องขยายมุมมองจากที่เน้นแค่ทรัพยากรทางการศึกษา ให้ครอบคลุมปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่นๆในระดับจังหวัด ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนนและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การลดหนี้ครัวเรือน การใช้เวลาในการเรียนรู้และความเข้าใจของนักเรียน รวมทั้งนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ (จังหวัด) ที่ต้องมีโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่เน้นแรงงานราคาถูก เน้นการใช้แรงงานที่มีทักษะ และการพัฒนาการศึกษาของบุตรของแรงงานต่างชาติด้วย ผลการวิจัยนี้ ทำให้เห็นถึงแนวทางพัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ต้องใช้แนวทาง/มาตรการที่ครอบคลุมปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่นๆ นอกเหนือจากการเพิ่มทรัพยากรการศึกษาผ่านกระทรวงศึกษาธิการ แต่ยังเกี่ยวข้องกับ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงคมนาคม มาทำงานร่วมกันในการกำหนดนโยบาย/มาตรการให้ครอบคลุมปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย

ดารารัตน์ อานันทนะสุวงศ์

สำนักวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...