“พระเจ้าตาก” ทรงไต่เต้าจาก “ลูกจีนพ่อค้าเกวียน” เป็น “เจ้าเมืองตาก” อย่างไร?
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเป็น “เจ้าเมืองตาก” ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 แต่ในเมื่อพระชาติกำเนิดคือ “ลูกจีน” และมีอาชีพเป็นพ่อค้ามาก่อน พระองค์ทรงเข้าสู่ระบบราชการสยามจนเป็นเจ้าเมืองได้อย่างไร?
อ่านเพิ่มเติม “‘พ่อค้าเกวียน’ อาชีพเก่าที่ถูกลืมเลือนของ ‘พระเจ้าตากสิน’” ?(คลิก)
นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายใน “การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี”(มติชน : 2550) ว่า การค้าขายของ “นายสิน”คงให้ผลกำไรงามจนสร้างโอกาสในการดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองในเวลาต่อมา และการดำรงตำแหน่งระดับนั้นก็คงเพิ่มผลประโยชน์ด้านการค้าให้พระองค์ด้วย จึงมีพระราชประสงค์จะเป็นเจ้าเมือง
อนึ่ง “การรับราชการของพระเจ้ากรุงธนบุรีในฐานะพระยาตากนั้นยากจะปฏิเสธได้ เพราะมีหลักฐานที่เขียนร่วมสมัยหรือเขียนโดยคนร่วมสมัยบ่งบอกไว้มาก ตราตั้งเจ้าพระยานครฯ (พัด) ใน พ.ศ. 2327 ก็เอ่ยถึงพระองค์ว่า ‘พระยาตากสิน’ ดูจะไม่มีเหตุผลหากพระองค์ไม่เคยดำรงตำแหน่งพระยาตากที่จะเรียกพระองค์เช่นนั้น
แม้แต่คำให้การของเชลยอยุธยาแก่พม่าก็มีเอ่ยถึงพระองค์ในนามพระยาตากสิน เอกสารของจีนในรัชสมัยของพระองค์ก็มีการอ้างคำให้การของคนจากเมืองไทยคนหนึ่ง ซึ่งเรียกพระองค์ว่า ‘พระยาตาก’”อ. นิธิกล่าว
คำถามคือ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงไต่เต้าจาก “พ่อค้าเกวียน” สู่การเป็น “เจ้าเมือง” อย่างไร?
สำหรับเส้นทางที่ลูกจีนผู้ประกอบอาชีพพ่อค้าเกวียนคนหนึ่ง จะเข้ารับราชการในสยามได้นั้น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับปลีกเล่าว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีทรง “วิ่งเต้น” เพื่อจะเป็นเจ้าเมืองครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์ แม้พงศาวดารฉบับนี้จะมีลักษณะเชิง “ใส่ร้าย” พระองค์ก็ตาม แต่ก็มีความน่าสนใจพอที่จะยกมาพิจารณาเป็นเบื้องต้นได้ ดังความว่า
“ครั้นอยู่มาจีนผู้นั้นเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ช่วยกรมการชำระถ้วยความของราษฎรอยูเนือง ๆ เจ้าเมืองตากนั้นป่วยลงก็ถึงแก่ความตาย จีนมีชื่อผู้นั้นก็ตัดผมเป็นไทย ลงมา ณ กรุงศรีอยุธยาจะเดินเป็นเจ้าเมือง จึงเข้ามาหานายสดเป็นคนรักกันกับชายมีชื่อผู้นั้น นายสดก็พาชายผู้นั้นไปหาหลวงนายชาญภูเบส นายเวนมหาดเล็กของขุนหลวงหาวัด หลวงนายชาญภูเบสก็ไปหาพระยาจักรีว่าชายมีชื่อจะเดินเป็นตัวเมืองตาก จะกราบเท้าเจ้าคุณให้ช่วยด้วย
พอมีหนังสือลงมาวางเวนว่าเจ้าเมืองตากนั้นถึงอนิจกรรมเสียแล้ว พระยาจักรีนำบอกขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า เจ้าเมืองตากถึงแก่กรรมเสียแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริว่าเมืองตากเล่าก็เป็นเมืองหน้าศึกอยู่ ให้พระยาจักรีหาคนที่มีสติปัญญาพอจะเป็นได้…
พระยาจักรีก็นำเอาชายมีชื่อผู้นั้นเข้าเฝ้าถวายบังคม ทรงพระกรุณาโปรดให้เป็นพระยาตาก…”
เรื่องเล่านี้สอดคล้องกับเรื่องที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4ทรงเล่าแก่หมอสมิธ (แซมมวล จอห์น สมิท) แพทย์ชาวอังกฤษ คือ “นายสิน” มีพื้นเพเป็นคนบ้านตาก มิได้เป็นมหาดเล็กอยู่ในอยุธยา แล้วถูกส่งขึ้นไปรับราชการที่เมืองตากอย่างที่หลักฐานบางชิ้นบอก แต่เรื่องของรัชกาลที่ 4 แตกต่างออกไปเล็กน้อย เพราะพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเป็นปลัดเมืองก่อน แล้วจึงเลื่อนขึ้นเป็นพระยาตาก
อ. นิธิเชื่อว่า หากพระเจ้ากรุงธนบุรีเคยประกอบอาชีพพ่อค้าเกวียนอยู่ก่อนแล้ว การเข้ารับราชการด้วยวิธีดังกล่าวไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดอะไร เพราะในเมื่อไม่ได้ทรงสังกัดอยู่ในกลุ่มผู้ดีที่ส่งบุตรหลานให้เป็นมหาดเล็กของเจ้านายในวัง โอกาสที่จะได้รับแต่งตั้งให้ออกไปครองเมืองไม่อาจเกิดขึ้นได้ หนทางเดียวที่พระองค์จะเข้าสู่ราชการได้ก็คือการใช้ทรัพย์สินเป็น “ใบเบิก”
การ “วิ่งเต้น” เป็นเจ้าเมืองของพระองค์จึงต้องผ่านเส้นสายเป็นขั้นตอนไปถึงบุคคลที่ช่วยเหลือได้ ซึ่งก็คือ “พระยาจักรี” ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้กำกับดูแลหัวเมืองทางเหนือทั้งหมด
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในต้นรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์ ก่อนศึกอลองพญาและหลังการกบฏของขุนนางที่จะยกขุนหลวงหาวัด (กรมหมื่นเทพพิพิธ) ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระยาจักรีคนเดียวกัน (ไม่ใช่รัชกาลที่ 1) ยังติดสินบนพระเจ้าเอกทัศน์เพื่อไม่ให้ปลดตนออกจากราชการเหมือนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนอื่น ๆ และได้ว่าที่สมุหนายกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจหากขุนนางใหญ่ท่านนี้จะรับสินบนเพื่อแต่งตั้งเจ้าเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองตาก
อ. นิธิให้ทัศนะว่า “แม้กรณีที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่เป็นพระเกียรติยศแก่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช และอาจจะเขียนขึ้นเพียงเพื่อประฌามพระองค์โดยศัตรูทางการเมืองก็ตาม แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าพระองค์เป็นคนนอกของวงราชการมาก่อน ไม่ว่าจะสามารถเข้าสู่วงราชการได้ด้วยความสามารถส่วนพระองค์หรือด้วยสินบน และหากแม้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่ผิดประหลาดอันใดสำหรับยุคสมัยของพระองค์”
นอกจากนี้ การติดสินบนเพื่อเป็นเจ้าเมืองในกรณีนี้ทำได้สะดวก เพราะสถานะของเมืองตากในขณะนั้นค่อนข้างกำกวม คือไม่สำคัญในระบบราชการและเป็น “รัฐชายขอบ” ของกรุงศรีอยุธยา เพิ่งจะมาคึกคักหลังพื้นที่แถบเมืองตาก-ระแหง เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้ากองคาราวานซึ่งต่อเนื่องขึ้นไปถึงยูนนานในจีนเท่านั้น
ลูกจีนพ่อค้าเกวียนอย่างพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงสามารถขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้สำเร็จ และได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาด้วยราชทินนามอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง “พระยาวิเศษสงคราม” หรือ “พระยาวิชิตชลธี” นั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม :
- “สายสกุลที่สืบมาจากพระเจ้าตากสินมหาราช” มีสกุลใดบ้าง?
- สืบหาพระญาติวงศ์สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชผู้ “ไร้ญาติขาดมิตร” ?
- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นผู้ดีกรุงเก่า ลูกเจ้า-โอรสลับ หรือลูกจีนกันแน่?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2550). การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : มติชน.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 ธันวาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “พระเจ้าตาก” ทรงไต่เต้าจาก “ลูกจีนพ่อค้าเกวียน” เป็น “เจ้าเมืองตาก” อย่างไร?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com