เกี๊ยง เกียรติศักดิ์: คุณภาพชีวิตที่ดีเกิดจากสมดุลของสิ่งปลูกสร้างกับพื้นที่สาธารณะ
a day BULLETIN
อัพเดต 03 ก.พ. 2563 เวลา 11.10 น. • เผยแพร่ 03 ก.พ. 2563 เวลา 07.55 น. • a day BULLETINเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า เราอยากได้เมืองแบบไหน?
เมื่อเมืองเจริญขึ้น สิ่งก่อสร้างในรูปแบบตึกทันสมัยสูงใหญ่ผุดขึ้นมาแทบทุกส่วนของเมือง ถนนขยายแผ่ออก เพื่อให้รถยนต์วิ่งได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผู้อยู่อาศัยในเมืองใหญ่กลับต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆ และเมื่อก้าวออกมาบนถนนก็ไม่มี ‘พื้นที่’ ที่จะสามารถให้ใช้ชีวิตอย่าง ‘สาธารณะ’ ได้มากเพียงพอ
อะไรคือ ‘พื้นที่สาธารณะ’ กันแน่?
เมื่อเมืองไร้พื้นที่สาธารณะ ชีวิตชีวาและความน่าอยู่ของเมืองย่อมหายไป เพราะขาดพื้นที่ที่ผู้คนจะได้ออกมามีปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งยังริบคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
สำหรับกรุงเทพฯ มีผลสำรวจบ่งชี้ว่าเมืองหลวงของเรามีพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะ ‘พื้นที่สีเขียว’ น้อยมากอย่างน่าใจหาย นั่นย่อมส่งผลกระทบต่อ ‘สมดุล’ ที่ดีในการใช้ชีวิตของคนเมืองแน่ๆ
ด้วยเหตุนี้ adB จึงชวนคุณมา ‘มองเมือง’ ด้วยสายตาของสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบบ้านอย่าง ‘เกี๊ยง’ - เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ หรือที่กลุ่มคนฟังเพลงรู้จักเขาในนาม เกี๊ยง วงเฉลียง และเป็นผู้ที่สนใจประเด็นเรื่องพื้นที่สาธารณะกับพื้นที่สีเขียวในเมือง ถึงขั้นเป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงาน ‘วิ่งสร้างเมือง’ ขึ้นมา
“ความสมดุลเกี่ยวข้องกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ เหมือนเป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วย คือการเดินสายกลาง ถ้าเราไม่มากไป ไม่น้อยไป ทุกอย่างก็จะดี สุดโต่งไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี”
บทสนทนานี้เกิดขึ้นที่บริษัทสถาปนิก 49 (A49) อันแสนร่มรื่น เขาชี้ให้เราเห็นถึงความสำคัญของการสร้างสมดุลที่ดีระหว่างพื้นที่สาธารณะและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตคนเมือง ทั้งในแง่ความมีชีวิตชีวา ความยั่งยืน และสุขภาวะที่ดี ดังนั้น การสร้างจิตสำนึก ให้ความรู้ประชาชนถึงความสำคัญของพื้นที่สาธารณะเหล่านี้ในมิติที่มากกว่าแค่ห้างสรรพสินค้า
นั่นคือกุญแจสำคัญในกระบวนการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมที่โครงสร้างภาครัฐต้องใส่ใจมากขึ้น เพื่อไปสู่ความฝันที่เราจะมีเมืองดีๆ สำหรับอยู่อาศัย ทั้งในวันนี้ และวันข้างหน้า
เพราะเราก็คือเมือง และเมืองก็คือเรา
“พอเมืองมีสมดุลที่ดีระหว่างสิ่งก่อสร้างกับพื้นที่สาธารณะ คุณภาพชีวิตที่ดีก็จะเกิด”
เรื่องพื้นที่สาธารณะถือว่ามีความสำคัญอย่างไรในสังคมเมืองปัจจุบัน
เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถือเป็นเรื่องความสมดุลของการใช้ชีวิต ยกตัวอย่าง สถานที่หนึ่งมีพื้นที่เปิดโล่งกับสิ่งก่อสร้างอยู่ ถ้าสองสิ่งนี้สมดุลกัน ทุกคนจะมีความสุข คุณสังเกตไหม เวลาเราไปอยู่ที่ที่ตึกน้อยๆ มีธรรมชาติเยอะๆ เราจะรู้สึกสบาย แต่เราคิดว่าตอนนี้กรุงเทพฯ ไม่มีความสมดุลแล้ว แต่ต่างจังหวัดอาจจะมีบางที่ที่มีความสมดุลอยู่
ถือเป็นเรื่องปกติของสังคมเมืองหรือเปล่า ที่พอมีความเจริญเพิ่มขึ้น มีการก่อสร้างตึก อาคาร พื้นที่สาธารณะก็หายไป
เราว่าอยู่ที่การวางแผนด้วย ถ้าระดับนโยบายของประเทศมีการวางแผนที่ดี มันสามารถควบคุมได้ แต่เราอาจจะช้าไปหรือเปล่า ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นที่สาธารณะ แต่กับหลายๆ เรื่อง เราว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยตอนนี้มันเกิดจากการวางแผนทั้งหมด ทำไมเราไม่มีที่สาธารณะสวยๆ อย่างริมน้ำที่คนเดินได้ เหมือนเมืองอื่นที่ริมน้ำเป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนสามารถเดินสัมผัสบรรยากาศได้ ไม่ใช่เป็นตึกที่อยู่ริมน้ำ แต่พื้นที่ริมน้ำของบ้านเรากลับกลายเป็นของเอกชนที่จับจองไว้แล้ว
พื้นที่สาธารณะต้องเป็นพื้นที่ที่ทุกคนใช้ได้ แล้วก็ควรจะเป็นที่โล่ง ที่สำคัญคือควรจะเป็นที่มีความร่มรื่น ทุกคนเข้าไปใช้แล้วได้ประโยชน์ และมีความสุข
ปกติคุณมีโอกาสใช้พื้นที่สาธารณะบ่อยไหม
เราใช้เป็นประจำ ช่วงเย็นหลังเลิกงาน เราจะไปวิ่งที่สวนข้างเอ็มโพเรียมเพราะใกล้ออฟฟิศ เราว่าพื้นที่สาธารณะที่เป็นสวนแบบนี้ควรจะมีกระจายอยู่เยอะๆ เอาเป็นว่าเราอยู่ตรงส่วนไหนของเมือง ก็สามารถเดินไปหาสวนสาธารณะได้แบบนั้นเลย เช่น จากออฟฟิศเดินไปหาสวนได้ แต่กรุงเทพฯ เท่าที่ทราบคือน้อยมาก คือมีอยู่ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจะให้ดีต้อง 20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
หลายปีที่ผ่านมาคุณสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างในแง่พื้นที่สาธารณะของกรุงเทพฯ
หน่วยงานรัฐยังไม่เท่าไหร่ แต่ของเอกชนเราว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น มีสัญญาณที่ดีขึ้น ยกตัวอย่าง เราชอบโครงการประเภทอยู่ริมน้ำแล้วเปิดเป็นพื้นที่โล่งๆ มีพื้นที่ส่วนกลางให้คนได้เดินสัมผัสริมน้ำเยอะๆ อย่างล้ง 1919 หรือแม้กระทั่งโครงการที่คอมเมอร์เชียลมากๆ อย่างไอคอนสยาม เราว่าก็มีส่วนดีอย่างการมีลานใหญ่ๆ อยู่ริมน้ำ ถึงแม้จะเป็น hard scape เสียส่วนใหญ่ คือไม่ค่อยมีต้นไม้ หรืออย่างเอเชียทีค เราว่าโครงการแบบนี้เราชอบ เพราะมันเปิดโอกาสให้คนเข้าไปสัมผัสบรรยากาศริมพื้นที่ที่มันควรจะเป็น และเป็นพื้นที่ที่คนทุกคนควรได้ไปอยู่ใกล้บ่อยๆ
พื้นที่แบบล้ง 1919 ถือว่าเป็นหน้าตาพื้นที่สาธารณะของคนยุคใหม่หรือเปล่า อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ เช่น พื้นที่เก่าที่ถูกรีโนเวตเพื่อประโยชน์บางอย่าง
เราว่าล้ง 1919 ก็เป็นส่วนที่ดี แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นคือควรเป็นที่สาธารณะจริงๆ ไม่มีคอมเมอร์เชียลมาเกี่ยวข้อง อย่างเช่น เป็นสวนริมน้ำ อย่างตรงตีนสะพานพระราม 7 เคยไปนั่ง มันมีสเตป มีอะไรอยู่ริมน้ำ เคยไปนั่งเล่นแล้วรู้สึกแฮปปี้มาก มีความชิล มีความรู้สึกสบายมาก แต่ถามว่ามีคอมเมอร์เชียลแล้วเป็นแบบล้ง 1919 ดีไหม ดี ดีกว่าไม่มี อย่างน้อยช่วยเพิ่มพื้นที่โล่งที่คนได้ใช้ประโยชน์ แต่ก่อนล้ง 1919 อาจจะทิ้งเป็นที่รกร้าง ไม่มีใครใช้ประโยชน์ได้ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนา เริ่มมีคนเข้าไปใช้ประโยชน์ แถมยังเป็นพื้นที่ที่มี open space เยอะ ไม่ใช่ตึกสูงๆ หรือตึกแน่นๆ ใช้พื้นที่ดินไปหมด แล้วไม่เหลือพื้นที่เปิดโล่งเลย
ทำไมคนไทยถึงไม่ค่อยตระหนักเรื่องพื้นที่สาธารณะ เพราะหากพูดถึงพื้นที่สาธารณะ เราก็มักนึกถึงห้างสรรพสินค้า
เราไม่แน่ใจว่าคนไทยมีความรู้แค่ไหนเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่สาธารณะ แต่อย่างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่มีลานใหญ่ๆ เราก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะการออกแบบตึกสักตึกหนึ่ง และเปิดเป็นส่วนโล่งๆ ให้คนเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งถ้ามีต้นไม้ร่มรื่นยิ่งดีใหญ่ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ต้องกลับไปเรื่องการวางแผน การเจริญเติบโตของบ้านเราค่อนข้างเร็ว แต่การวางแผนกลับช้าและไม่ทัน เจอปัญหาแล้วถึงมาหาวิธีแก้ เราว่าถ้ามีการวางแผนตั้งแต่ต้น มีกฎหมายต่างๆ ของการก่อสร้างอาคารที่ละเอียดกว่านี้ และบังคับให้ตึกที่จะสร้างแน่นหนามากๆ มีพื้นที่เปิดโล่งเยอะกว่านี้ เราว่ามันทำได้
มีคำที่ว่า เมืองดี สุขภาวะคนก็ดี ถ้าเมืองป่วย คนก็ป่วย คุณเห็นด้วยไหม
เราว่าถูกต้องเลย ยกตัวอย่างเรื่องปัญหาฝุ่น PM 2.5 เราว่ามันเกิดจากเรื่องความสมดุลระหว่างสิ่งที่เป็นธรรมชาติกับสิ่งก่อสร้างที่เราบอกเลยนะ เรามีความเชื่อเสมอว่าถ้ากรุงเทพฯ มี open space เยอะกว่านี้ มีต้นไม้เยอะกว่านี้ หรือต้นไม้ไม่ถูกตัดบ่อยขนาดนี้ และปล่อยให้มันเติบใหญ่ ฝุ่นอาจจะน้อยกว่านี้ เพราะเรามีความเชื่อว่าต้นไม้เป็นธรรมชาติที่ช่วยกรองฝุ่นได้
อย่างในซอยออฟฟิศเรา มีช่วงหนึ่งที่ต้นไม้ด้านหน้าตึกมันโตแล้วสวยมาก แต่อยู่ดีๆ เขาก็มาตัด แล้วบอกว่ามันมีปัญหากับสายไฟ คือตรงไหนต้นไม้เริ่มโตเริ่มสวย โดนตัดทุกที่เลย ลองดูประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างสิงคโปร์ เขาปล่อยต้นไม้ให้เติบใหญ่เยอะมาก หรือเราเพิ่งไปนครวัดที่เขมร ต้นไม้เขาสูงใหญ่มาก พอกลับมาดูบ้านเรามีน้อยมาก เราจะเห็นว่าถนนที่มีต้นไม้สวยๆ เหลืออยู่น้อยมาก คือประเด็นสายไฟกับต้นไม้ ถ้าเราเก็บสายไฟลงใต้ดินได้ ปัญหาเรื่องการตัดต้นไม้จะหมดไปเลย ทัศนียภาพเราจะสวยขึ้นเยอะ สังเกตหลายๆ เมือง ถ้าสายไฟลงใต้ดินบ้านเมืองจะสะอาดตามาก
คุณเดินทางไปหลายแห่ง มีพื้นที่สาธารณะต่างประเทศที่คุณชื่นชอบมากๆ ไหม
เราชอบที่ปราก สาธารณรัฐเช็ก สองฝั่งริมแม่น้ำเขาสวยมาก แม้กระทั่งตัวสะพานชาร์ลส์ก็สวย พื้นที่ริมแม่น้ำเขาเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนเดินได้ตลอดระยะทางที่ทอดยาวเป็นสิบๆ กิโลเมตร ตัวอาคารจะถูกเซตเข้าไปลึกมากเพื่อเว้นพื้นที่ริมแม่น้ำไว้ จะไม่มีอาคารที่เป็นของเอกชนอยู่ริมน้ำเลย ทำให้ได้เห็นอะไรที่กว้างๆ เห็นมุมมองที่กว้างๆ ดูแล้วสบายตา ไม่ต้องมีตึกอะไรมาบัง บรรยากาศก็ดี คือมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาจะเปิดเป็นถนนคนเดิน ไม่มีรถ มีศิลปินมานั่งวาดรูป มีคนเดินเล่น เอ็นจอยกันริมสะพาน ข้ามไปข้ามมาบนสะพานใหญ่ สองข้างริมแม่น้ำก็สวยงาม เป็นความรู้สึกที่ดีมาก
การได้ไปเห็นพื้นที่เหล่านั้นที่ต่างประเทศ ทำให้คุณรู้สึกนึกเปรียบเทียบกับบ้านเราในแง่ไหนบ้าง
บ้านเราพื้นที่สาธารณะที่เป็นสวนใหญ่ๆ ควรจะต้องเกิดขึ้นอีกเยอะมาก แต่ปัญหาคือจะเอาพื้นที่จากตรงไหนมาทำสวนได้ เรามีความคิดว่า พวกหน่วยงานหรือศูนย์ราชการ ถ้าสามารถย้ายไปนอกเมืองหน่อย และเอาพื้นที่มาทำเป็นสวนสาธารณะให้คนเมืองได้จะดีมาก เพราะพื้นที่หน่วยงานราชการหลายๆ ที่มีขนาดใหญ่มาก แล้วการที่จะไปไล่เวนที่คืนจากประชาชนคงสร้างความเดือดร้อนให้เขาค่อนข้างมาก เราเชื่อว่ายุคปัจจุบันคนโหยหาสวนสาธารณะเยอะ เพราะเท่าที่สัมผัสมา คนชอบออกกำลังกายกันมากขึ้น อย่างสวนที่เราไปวิ่ง เราวิ่งมาเป็นสิบปี แต่ก่อนคนโล่งมาก แต่เดี๋ยวนี้คนเยอะมาก เพราะฉะนั้น คนโหยหาเรื่องนี้กันมาก ดังนั้น ถ้ามีสวนสวยๆ เราเชื่อว่าประชาชนจะแฮปปี้มาก
นอกจากเรื่องการวางผังเมืองที่เราไม่ได้วางมาตั้งแต่ต้น ยังมีสาเหตุอื่นอีกไหมที่ทำไมบ้านเราไม่สามารถมีพื้นที่สาธารณะได้เหมือนหรือมากเท่าประเทศอื่น
เพราะเรายังไม่ปลูกฝังคนและให้การศึกษา ให้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่สาธารณะมากพอ โดยเริ่มจากการมีจิตสำนึกที่ดี หรือปลูกฝังให้คนตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรต่างๆ ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า ปลูกจิตสำนึกให้คนพยายามใช้ขนส่งสาธารณะ ถ้าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้มันจะช่วยหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องอากาศ ทั้งประหยัดพลังงาน แต่กฎหมายอาจจะต้องแรงด้วย อย่างญี่ปุ่นก็มีเรื่องค่าจอดรถในเมืองที่โหดมาก แต่ตอนนี้กฎหมายบ้านเราเอื้อให้เราใช้รถส่วนตัวเป็นหลัก ขนาดไปจอดห้างยังฟรีเลย
ในมุมมองของคุณ พื้นที่สาธารณะที่ดีมีคุณค่าหรือตอบโจทย์ในมิติไหนของชีวิตประชาชนได้บ้าง
ก็กลับมาตรงที่เรื่องความสมดุลของเมือง พอเมืองมีสมดุลที่ดีระหว่างสิ่งก่อสร้างกับพื้นที่สาธารณะ คุณภาพชีวิตที่ดีก็จะเกิด เราเข้าใจว่าเมืองที่เป็นเมืองหลวงก็ต้องมีสิ่งก่อสร้างค่อนข้างมาก แต่อย่าลืมว่าการที่เราสร้างอะไรขึ้นมาสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องหายไป การสร้างตึกขึ้นมาหนึ่งตึก พื้นที่โล่งก็จะหายไปหนึ่งแห่ง รวมถึงธรรมชาติหลายส่วน ไม้เอย หินเอย ฉะนั้น เมืองที่มีพื้นที่สาธารณะเยอะย่อมมีความสุขอยู่แล้ว อากาศก็จะดี สุดท้ายความเชื่อของเราคือถ้าเมืองมีพื้นที่สาธารณะที่เป็นพื้นที่สีเขียวเยอะขึ้น มันจะช่วยปรับสมดุลของธรรมชาติในเมือง อุณหภูมิ อากาศ การช่วยทำให้ฝนตกตามฤดูกาล ทุกอย่างจะกลับมาสมดุลหมด สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทุกคน
การมีพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวเพียงอย่างเดียว จะช่วยเรื่องปัญหาเหล่านี้ของเมืองได้จริงเหรอ
เราได้ยินมาอย่างประเทศจีน บางเมืองเขามีปัญหาเรื่องฝุ่นทรายที่พัดเข้ามากระทบ เขาก็ใช้วิธีปลูกต้นไม้เรียงเป็นแถวประมาณเกือบสิบชั้น ช่วยลดปริมาณฝุ่นที่เข้ามาเหลือแค่ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ เราว่าธรรมชาติอย่างไรก็ดีอยู่แล้ว สมัยก่อนตอนเราเด็กๆ นั่งรถไม่ต้องเปิดแอร์ เปิดหน้าต่างอากาศก็สบาย ธรรมชาติมันดี เพราะสมดุลมันดีไง แต่พอเมื่อไหร่มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สมดุลเสีย
พอพูดถึงพื้นที่สาธารณะ คุณจะโยงไปถึงพื้นที่สีเขียวบ่อยมาก คุณเชื่อในเรื่องนี้มากขนาดไหน
เราเชื่อในเรื่องนี้มาก เราเชื่อว่าที่ตรงไหนมีธรรมชาติ มีต้นไม้เยอะๆ จะทำให้เราอยู่สบาย แม้กระทั่งจุดเล็กๆ ยกตัวอย่างการออกแบบบ้านหลังหนึ่ง ตอนเริ่มออกแบบก็ต้องไปดูขนาด ดูที่ดิน ถ้าเห็นว่ามีต้นไม้เก่าใหญ่ๆ เราจะโน้มน้าวลูกค้าสุดตัวเลยว่าให้เก็บ อย่าตัด เดี๋ยวเราจะพยายามออกแบบหลบให้ (หัวเราะ) คือคุณสร้างตึก ใช้เวลาสองสามปีก็สร้างเสร็จ แต่ต้นไม้มันสร้างตัวเองประมาณ 40-50 ปีนะ ไปตัดมันเท่ากับคุณสูญเสียอะไรอีกเยอะเลย ลูกค้าบางคนก็เชื่อและเก็บไว้ ซึ่งเราว่ามันสวยมาก นอกจากเพิ่มพื้นที่ให้เกิดความสวยงาม ได้ความร่มรื่น ก็ยังเพิ่มคุณค่าให้บ้านของเขาด้วย เพราะมันเป็นเหมือนประวัติศาสตร์ในการที่จะเล่าให้ลูกหลานฟังได้ว่า บ้านนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เราว่านักเรียนสถาปัตย์ทุกคนถูกปลูกฝังตั้งแต่เรียนให้รักพื้นที่สีเขียว ตอนเรียนเราอาจจะไม่อินเท่าไหร่ แต่พอจบมาแล้วมันโคตรอินเลย คือบ้านหลายหลังพอเขาเชื่อเราแล้วเก็บต้นไม้ไว้ สิ่งที่ออกมาตอนบ้านสร้างเสร็จคือความแฮปปี้มากๆ
ในฐานะสถาปนิก เรื่องการส่งเสริมพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียวของภาครัฐ มันสะท้อนอะไรต่อคุณบ้าง
มันไม่ทันใจ แต่ว่าก็เข้าใจ เพราะว่านิสัยคนไทยไม่เหมือนชาวบ้าน เวลาภาครัฐอยากทำอะไรที่ต้องการเด็ดขาด กฎหมายก็ต้องรุนแรง คนไทยก็จะด่า รับไม่ไหว อย่างเรื่องฝุ่น ถ้าเขาประกาศห้ามใช้รถยนต์วันคู่วันคี่ จะรับกันได้ไหม เราเชื่อว่ารัฐก็จะโดนด่าเหมือนกันว่าแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คนไทยเราเคยตัวที่จะปฏิบัติตัวแบบสบายๆ ถ้าเจอกฎหมายอะไรแรงๆ จะรับไม่ได้
อย่างเรื่องขายของบนทางเท้าที่ถือเป็นพื้นที่สาธารณะ เราดีใจมากที่ทางเท้าของบางย่านถูกเคลียร์ไป เพราะแต่ก่อนเดินไม่ได้เลย แน่นไปหมด แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนบอก ทำไมไม่มองในแง่ชาวบ้านบ้าง ไปไล่ที่เขา เขาค้าขายไม่ได้ แต่เราอยากให้มองภาพรวมของเมืองมากกว่า มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูสบายตา สวยงาม และดีขึ้น ประชาชนคนที่ไม่ได้ซื้อของก็ใช้เส้นทางเดินเท้าได้อย่างดี
พูดถึงเรื่องทางเท้าก็ถือเป็นพื้นที่สาธารณะที่สำคัญและส่งผลต่อความสวยงามของเมือง รวมถึงคุณภาพชีวิตของคนเมืองมากเหมือนกัน
ถูกต้อง ยิ่งถ้าเราพัฒนาดีๆ มีทางเท้ากว้างๆ มีต้นไม้สวยๆ ยิ่งดี หลายเมืองในต่างประเทศเป็นแบบนั้นนะ คือเหลือถนนไม่ใหญ่มาก แต่ตรงทางเท้าใหญ่มาก มีทั้งเลนจักรยาน เลนคนพิการ มีต้นไม้สวยงาม การก่อสร้างของทางเท้าที่ต่างประเทศเขาลงทุนดีมาก ไม่เหมือนบ้านเราที่ไม่มีการทำ footing หรือฐานรากที่ดี เราทำกันง่ายๆ แค่บดอัดทรายแล้วก็ปูตัวแผ่นบล็อกปูนเฉยๆ ซึ่งสักวันหนึ่งพื้นที่แบบนี้จะทรุด เพราะการทำพื้นที่ที่ดีก็ต้องมีการตอกเข็มให้โครงสร้างมันถาวร ถ้าทำดีพื้นที่จะแน่นมาก ไม่มีการทรุดตัว ถนนหนทางเมืองนอกเขาจะเป็นแบบนั้น เพราะเขาทำถนนไปพร้อมกับงานสาธารณูปโภค
เราเคยสังเกตมีบางที่เขาทำเป็นอุโมงค์ใหญ่ข้างใต้ รถสามารถลงไปได้ด้วย แล้วซ่อนระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อยู่ข้างใต้ มีการตอกเข็มเหมือนตึกเลย เพราะฉะนั้น จะไม่มีการทรุดตัวใดๆ ทั้งสิ้น เมืองนอกเขาใช้ระบบแก๊สรวม คือจะไม่มีการส่งถังแก๊สตามบ้าน แต่เป็นการปล่อยท่อแก๊สเหมือนท่อประปาแล้วก็จ่ายเข้าตามบ้าน โครงสร้างจึงต้องแข็งแรงมากๆ เพราะถ้าพื้นทรุดตัวเมื่อไหร่ ท่อแก๊สเกิดหักขึ้นมาจะอันตรายมาก เขาวางแผนอย่างดี แต่ของบ้านเราจะลงทุนเฉพาะตึก ตึกจะมีการตอกเข็มที่ดี แต่พวกถนนหนทางจะไม่มี
ทุกวันนี้เราเห็นความพยายามของภาคเอกชนที่ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อส่งเสริมเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์กับพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวในเมือง คุณว่ามันเพียงพอหรือยัง
ถือเป็นเรื่องดีที่มีภาคเอกชนหรือประชาชนมาสนับสนุนเรื่องนี้เยอะ ส่วนในแง่ของสถาปนิกเอง เราว่าในจิตสำนึกของการพยายามส่งเสริมประเด็นพื้นที่สาธารณะถือว่ามีอยู่แล้ว เพียงแต่สถาปนิกจะมีเงื่อนไขตรงที่ว่า เราทำงานโดยมีเจ้าของมาจ้างงานเรา เพราะฉะนั้น ก็จะเป็นความยากอย่างหนึ่งว่าเราสามารถโน้มน้าวจิตใจลูกค้าให้ทำตามอย่างที่เราต้องการได้หรือเปล่า แต่ถามว่าสถาปนิกทุกคนอยากให้เป็นอย่างนั้นไหม แน่นอนว่าอยาก อย่างเช่นเรื่องการเก็บต้นไม้ไว้กับพื้นที่เดิมเพื่อคงพื้นที่สีเขียวไว้
คุณมีลูกหนึ่งคน คุณกังวลไหมกับการที่ลูกต้องเติบโตมาในเมืองที่พื้นที่สาธารณะก็น้อย แถมเต็มไปด้วยปัญหาบนท้องถนน
แน่นอน คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องมีความกังวลอยู่แล้ว แต่ก็ต้องพยายามดูแลเขาให้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันเราก็รู้ปัญหานะ ว่าถ้าเราประคบประหงมเขามาก สักวันหนึ่งเขาจะสู้กับสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาไม่ได้ และกลายเป็นคนอ่อนแอ เพราะฉะนั้น มันก็ต้องทำให้สมดุลอยู่ดี บางอย่างเราก็ต้องปล่อยให้เขาลองเรียนรู้บ้าง ถึงแม้เราจะมีความกังวลว่าเขาอาจจะไปเจออะไรที่ลำบากก็ต้องยอม เพื่อให้เขาเรียนรู้ ศึกษา แก้ปัญหาด้วยตัวเอง เขาถึงจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
คุณพูดถึงคำว่าสมดุลแทบในทุกมิติ คำคำนี้สำคัญอย่างไรในชีวิตคุณ
เราว่าความสมดุลเกี่ยวข้องกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ เหมือนเป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วย คือการเดินทางสายกลาง ถ้าเราไม่มากไป ไม่น้อยไป ทุกอย่างก็จะดี สุดโต่งไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี อย่างเราเองเป็นทั้งสถาปนิกและนักดนตรี เราก็ต้องสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่เราชอบคือดนตรี ให้ไม่มารบกวนกับงานประจำอย่างสถาปนิก เพราะฉะนั้น ช่วงพีกๆ ที่มีงานดนตรีเยอะๆ เราจะตกลงกับทางวงเลยว่าการรับงานต่างๆ ต้องขอเป็นหลังเลิกงาน ไม่กวนเวลางาน หรือไม่ก็เป็นช่วงเสาร์อาทิตย์ การซ้อมก็เป็นตอนเย็นหลังเลิกงาน ถามว่าเหนื่อยขึ้นไหม เหนื่อยมาก (หัวเราะ) แต่ทั้งหมดก็เพื่อที่จะไม่ให้มารบกวนกับสิ่งที่เราตั้งใจจะทำเป็นอาชีพหลักคือสถาปนิก พอมีสมดุล เราก็รู้สึกว่าตัวเองทำงานอาชีพสถาปนิกได้ค่อนข้างที่จะโอเคในสายตาของเรา และในสายตาของลูกค้า
เรายังมีความหวังกับเรื่องพื้นที่สาธารณะที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเราในอนาคตได้ขนาดไหน
เรามีความหวังตลอดเวลา เราว่าทุกคนดำรงอยู่ได้ต้องมีความหวัง เรามีความหวังว่าจะเห็นสวนที่เป็นสเกลสวนลุมพินีเกิดขึ้นอีกเยอะๆ ครั้งหนึ่งเราเคยวางแผนในการวิ่ง เรานั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สวนลุมฯ วิ่งเสร็จก็ทะลุมาสวนบึงยาสูบได้ แล้วก็วิ่งบนถนนสุขุมวิทต่อมาที่สวนเบญจสิริ คือวิ่งได้สามสวนในวันเดียว แฮปปี้มาก บรรยากาศต่างๆ ก็ไม่ซ้ำ เวลาวิ่งได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ ถึงแม้ว่าเราอาจจะเคยเห็นตรงนี้มาแล้ว แต่พอไปวิ่งครั้งใหม่ ด้วยบรรยากาศ ด้วยแสงพระอาทิตย์ที่ไม่เหมือนกัน มันก็ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
เชื่อว่าสักวันภาครัฐคงทำได้ เพราะพอเริ่มมีการพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างอยู่ในจุดพีกมากๆ จนคนอยู่ไม่ได้ ภาครัฐถึงจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง แต่ประเทศไทยอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะการวางแผนบ้านเราช้ามาก การจัดการช้ามาก แล้วมีคนจ้องโจมตีเยอะ ถึงแม้ว่าแผนงานเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็จะมีคนค้านเต็มไปหมด ก็น่าเสียดาย แต่ถามว่ามีความหวังไหม มี อย่างแต่ก่อนไม่เคยคิดเลยว่าบ้านเราจะมีรถไฟฟ้าเยอะขนาดนี้ ซึ่งแรกๆ มีสายเดียวก็ดีใจมากแล้ว ตอนนี้สร้างกันทุกหัวระแหง สักวันหนึ่งคิดว่าเราก็คงได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เต็มที่
ในฐานะสถาปนิก คุณมีวิธีสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในการตระหนักถึงพื้นที่สาธารณะได้อย่างไร
เราพูดในฐานะที่เป็นคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทุกครั้งที่มีโอกาสได้พูด ได้อภิปราย เราก็จะพูด แม้กระทั่งคุยตัวต่อตัวกับลูกค้า ยกตัวอย่างจุดง่ายๆ เช่น การเก็บต้นไม้เก่าที่เราพูดไป การพูดแบบนั้นถามว่าลูกค้าเสียผลประโยชน์ไหม บางทีเขาเสียนะ เขามีที่ดินกว้าง แต่มีต้นไม้ขวางอยู่เต็มไปหมด ถ้าเขาตัดไปอาจจะสร้างตึกได้เยอะกว่านี้ แต่ว่าเขากลับเชื่อเราที่บอกให้เก็บไว้ แต่อย่างที่บอก อาชีพสถาปนิกเป็นอาชีพที่เซอร์วิสลูกค้า เขาเป็นคนจ่ายเงินให้เรา เราก็จะมีโอกาสน้อยกว่าชาวบ้าน ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้ ให้ประชาชนเข้าใจ แล้วให้เสียงของประชาชนไปถึงระดับผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เขาใส่ใจในเรื่องนี้มากๆ และลงมือทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา