โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ขุมพลัง AI พลิกเกม ESG ยกระดับความยั่งยืน

Wealthy Thai

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 13 ก.พ. เวลา 05.51 น.

ยุคสมัยที่ความยั่งยืนกลายเป็นเป้าหมายร่วมของโลกใบนี้ ทั้งในแง่ของการดำเนินธุรกิจ การลงทุน ตลอดจนการพัฒนาประเทศในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า “เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” (AI: Artificial Intelligence) ก็กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญมากเช่นกัน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วต่อการเติบโตของโลกทุกวันนี้
แนวคิดการผสาน AI เข้ากับ ESG จึงถูกพูดถึงในวงกว้างยิ่งขึ้น ว่าอาจจะเป็นกุญแจสำคัญช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนในระดับโลก ตั้งแต่การปรับปรุงประสิทธิภาพการวัดผล ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเสริมสร้างธรรมาภิบาล ด้วยการใช้ศักยภาพของ AI และ Big Data ในการวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

ภาพจาก: Boston Consulting Group ข้อมูล ณ วันที่ 07/07/2022

ผลสำรวจของ Boston Consulting Group จากการสัมภาษณ์ผู้บริการองค์กรกว่า 1,000 คน พบว่า 87% เห็นตรงกันว่า AI จะช่วยลดปัญหาสภาพภูมิอากาศได้ ส่วน 67% เชื่อว่า AI จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ โดยแนวทางที่แต่ละบริษัทมองว่าสามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น

  • การให้ AI เป็นผู้ช่วยย่นระยะเวลาในการคิดไอเดียพัฒนากระบวนการสร้างเทคโนโลยีสีเขียว

  • ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลบริหารจัดการสต็อกสินค้าที่แม่นยำในธุรกิจร้านค้าปลีก-ค้าส่ง

  • ใช้ AI ประเมินการใช้ไฟฟ้าเพื่อประหยัดพลังงาน

  • นำความสามารถของ AI มาวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ

(ที่มา: Boston Consulting Groupข้อมูล ณ วันที่ 07/07/2022)

พลังของ Big Data และ Machine Learning สู่การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ที่รวดเร็วและแม่นยำ

ความได้เปรียบของเทคโนโลยี AI คือขุมทรัพย์ทางข้อมูลและการประมวลผลอันทรงพลังของ Big Data ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูล อันซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการดึงข้อมูลเชิงลึกมาใช้แบบแม่นยำ ซึ่งแนวทางการนำ AI มาผนวกกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามตัวอย่างข้างต้น ล้วนแต่ต้องอาศัยความสามารถของฐานข้อมูลขนาดใหญ่ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังช่วยปิด Pain Point ของการวัดผลด้าน ESG จากการนำ Machine Learning มาช่วยเรียนรู้และประมวลผลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อนำมาสู่การตัดสินใจที่ประสิทธิภาพ โดยตัดอคติของตัวบุคคลออกไป
ข้อมูลจากงานเสวนา ESG Summit Europe เปิดเผยว่า Big Data มีความสำคัญต่อ ESG ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้

1. รายงานผล ESG ได้แม่นยำยิ่งขึ้น: Big Data ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการรายงานผลการดำเนินงานด้าน ESG ได้แม่นยำ ผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ พร้อมติดตามความคืบหน้าในช่วงเวลาต่าง ๆ จนไปถึงการนำเสนอรายงานที่โปร่งใสต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
2.การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น: เช่น ปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน ความรับผิดด้านสิ่งแวดล้อม หรือความเสียหายต่อชื่อเสียง ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่มาหลากหลาย ทำให้บริษัทสามารถทำความเข้าใจความเสี่ยงด้าน ESG และพัฒนากลยุทธ์เพื่อรับมือได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น
3.การสร้างมูลค่าในระยะยาว: โดยการนำปัจจัย ESG มาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจ แล้วใช้เครื่องมือวิเคราะห์ Big Data ระบุความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้อง ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ทั้งต่อผลกำไรของบริษัทและสังคม
(ที่มา: ESG Summit Europeข้อมูล ณ วันที่ 06/05/2023)
ทั้งนี้ กระแสความต้องการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ESG กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด คาดการณ์ว่าตลาดบริการข้อมูลด้าน ESG ทั่วโลก จะมีมูลค่าอยู่ที่ 1.93พันล้านดอลาร์สหรัฐ ในปี 2024เติบโตเฉลี่ย 23%ต่อปี ในช่วงปี 2023-2025 ขณะที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยด้านบริการข้อมูล ESG ของบริษัทนอกตลาดจะมีตัวเลขการเติบโตสูงถึง 42% ต่อปี (ที่มา: สถาบันไทยพัฒน์, Infoquestข้อมูล ณ วันที่ 13/06/2024)

กรณีศึกษาการประยุกต์ใช้ AI ติดตามวัดผลด้านสิ่งแวดล้อม

กรณีที่ 1: การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานหมุนเวียน โดย Ørsted บริษัทพลังงานจากประเทศเดนมาร์ก

Ørsted ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้นำอัลกอริทึม AI วิเคราะห์ข้อมูล โดยติดเซ็นเซอร์บนกังหันลมสำหรับเก็บสถิติต่าง ๆ เช่น การสั่นสะเทือนของแรงลม อุณหภูมิ และปัจจัยอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลม ผลลัพธ์คือบริษัทสามารถเพิ่มการผลิตพลังงานได้ 12% ลดระยะเวลาหยุดซ่อมบำรุง 25% และประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 2.5 ล้านดอลลาร์ต่อปี
กรณีที่ 2: การออกแบบสินค้าแฟชั่นให้ยั่งยืน โดย H&M แบรนด์ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าจากประเทศสวีเดน

อุตสาหกรรม Fast Fashion ถูกมองว่าสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ซึ่งทาง H&M ได้นำ AI เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ตลอดจนปรับปรุงการออกแบบ ด้วยการนำฐานข้อมูลมาวิเคราะห์ข้อมูลการขาย ความต้องการของลูกค้า และกระบวนการผลิตที่ประหยัดเนื้อผ้ามากที่สุด ส่งผลให้การผลิตเสื้อผ้าของ H&M ลดการสูญเสียผ้าลงไป 35% สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น 25% และการประหยัดต้นทุน 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ที่มา: Eddie TSUI, CESGA®, medium.comข้อมูล ณ วันที่ 05/07/2024)
เรื่องราวทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าการสร้าง AI Ecosystem ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนารูปแบบด้านต่าง ๆ รวมถึงการเติบโต ที่ยั่งยืนตามแนวทาง ESG ไม่เว้นแม้แต่มิติด้านการลงทุนที่ปัจจุบัน AI มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นธีมการลงทุนอย่าง Robotics & AI ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว ทั้งนี้ บลจ. ยูโอบี ได้นำเสนอกองทุน Thematic ETF ดังกล่าว คือ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โรโบติกส์ & อาร์ติฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อีทีเอฟ (UBOT) ระดับความเสี่ยง 6 - เสี่ยงสูง เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Global X Robotics & Artificial Intelligence ETF (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียวไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
นอกจากนี้ บลจ. ยูโอบี ยังมีกองทุนรวมที่ลงทุนผ่านกองทุนหลักที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดย UOB Asset Management (Singapore) ได้แก่ กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย (UOBSA) ระดับความเสี่ยง 6 -เสี่ยงสูง ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Asia Fund Class T SGD Acc (กองทุนหลัก) และ กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า (UOBSGC) ระดับความเสี่ยง 6 - เสี่ยงสูง เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Greater China Fund Class T SGD Acc (กองทุนหลัก) ซึ่ง กองทุนหลักของทั้ง 2 กองทุนได้มีการนำ AI มาใช้ในกระบวนการลงทุน เป็นเครื่องมือสำหรับใช้คัดกรองหุ้นร่วมกับผู้จัดการกองทุน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...